1.
7 ปีแรกของชีวิต คือช่วงเวลาสำคัญ หากลูกของท่านกลายเป็นคนขี้โกรธ เขาจะต้องใช้เวลามากกว่า 10 ปี ในการเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นคนใจเย็น หากเขาเป็นเด็กขี้กลัว เขาจะต้องใช้เวลาถึง 30 ปีในการเปลี่ยนตนเองให้เป็นคนกล้าหาญ และหาก 7 ปีแรก เขาไม่กล้าเป็นตัวของตัวเอง ชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ เขาอาจไม่มีโอกาสได้เป็นตัวของตัวเองตลอดไป 7 ปีแรก คือรากเหง้าแห่งจิตวิญญาณที่แน่นหนา เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไปแล้ว ยากนักที่ใครจะเปลี่ยนแปลงได้
2.
7 ปีแรกของชีวิต พ่อแม่ทั้งหลาย อย่าเพิ่งใจร้อนเกินไป จงวางคำว่า มารยาทเอาไว้ จงวางคำว่า ประเพณีวัฒนธรรมเอาไว้ก่อน ให้เขาได้มีโอกาสเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ ก่อนที่จะเรียนรู้ถึงความเป็นเด็กดี เป็นพลเมืองที่ดี เป็นคนในสังคมที่ดี หากเขาได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความแตกต่างหลากหลาย เขาย่อมปรับตัวได้ง่าย โดยไม่สูญเสียความเป็นตัวเอง แม้ท่านใส่กรอบที่สังคมกะเกณฑ์ให้ก่อนที่เขาได้ตระหนักชัดว่าความเป็นมนุษย์คืออะไร เขาย่อมกลายเป็นเด็กดี แต่ไม่ยังเป็นมนุษย์ เขาย่อมเป็นพลเมืองที่ดี แต่ยังมิได้เป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์จำเป็นต้องเรียนรู้อย่างบริสุทธิ์ อย่าเพิ่งต้องการอะไรจากเขา โปรดให้เขาได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์ก่อนได้ไหม
3.
พ่อแม่ทั้งหลาย ท่านต้องทิ้งความปรารถนาที่จะให้ลูกของท่านประสบความสำเร็จ จงอย่าคาดหวัง อย่าคาดหวังแม้กระทั้งให้เขามีความสุข เพราะทั้งหมดจะทำลายการรับรู้ในปัจจุบันของเขา อย่าผลักเขาสู่โลกอนาคตที่ไร้ตัวตน อย่าถามลูกของท่านว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เขายังไม่รู้หรอก เขาอาจไม่อยากเป็นอะไรเลยก็ได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่ความผิด หากเขาได้เป็นตัวของตัวเองแล้ว การเป็นอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการเป็นตัวของตัวเอง เพราะผู้จะเป็นตัวของตัวเองได้ ย่อมเป็นผู้มีความพอใจสูงสุดในสิ่งที่ตนเองเป็น เขาย่อมขับเคลื่อนชีวิตไปอย่างผู้ไม่ขาดแคลน เขาย่อมขับเคลื่อนชีวิตด้วยความสุข สิ่งใดที่ขับเคลื่อนด้วยความสุขแท้ สิ่งนั้นย่อมไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และไม่เบียดเบียนตนเอง
4.
7 ปีแรกของชีวิต จะเป็น 7 ปีที่งดงาม หากเด็ก ๆ ไม่ได้รับการสั่งสอนมากนัก อันที่จริงแล้ว พ่อแม่ทั้งหลาย ควรสอนด้วยการไม่สอน กระทำด้วยการไม่กระทำ เพียงให้ความรักแก่เขา เพียงโอบกอดเขา เพียงมองเขาด้วยสายตาแห่งความห่วงใย เพียงเท่านี้เด็ก ๆ ย่อมเรียนรู้ทุกอย่างได้ด้วยตนเอง เขาจะมีความเมตตาผู้อื่น ผ่านความเมตตาของท่าน หากท่านไม่สอนเขามากนัก เขาย่อมมองเห็นโลกตามที่เป็น มิใช่ที่ท่านหรือสังคมอยากให้เป็น สายตาเช่นนี้เป็นสายตาที่หายาก มันเป็นดวงตาของผู้ที่ไม่อยู่ในอำนาจของมายาสมมุติ เกราะป้องกันชีวิตเขา จะมิใช่ความเก่งกาจ ล้ำเลิศ ทว่า คือความตระหนักชัดในความจริง เขาย่อมเป็นผู้มีจิตอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจสถานการ์ใด ๆ เราจะเรียกสิ่งนี้ว่าความตื่นรู้ก็ได้
5.
7 ปีแรกของชีวิต ไม่มีคำว่า รวยหรือจน ไม่มีคำว่า ชาติ ศาสนา 7 ปีแรกของชีวิต มนุษย์ทั้งหลายยังอยู่ในอ้อมกอดของความเสมอภาค เท่าเทียม จิตแห่งมนุษยชาติยังมิถูกทำลาย บ้านของเขา คือโลกทั้งใบ ยังมิใช่บ้านที่มีหลังคา เขายังมิได้เห็นว่า กุ้ง หอย ปู ปลาคืออาหาร แต่เห็นว่า กุ้ง หอย ปู และปลา คือเพื่อนของเขา หากท่านไม่สั่งสอนเรื่องมารยาทมากนัก ถูกต้องแล้ว ที่เขาจะไม่แสดงความเคารพใครโดยง่าย นั่นคือเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่ยังมิได้อยู่ใต้กรอบที่ใครขีดเขียน แต่นั่นไม่ใช่เร่องใหญ่ เมื่อเติบโต เขาจะเรียนรู้เรื่องมารยาทได้ด้วยตนเอง เขาจะเรียนรู้เรื่องมารยาทผ่านความเมตตา มิใช่กาลเทศะ ช่างยากนักที่คนในสังคมจะเข้าใจจิตใจของผู้ตื่นรู้ที่มีอายุเพียง 7 ปี
6.
พ่อแม่ทั้งหลาย โปรดจงรับรู้ไว้ว่า ความตื่นรู้ของเรา ถูกทำลายไปแล้วด้วยสิ่งรอบตัว มันพังทลายไปแล้วตั้งแต่อายุได้ 7 ปี ช่างเป็นเรื่องน่าขัน แม้เรามีความรู้มากกว่า แต่ไม่สามารถมีความสุขได้เทียบเท่าเด็ก ๆ ช่างเป็นเรื่องน่าขัน แม้เราเรียกตนเองว่า ผู้อาบน้ำมาก่อน เหมือนดังว่า เราชำระตนเองมามาก แต่จิตใจของเรากลับยิ่งลึกลับซับซ้อน ไม่สามารถเปิดเผยและงดงามได้อย่างเด็กน้อย เช่นนี้แล้วท่านยังคิดอบรมสั่งสอนเขาด้วยสิ่งเดิม ๆ อยู่อีกหรือ
7.
พ่อแม่ทั้งหลาย ความตื่นรู้ของลูกคือสิ่งสูงสุดในชีวิตมนุษย์ และมันย่อมถูกทำลายด้วยความกลัว ความคาดหวังของพ่อแม่เอง อย่าโค่นต้นไม้ในป่าใหญ่ แล้วเปลี่ยนให้กลายเป็นตู้ โต๊ะ เตียง ต้นไม้มีคุณค่าสูงสุดในตนเอง จงรักษาจิตแห่งมนุษยชาติของเขาไว้ แล้ว 7 ปีแรก จะกลายเป็นของขวัญให้ชีวิตที่เหลืออยู่ ชีวิตของเขาย่อมกลายเป็นความสนุกสนานที่อบอุ่น เขาจะเคลื่อนไปด้วยความรัก มิใช่ความกระหาย จะทำสิ่งอันเป็นที่รักโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ชีวิตเขาย่อมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ยากนักจะหาผู้มีจิตใจเช่นนี้ สิ่งนี้ไม่ต้องตามหา เพราะเขามีอยู่แล้ว ทว่า พ่อแม่ต้องไม่ทำลายโดยรู้เท่ามิถึงการณ์
8.
7 ปีแรกของชีวิต แม้ลูกหลานของท่าน ไม่ถูกทำลายความตื่นรู้ เขาย่อมเปลี่ยนจากลูก ไปสู่ครูของท่าน จงเรียนรู้หนทางแห่งความสุขจากเขา ท่านช่วยเขาด้วยการไม่ทำลายเขา แล้วเขาจะกลับมาช่วยท่าน ให้ท่านกลับสู่ความตื่นรู้อีกครั้ง แม้ท่านเปิดใจ ลูกของท่าน จะเป็นคนช่วยท่านกอบกู้ผืนป่าแห่งความตื่นรู้ของท่านกลับคืนมา
9.
เด็กทุกคนเป็นหนึ่งเดียว มิอาจมีใครเป็นเหมือนเขา ได้โปรดให้เขาได้มีชีวิตที่แตกต่าง สิ่งดีงามของคนทั้งโลก อาจไม่ใช่สิ่งดีงามของเขา ความสุขของเขาอาจเป็นสิ่งง่ายดายกว่าความสุขของท่าน ต้นฉบับที่แท้จริง ย่อมไม่เหมือนสำเนาเอกสาร คนทั้งหลายมีชีวิตเช่นสำเนาเอกสาร อย่าแปลกใจที่เขาไม่เหมือนใคร นั่นคือเรื่องดี จงแปลกใจที่คนทั้งหมดมีชีวิตที่เหมือนกันทั้งโลก มันเป็นไปได้อย่างไร!
10.
เด็กทุกคนมีความสมบูรณ์ ดีงามอยู่แล้วในตนเอง จงประคับประคอง สนับสนุนให้เขาเคลื่อนชีวิตจากตรงนั้น อย่ากำหนดเป้าหมายให้เขาสับสน แต่จงให้จุดเริ่มต้น ระหว่างทาง และเป้าหมายเป็นสิ่งเดียวกัน เขาคือคนของปัจจุบัน เขาไม่ต้องตามหาความสุข ไม่ต้องตามหาความสำเร็จ เพราะเขามีมันอยู่แล้ว ท่านไม่อาจสอนเขาเรื่องความสุขได้ เพราะเขามีความสุขมากกว่าท่าน ท่านไม่อาจสอนเขาถึงการมีชีวิตที่ดีได้ เพราะเขามีชีวิตที่งดงามกว่าท่าน พ่อแม่ทั้งหลาย ขอท่านจงตื่น เพื่อพบว่า แท้จริงแล้วท่านไม่รู้ แท้จริงแล้วท่านไม่รู้ว่าท่านไม่รู้ แท้จริงแล้ว ท่านไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้ แต่คิดว่ารู้ มีเพียงการตื่นเท่านั้นที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง และเมื่อท่านตื่น ท่านจะเห็นความจริงบางประการ ลูกของท่านเป็นบุคคลที่ตื่นอยู่แล้ว มีแต่ท่านและสังคมเท่านั้นที่หลับใหลตลอดกาลยาวนาน…
ที่มา
***พศิน อินทรวงค์***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น