ภัยพิบัติที่จะมากระทำอันตรายแก่โลกนั้น แท้จริงคือ ตัวมนุษย์ และ ตัวสภาวะโลกนั้นเอง
เมื่อมนุษย์ไร้ศีลธรรม มนุษย์จะเป็นผู้ทำลายล้างตนเอง มวลมนุษย์ด้วยกัน และทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ให้ราพณาสูรไป อย่างไม่เหลือชิ้นดีเลย ก็ย่อมได้.
ส่วนตัวสภาวะโลกที่จะเป็นสิ่งทำลายล้างโลกเองนั้น ก็ก่อเกิดขึ้นมาโดยมนุษย์ผู้เต็มไปด้วยอวิชชา ตัณหา กิเลส ลุ่มหลงละโมภอยู่แต่การผลาญพร่าทรัพยากร-สสาร-วัตถุ ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม ธาตุของโลก ที่สั่งสมผลร้าย ก่อให้เกิดการทำลายล้างผลาญโลก นั่นเอง
แต่พรหมเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายดี ที่แม้ว่าท่านเหล่านั้นจะอ่อนกำลังลงไปมากในยุคที่มนุษย์ไร้ศีลไร้ธรรม อีกทั้งในมวลหมู่เทพยดานั้นเองก็มีเหล่ามิจฉาทิฐิเพิ่มจำนวนและฤทธิ์เดชมากขึ้นเช่นกัน......
แต่ทว่าเทพยดาฝ่ายดีนั้นจะได้รับพลังแห่งธรรมานุธรรมปฏิบัติ, พลังทิพย์ศักดิ์สิทธิ์เหนือพลังจักรวาล, รวมทั้งอานิสงส์แห่งพรหมวิหาร ให้รักษาแก่นสารจิตวิญญาณแห่งโลกนี้ไว้ได้ แม้ภัยพิบัติจะทำลายรูปขันธ์โลกใบนี้ไปหมดสิ้นแล้วก็ตาม
แก่นสารจิตวิญญาณแห่งโลกนี้ จำเป็นจะต้องถูกบันทึกเก็บรักษาไว้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี โดยให้มีแหล่งบันทึกขนาดน้อยแต่สามารถบันทึกข้อมูลสำคัญของอารยธรรมทุกแห่งหนบนโลกไว้ได้ทั้งหมด พร้อมด้วยต้นแบบของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกไว้ เพื่อนำพาไปยังแหล่งใหม่ให้เป็นต้นแบบ-ต้นบุญ ที่สามารถเริ่มต้นกระบวนการแห่งการดำรงชีวิตใหม่ ได้อีกครั้งหนึ่ง ต่อไปในอนาคตกาลเบื้องหน้า.
ตราบใดที่พลังข้างฝ่ายดียังไม่อาจรวบรวมต้นแบบที่จะนำพาสรรพสัตว์-สรรพสิ่งไปสถาปนา ณ แดนดินถิ่นใหม่ได้ ตราบนั้นพลังพรหมวิหารจะปะทะประทังภัยพิบัติซึ่งแม้มีพลังแรงกล้ามหาศาลไว้ มิให้มีฤทธิ์เดชร้ายแรงถึงขนาดทำลายล้างโลกได้ทั้งหมดทั้งสิ้นในบัดดลเดี๋ยวนั้น
แต่ถึงอย่างไร ในทุกขณะแห่งกาลเวลาที่ดำเนินไป ภัยพิบัติอย่างย่อย-อย่างใหญ่ ก็จะเกิดบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น ทวีความรุนแรง มากยิ่งขึ้น
ถือเป็นการกระตุ้นทั้งจิตสำนึกฝ่ายดีของมวลมนุษยชาติให้หันเข้าหาธรรมะมากขึ้น
ในขณะเดียวกันก็เป็นการกระตุ้นสัญชาตญาณให้เกิดความเห็นแก่ตัว แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเพื่อเอาตัวรอด มากขึ้น
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับมวลมนุษย์จะยอมให้จิตใจด้านใดถูกกระตุ้นมากกว่ากัน
มนุษย์หรือสัตว์ใดที่จะได้รับการคัดสรรไปเป็นต้นแบบต้นบุญนั้น ต้องเป็นผู้มีจิตใจใสสะอาด ซื่อตรง ธำรงมั่นในศีลธรรมอย่างมิใช่เป็นผู้ไปปรามาสหมิ่นประมาทต่อผู้อื่น เป็นผู้มีธรรมอย่างเทพ-พรหม คือ หิริโอตตัปปะ, ศีล 5 เป็นต้นไป, พรหมวิหาร 4, และ สังคหวัตถุ 4.
ภัยพิบัติอาจทำลายล้างได้แต่เพียงรูปสังขารเท่านั้น
แต่สำหรับจิตวิญญาณที่ธำรงคงมั่นอยู่ในหลักคุณธรรมศีลธรรม และมีมโนมุ่งน้อมไปสู่โลกุตตรธรรม ภัยพิบัติแม้รุนแรงร้ายกาจเพียงไรก็มิอาจทำลายล้างจิตวิญญาณชนิดนี้ได้
ส่วนจิตวิญญาณฝ่ายเลวร้าย ภัยพิบัติก็ทำลายล้างไม่ได้เหมือนกัน แต่จิตวิญญาณฝ่ายเลวร้ายทุกดวงจะต้องตกจมจ่อมสู่อบายภูมิ ได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาหัสสากรรจ์ สาสมแก่ความผิดบาปที่ได้ประพฤติสั่งสมมาจนเป็นเหตุให้โลกทั้งโลกถูกทำลายล้างสิ้นไป
ฉะนั้นลูกหลานหลวงปู่ใหญ่ทุกคนผู้ไม่ตระหนกแต่มุ่งตระหนัก(อย่างที่หลวงปู่ใหญ่พร่ำสอนหลายคราวแล้ว) จงร่วมจิตร่วมกายกัน พร้อมเพรียงกัน นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อฝึกอบรมตนและหมู่สัตว์แวดล้อมทั้งหลายเท่าที่กำลังตนจะรับผิดชอบได้ (ถ้ารับผิดชอบมิได้เพราะเหลือกำลังนักก็ให้ตัดอาลัย ยิ่งเป็นคนชั่วร้ายเลวทรามแล้วก็อย่าไปข้องแวะเปรียบเทียบด้วยใจ วาจา และกาย เลยเป็นอันขาด.. นะลูกหลานเอ๊ย).. เพื่อมุ่งหมายให้ตนและสัตว์ที่เรารับผิดชอบอยู่นั้นเป็นผู้อยู่ในศีลธรรมอย่างเคร่งครัด แต่ไม่เคร่งเครียด เป็นผู้รู้-ตื่น-เบิกบาน พร้อมด้วย ความสะอาด-สว่าง-สงบ มีพรหมวิหารสมบูรณ์ มีสังคหวัตถุเพียบพร้อม เพื่อจะได้เป็นต้นแบบ-ต้นบุญ แห่งชีวิตใหม่ ในแหล่งใหม่ ในอนาคตข้างหน้า ให้จงได้.. นะลูกหลานเอ๊ย ๚
--------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น