หลวงพ่อโอภาสี เป็นพระอาจารย์ที่รอบรู้หลักวิชาศาสตร์ที่เกี่ยวกับความลึกลับ ผู้บูชาเพลิงเป็นพุทธบูชา หลวงพ่อโอภาสี เดิมชื่อ ชวน มะลิพันธ์ ถือกำเนิดที่ บ้านตรอกไฟฟ้า อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีกุล บิดาชื่อนายมิตร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๘ คน
เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี บิดาได้ให้ไปอยู่วัดนันทาราม (วัดใต้ฝั่งตะวันออก) อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อศึกษาเล่าเรียนและได้บรรพชาเป็นสามเณรในปีเดียวกัน สามเณรชวนเป็นเด็กที่ฉลาด มีวิริยะ อุตสาหะ พออายุได้ ๑๗ ปีได้ไปศึกษาเล่าเรียนต่อที่สำนักวัดท่าโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และศึกษาที่วัดท่าโพธิ์นานพอสมควรจนมีความรู้แตกฉานหาผู้ใดเสมอเหมือน จึงปรึกษากับบิดามารดาว่ายังมีอะไรที่ต้องศึกษาอีกหลายอย่างอายุมากขึ้น โอกาสที่จะศึกษาเล่าเรียนน้อยลงจึงลาบิดามารดา เข้าศึกษาต่อที่กรุงเทพมหานคร สามเณรชวนจึงถวายตัวเป็นศิษย์ในองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) ซึ่งได้รับไว้ในพระอุปการะที่วัดบวรนิเวศวิหารและสามเณรชวนได้ทำการอุปสมบทเป็นภิกษุในพัทธสีมาวัดบวรฯ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) ทรงนั่งเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี ประมาณ พ.ศ.๒๔๖๒ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ และศึกษาความรู้จนแตกฉานในพระปริยัติธรรมทั้งภาษาบาลี สันตกฤต และภาษมคธ ภาษาฮินดู และภาษาอังกฤษ
พระชวนศึกษาเล่าเรียนทางพระพุทธศาสนาหลายปี ได้เข้าสอบแปลพระปริยัติธรรม สอบได้เปรียญ ๓ ประโยค และในปีต่อมาสอบได้เปรียญ ๗ ประโยค และเข้ารับพระราชทานพัดจากพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรียกกันติดปากคนทั่วไปว่ามหาชวนเปรียญเอก นอกจากพระมหาชวนจะสนใจในพระปริยัติธรรมท่านก็ยังเป็นลูกศิษย์เอกรูปหนึ่งของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกาอีกด้วย ท่านมหาชวนได้เป็นที่เคารพของประชาชน ทำให้คนรู้จักท่านมากขึ้น เพราะเห็นว่าการปฏิบัติภารกิจประจำวันของท่านเริ่มเปลี่ยนไป เพราะแทนที่จะนั่งหลับตาภาวนาเหมือนกับพระเกจิอาจารย์อื่นๆ แต่ท่านกลับบูชาเพลิงพร้อมกันไปด้วย ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นทรัพย์สินเงินทองมีค่าใดๆ ก็ถูกนำเอาไปโยนเข้ากองไฟเสียหมด ไม่มีการเสียดายด้วยประการใดทั้งสิ้น แม้ท่านจะเผาไปมากเท่าใดก็มีผู้ศรัทธานำไปถวายให้เผามากยิ่งขึ้น สิ่งของที่ท่านนำไปบูชาเพลิงนั้นหากท่านผู้ใดต้องการจะขอ ท่านก็ยินดีให้ การกระทำของท่านประชาชนจึงนำไปวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วกรุง บางคนก็มองในแง่อัศจรรย์ซึ่งไม่เคยพบเห็น บางคนก็คิดว่าท่านวิกลจริตเพราะได้เห็นท่านมุ่งการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยจะจุดธูปเทียนบูชาพระมีควันตลบอบอวนไปทั่วห้อง ทำให้บางคนคิดว่าไฟกำลังไหม้กุฏิของท่าน แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆจะเห็นท่านนั่งสงบอยู่ที่หน้าบูชาพระในลักษณะของผู้ที่กำลังทำสมาธิ จึงจะเข้าใจว่าท่านเริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยที่ตัวท่านเองไม่มีความกังวลใดๆ ทั้งสิ้นแต่จะยึดมั่นความสันโดษเป็นที่ตั้ง และท่านจะฉันอาหาร เพียงมื้อเพลมื้อเดียวเท่านั้น
สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือที่หน้าโต๊ะบูชาในกุฏิของท่านและบริเวณรอบๆ จะเต็มไปด้วยพระบรมรูปหล่อและพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เป็นจำนวนมาก ทุกวันเมื่อฉันเพลเสร็จท่านจะเข้าห้องเพื่อทำสมาธินานจนกระทั่งถึง ๔ โมงเย็น หลังจากนั้นก็จะไปทำวัตรสวดมนต์เย็นในโบสถ์ เสร็จแล้วก็จะกลับเข้าห้องบำเพ็ญภาวนาทำสมาธิต่อไปจนเช้าของอีกวันหนึ่ง
ประมาณ ปีพ.ศ. ๒๔๘๕ หลวงพ่อโอภาสีได้ออกจากวัดบวรนิเวศวิหารนัยว่าเสด็จพระอุปัชฌาย์ไม่ทรงโปรดการกระทำของท่าน และได้จาริกธุดงค์ไปยังจังหวัดต่างๆ จนพบกับองค์พจนสุนทร พระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในการค้นคว้าเรื่องวิญญาณและได้รับคำแนะนำให้ไปอยู่ที่ ต.บางมด อ.บางขุนเทียน ซึ่งมีศาลเจ้าอยู่ด้วย
เมื่อเดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าวก็เกิดความพอใจและได้ปักกลดลงในที่ของ นายเนียม คหบดี ซึ่งเป็นผู้ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาคนหนึ่งในย่านนั้น ในตอนกลางคืนท่านได้ใช้ความสงบวิเวกในบริเวณสวนนี้ทำกิจของท่านด้วยการนั่งหลับตา พนมมือเข้าสมาธิอยู่ใกล้กับกองไฟที่ท่านสุมไว้อย่างสว่างไสว ต่อมาเจ้าของสวนและชาวบ้านละแวกนั้นได้เรียกชื่อท่านว่า.....
"หลวงพ่อโอภาสี"
และได้พร้อมใจกันสร้างกุฏิเล็กๆ ถวาย เพื่อป้องกันแดดฝน แต่ท่านก็ไม่ได้สนใจมากนัก และก็ยังคงเคร่งครัดการสุมไฟไว้ตลอดทั้งคืนเช่นเดิม ในเวลาต่อมาการก่อไฟของหลวงพ่อได้กลายมาเป็นการเผาจตุปัจจัยสิ่งของต่างๆ ที่ประชาชนนำมาถวาย เป็นต้นว่า ธนบัตรนับจำนวนหมื่นๆ ผ้าที่ประชาชนนำมาทอดเครื่องอุปโภคบริโภคเครื่องกระป๋อง หรือแม้แต่เครื่องประดับต่างๆ ก็โยนเข้ากองเพลิงทั้งสิ้น เหล่าชาวบ้านที่รู้จุดประสงค์ของท่านก็ต่างนำน้ำมันก๊าซไป ถวายเพื่อใช้ในการเผาปัจจัยต่างๆ นั่นเอง ซึ่งหลวงพ่อเคยกล่าวว่า.....
" ปกติไฟจะเผาผลาญทุกสรรพชีวิตจนมอดไหม้หมดสิ้นได้ก็จริง แต่จิตใจของมนุษย์ปุถุชนกลับร้อนยิ่งกว่าเปลวไฟ คือ ร้อนจากความโลภ ความโกรธ ความหลง และเต็มไปด้วยความอยากได้อยากมีไม่สิ้นสุด การที่อาตมานำปัจจัยและสิ่งของที่ญาติโยมนำมาถวายเผาไฟ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและช่วยดับความร้อนในใจของมนุษย์ให้สิ้นไป หรือเผากิเลสให้หมดสิ้นไปนั่นเอง "
ขอย้อนกลับไปที่บ้านเกิดของหลวงพ่อโอภาสี ที่ตรอกโรงไฟฟ้า ท่านได้สร้างศาลาขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ ๕ ซึ่งหลวงพ่อโอภาสีนับถือมาก และรูปเหมือนของท่านในท่ายืน ทุกครั้งที่หลวงพ่อกลับมาปากพนัง ด้วยเรือโดยสารชื่อปากพนัง ประชาชนมากมายจะยืนรอรับหลวงพ่อตั้งแต่จากท่าเรือจนถึงศาลา
หลวงพ่อท่านแจกวัตถุมงคลจำนวนมาก ทุกคนจะได้รับกันอย่างทั่วถึง วัตถุมงคลที่ท่านแจกคือธนบัตรราคาต่างๆ รวมถึงเงินเหรียญหรือเงินรู สมัยก่อน และเป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ว่าท่านแจกเท่าใดก็ไม่มีวันหมด หมดในมือก็ล้วงออกจากย่ามมาแจกได้กันทั่วถึงทุกหมู่คน แจกไปหลวงพ่อก็กล่าวไปว่า.....
" ให้ทุกคนมีสัจจะ อย่าลืมพระคุณของแม่ อย่าเอาแม่มาด่าเล่น ให้มีความเมตตาแม้แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็อย่าไปทำลายมัน "
ทุกครั้งที่ท่านกลับไปปากพนังท่านจะไปนั่งริมสระน้ำสุดตรอกไฟฟ้า ซึ่งเป็นสระน้ำที่แปลกมาก เป็นสระน้ำขนาดใหญ่ น้ำในสระจืดสนิทเจือด้วยกลิ่นบัวหลวง ซึ่งน้ำในสระอื่นๆในปากพนังล้วนแต่มีรสเค็มเจือทั้งนั้นทุกคืนหลวงพ่อจะจุดตะเกียงน้ำมันมะพร้าวพวยตะเกียงขนาดประมาณ ๑ นิ้วแสงไฟพวยพุ่ง หลวงพ่อจะนั่งสมาธิและพักผ่อนริมสระน้ำเป็นประจำ
เรื่องเล่าที่กล่าวขาน
"มหาชวนนั้นตายไปแล้ว บัดนี้เหลือแต่โอภาสีผู้ปรารถนาในความหมดสิ้นจากอาสวะทั้งหลาย"
มีสิ่งที่น่าประหลาดอยู่เรื่องหนึ่ง ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อโอภาสีเห็นเขาพูดกันว่า เมื่อครั้งท่านยังเป็นพระมหาชวนนั้นที่แก้มซีกขวาของท่านยังไม่มีไฝฝ้า แต่ครั้นมาเป็นหลวงพ่อโอภาสีกลับมีปานดำขึ้นที่แก้มจนเห็นได้ชัด ไม่ทราบว่าปานนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะคนเรามักจะมีปานหรือไฝก็มีกันแต่เล็กแต่น้อย นี่ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้ว อายุตอนนั้นประมาณ ๔๐ ทำไมปานเกิดขึ้นมาได้ก็ไม่ทราบ
เกี่ยวกับเรื่องอภินิหารของหลวงพ่อโอภาสีนั้นดูจะมีหลายประการ โดยเฉพาะได้แก่การมีหูทิพย์ ตาทิพย์ และวาจาสิทธิ์ ท่านกล่าวคำใดออกมาไม่ใคร่จะพลาดจากคำนั้น ซึ่งอาจจะสืบจากผลการปฏิบัติอย่างแรงกล้าของท่านก็เป็นได้
มีเรื่องเล่าว่าเคยมีสุภาพสตรีสูงอายุท่านหนึ่ง มีความศรัทธาหลวงพ่อโอภาสีเหลือเกิน ถึงแก่ปรารภกับญาติพี่น้องที่บ้านว่าอยากได้เส้นผมของหลวงพ่อไว้บูชา ครั้นต่อมาสุภาพสตรีท่านนั้นไปนมัสการหลวงพ่อ พอก้มลงกราบยังไม่ทันจะกล่าวอะไรหลวงพ่อก็ยกมือจับเส้นผมของท่าน พร้อมกับบอกว่า...
"ผมของอาตมาสั้นออกอย่างนี้ จะตัดไปให้โยมได้อย่างไร"
สุภาพสตรีท่านนั้นถึงแก่นั่งตกตะลึงพูดไม่ออก
ครั้งหนึ่งได้มีสุภาพสตรีผู้สูงด้วยอำนาจวาสนาท่านหนึ่งพาบริวารไปนมัสการหลวงพ่อที่สวนส้มบางมด ได้สนทนาปราศรัยกับท่านเป็นอันดี ชั่วครู่หลวงพ่อเหลือบไปเห็นแหวนเพชรในนิ้วมือของสุภาพสตรีท่านนั้น เปล่งประกายสุกสกาวจึงถามว่า....
"ถ้าอาตมาจะขอแหวนวงนี้จากคุณโยม จะเสียดายไหม"
สุภาพสตรีท่านนั้นถอดแหวนออกจากนิ้วนางประเคนท่านแทนคำตอบทันที ท่ามกลางความชื่นชมของบริวาร หลวงพ่อรับไว้ หยิบพลิกดูไปมาแล้วหันไปหยิบค้อนที่อยู่ข้างหลัง วางแหวนเพชรที่ไม่รู้ว่ากี่กะรัตลงบนพื้นแล้วตอกด้วยค้อนบัดนี้!
สุภาพสตรีท่านนั้นเกือบเป็นลม
หลวงพ่อโอภาสีมองหน้าพลางเปรยออกมาว่า...
"ของดี ๆ อย่างนี้ จะสูญได้อย่างไร"
สุภาพสตรีผู้นั้นหมดกำลังใจจะสนทนาต่อ อ้อมแอ้มๆ ออกมาสอง-สามประโยค ก็นมัสการลากลับไม่เหลียวหลัง
ปรากฏว่าเย็นวันนั้น หลังจากอาบน้ำชำระกายเรียบร้อยแล้ว เปิดโถแป้งออกมาตั้งใจจะหยิบแป้งขึ้นมาผัด กลับเห็นแหวนเพชรวงที่หลวงพ่อโอภาสีทุบจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ วางอยู่ในนั้นชัดแจ้ง เป็นวงแหวนสมบูรณ์เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน
" โดยปกติแล้วพระเพลิงเผาผลาญสรรพสิ่งใดในโลกจนมอดไหม้หมดเป็นจุลมหาจุลไปจนหมดสิ้น ก็จัดเป็นธาตุที่มีความร้อนสูงอยู่ แต่ถึงกระนั้นจิตใจมนุษย์กลับมาความร้อนแรงยิ่งกว่ากองเพลิง ความร้อนของมนุษย์เกิดจากการเผาผลาญของดวงจิตด้วย โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชาต่างๆ อีกมากมาย การที่ได้นำเอาสรรพสิ่งวัตถุทั้งหลายที่ผู้คนเอามาถวายไปเผาทำลายลงก็เพื่อเป็นพุทธบูชา เป็นการดับกิเลสทั้งหลายให้หมดไปจากใจเราเท่านั้นเอง "
หลวงพ่อโอภาสี มรณภาพเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘ ศพของหลวงพ่อโอภาสียังไม่ได้เผา ตั้งไว้ที่วัดโอภาสีบางมด จนถึงทุกวันนี้ และไม่เน่าไม่เปื่อย กลับแข็งเป็นหินโดยตลอด สมกับเป็นผู้อุดมด้วยศีลาจารวัตร ปัจจุบันวัดหลวงพ่อโอภาสียังมีประชาชนมากราบไหว้สรีระของท่านอยู่เสมอๆ เพื่อขอพรให้หลวงพ่อช่วยเหลือในเรื่องการค้าการขาย ซึ่งมักจะประสบความสำเร็จสมหวังเสมอ นับได้ว่าแม้ท่านจะมรณภาพไปแล้ว ก็ยังเป็นที่พึ่งของลูกศิษย์ตลอดเวลา
ด้านวัตถุมงคล หลวงพ่อโอภาสี ได้สร้างแจกตั้งแต่สมัยที่มาอยู่ย่านบางมดใหม่ๆ เพราะเป็นช่วงที่ประเทศไทยเข้าร่วมรบในสงครามพอดี ในยุคแรกท่านจะทำผ้ายันต์ ผ้าประเจียด เหรียญสตางค์รู แจกให้ลูกศิษย์ มีผู้นำไปใช้แล้วเกิดประสบการณ์ต่างๆ เช่น คงกระพัน ถูกยิงถูกฟันไม่เข้า แคล้วคลาดจากภยันตรายต่างๆ จนมีผู้คนมาขอของท่านมากขึ้น ท่านจึงได้สร้าง พระปิดตาเนื้อตะกั่ว และ พระพิมพ์เนื้อผงผสมดิน ซึ่งล้วนได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
หมายเหตุ
- เตโชกสิณ คือ อะไร ? คือ ๑ ใน ๑๐ ของ กสิณ
- กสิณ คือ วิธีการปฏิบัติสมาธิแบบหนึ่งในพระพุทธศาสนา มีความหมายว่า เพ่งอารมณ์ เป็นสภาพหยาบ สำหรับให้ผู้ฝึกจับให้ติดตาติดใจ ให้จิตใจจับอยู่ในกสิณใดกสิณหนึ่งใน ๑๐ อย่าง ให้มีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว จิตจะได้อยู่นิ่งไม่ฟุ้งซ่าน มีสภาวะให้จิตจับง่ายมีการทรงฌานถึงฌาน ๔ ได้ทั้งหมด กสิณทั้ง ๑๐ เป็นพื้นฐานของอภิญญาสมาบัติ
- กสิณ ๑๐ ประการนี้ เป็นปัจจัยให้แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ตามนัยที่กล่าวมาแล้วในฉฬภิญโญ เมื่อบำเพ็ญปฏิบัติใน กสิณกองใดกองหนึ่งสำเร็จถึงจตตุถฌานแล้ว ก็ควรฝึกตามอำนาจที่กสิณกองนั้นมีอยู่ให้ชำนาญ ถ้าท่านปฏิบัติถึงฌาน ๔ แล้ว แต่มิได้ฝึกอธิษฐานต่างๆ ตามแบบ กล่าวกันว่าผู้นั้นยังไม่จัดว่าเป็นผู้เข้าฌานถึงกสิณ
- เตโชกสิณ คือ (ธาตุไฟ ธาตุร้อน) จิตเพ่งไฟ คือการเพ่งเปลวไฟ โดยกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นไฟ หายใจเข้าให้ภาวนาว่า "เตโช" หายใจออกภาวนาว่า "กสิณัง"
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=673368156113416&id=388723421244559&substory_index=0
อ้างอิง /http://www.komchadluek.net/mobile/detail/20120713/135035/บูชาไฟเป็นพุทธบูชาวัดพ่อโอภาสี๗๐ปีไม่เคยดับ.html
fb: นิทรรศการพลังแผ่นดิน
อัศจรรย์งานศิลป์ แผ่นดินสยาม
https://m.facebook.com/profile.php?id=388723421244559
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น