27 พฤษภาคม 2563

กาลเวลากับการบรรลุมรรคผล


" กระผมเคยถามพระพุทธองค์ว่า  ทำไมทุกคนตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานโดยตรง  ทำไมถึงยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์  ท่านตรัสว่า  ที่ยังเป็นไม่ได้เพราะกาลเวลายังไม่ถึง  มันเกี่ยวกับกาลเวลาด้วยด้วยหรือครับ "

เดี๋ยว  คำว่า  กาลเวลา  แปลว่า  บุญเก่าที่ทำไว้แล้ว  ยังเข้ามารวมตัวไม่พอ  ยังไม่ครบ  และก็  บุญใหม่ที่เข้ามาก็กำลังยังไม่แก่กล้าพอ

แล้วก็ประการที่ ๓  ไอ้บาปที่เราทำไว้แต่ชาติปางก่อนมันขวางหน้า  ไอ้ตัวนี้มาก่อน 

ถ้าจะถามว่าขวางเวลาไหนก็ต้องดูกาลเวลาของมัน  ถ้ามันขยายตัวเมื่อไหร่  บุญเก่ากับบุญใหม่ชนกันเมื่อไร  ก็เป็นพระอรหันต์เมื่อนั้น

" หมายความว่าเราต้องรออายุขัยของแต่ละคนที่ไม่เท่ากันหรือครับ "

ไม่ใช่  รอกาลเวลาที่บุญจะเข้าถึง

ดูตัวอย่าง  อย่าง ราธพราหมณ์  อยู่ในสำนักของพระพุทธเจ้าเองถึง ๓ ปี  พระพุทธเจ้าท่านเห็นหน้าอยู่เสมอ  แต่วาระยังไม่เข้ามาถึง  พอตอนเช้ามืด  ท่านก็ตรวจดูอุปนิสัยของสัตว์  ก็ทรงทราบว่า    พราหมณ์นี้จะเป็นอรหันต์ภายในไม่ช้า  หลังจากท่านแสดงธรรมแล้ว  ตอนเย็นท่านก็เดินอ้อมวิหารไปทำเหมือนว่าเดินเล่น  ในเมื่อพระพุทธเจ้าเดินเล่นเรื่อยไป  พระก็ต้องตามไป  ก็พอดีราชพราหมณ์กินข้าวเสร็จ  ล้างถ้วยล้างชาม  เอาของที่เหลือมาเท  เอาน้ำล้างชามมาเท  พระพุทธเจ้าเสด็จถึงพอดี  ก็ทรงหยุด  ถามว่า  พราหมณ์  เธออยู่เพื่ออะไร  พราหมณ์บอกว่า  เวลานี้ผมเป็นวิทาสาโท  เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าข้า  ท่านถามว่า  ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่  พราหมณ์ก็บอกว่า  ผมเป็นคนแก่  ลูกหลานไม่เลี้ยง  ใช้งานไม่ได้เขาเลยไม่เลี้ยง  มาอาศัยพระกิน  พระพุทธเจ้าข้า

ท่านถามว่า  พราหมณ์ไม่อยากจะบวชหรือ  พราหมณ์บอกว่า  อยากบวชครับ  แต่ไม่มีใครบวชให้  พระพุทธเจ้าข้า  ท่านก็ถามพระว่า  ภิกขเว  ดูก่อน  ภิกษุทั้งหลาย  ใครรู้คุณของพราหมณ์คนนี้บ้าง  พราหมณ์คนนี้เคยมีคุณกับใครบ้าง  ก็มีพระสารีบุตรนั่งกระหย่งยกมือไหว้บอกว่า  ข้าพระพุทธเจ้ารู้คุณพราหมณ์  พระพุทธเจ้าข้า  พระพุทธเจ้าถามว่า  พราหมณ์คนนี้มีคุณกับเธอเมื่อไหร่  พระสารีบุตรก็กล่าวว่า  ในสมัยที่พราหมณ์ยังอยู่ที่บ้าน  ข้าพระพุทธเจ้าบิณฑบาตผ่านไป  เมื่อพราหมณ์เห็นก็ใส่บาตรให้ทัพพีหนึ่ง  ถือว่าเป็นผู้มีคุณ  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  สารีปุตตะ  ดูก่อน  สารีบุตร  บุรุษที่มีความกตัญญูกตเวทีเป็นคนดี  เพราะฉะนั้น  เธอจงเป็นอุปัชฌาย์บวชให้พราหมณ์  

พอบวชแล้วราธพราหมณ์ก็ไปจำพรรษา  พระพุทธเจ้ากับพระสารีบุตรจำพรรษาอยู่กันคนละที่  เวลาออกพรรษาก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าถามว่า  ลูกศิษย์ของเธอดื้อด้านหรือว่าง่าย  พระสารีบุตรบอกว่า  ว่าง่ายเหลือเกินพระพุทธเจ้าข้า  แนะนำว่าสิ่งไหนไม่ดีไม่ทำ  สิ่งนั้นมันอะไรดีทำแน่  เพราะฉะนั้นจึงเป็นพระอรหันต์เร็ว  ก่อนจะมาก็เป็นแล้วนะ  ต้องอยู่ถึง ๓ ปี  นี่ยังไกลนะ

อีกองค์หนึ่งชื่อ  วักกลิ  นี่ใกล้มาก  เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จไป  ท่านก็ไปเทศน์  คนอื่นเขาเลื่อมใสในธรรมะก็บวชตาม  แต่พระวักกลิเลื่อมใสในความสวยของพระพุทธเจ้าก็บวชตาม  พระพุทธเจ้ารูปทรงสวย  เสียงก็เพราะ  และมีฉัพพรรณรังสี  ท่านบวชแล้วท่านก็ไม่สนใจในธรรม  เวลาที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ท่านก็ไปสนใจในความสวยอย่างเดียว  ดูอย่างนี้ถึง ๓ ปี  ถ้าจะถามว่า  ทำไมพระพุทธเจ้าไม่เตือน  ก็เพราะเวลามันยังไม่ถึง  พอถึง ๓ ปีครบเต็มแน่  พระพุทธเจ้าเห็นว่าพระวักกลิมีบารมีเต็มแน่  แต่ว่าการสอนธรรมดาพระวักกลิไม่บรรลุผลแน่  ต้องใช้วิธีรุนแรง  จึงเรียกพระวักกลิเข้ามาบอกว่า  วักกลิ  เธอเป็นโมฆบุรุษ  เป็นคนผู้ไร้ประโยชน์อยู่กับตถาคตตั้ง ๓ ปี  ไม่บรรลุมรรคผล  อัปเปหิ !  จงไปจากที่นี่

พอพระพุทธเจ้าขับ  พระวักกลิก็คิดว่าถ้าจะกลับไปบ้านเพื่อนที่มาด้วยกัน  ก็เป็นพระอรหันต์ไปหมด  ตัวเองไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็อายชาวบ้านเขา  จะอยู่ที่นี่ก็อยู่ไม่ได้  ทำยังไงตายดีกว่า  ก็ขึ้นยอดเขาตั้งใจจะโดดเขาตาย  ความตั้งใจจะโดดให้ตาย  มันไม่ห่วงร่างกายแล้ว  คราวนี้แหละ  ความเป็นอรหันต์มันอยู่ตรงนั้น  พอตัดสินใจว่าจะโดดเขา  พระพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการพุ่งไปข้างหน้า  ก็เหมือนพระองค์นั่งข้างหน้า  พอเห็นพระพุทธเจ้ามา  พระวักกลิก็ยั้งไม่โดด  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  วักกลิ  บุคคลใดเห็นธรรม  บุคคลนั้นเห็นเราตถาคต  เท่านั้นเอง  พระวักกลิก็เป็นพระอรหันต์เลย  การสอน  ถ้านิ่มนวลไม่มีผล  เพราะว่าท่านเกาะพระพุทธเจ้า  เกาะร่างกาย  ไม่ใช่เกาะธรรมะ  ถ้าขืนเทศน์แกก็ไม่เป็นพระอรหันต์  จึงต้องหาวิธีการให้ตัดร่างกาย  ไม่ห่วงร่างกาย  ถ้าอารมณ์ถึงก็จะถึง

ที่มา
🙏🙏พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง)​
🖊️📖ที่มาจากหนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง ๓๖​ หน้า ๙ - ๑๐

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...