ในกาลนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ เป็นการสนองคุณของพระมารดาของพระองค์ที่ดาวดึงส์สิ้นวาระ 3 เดือน เมื่อเทศน์จบพระมารดาก็บรรลุพระโสดาปัตติผล บรรดาเทวดาส่วนมากก็บรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน
ในขณะที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปสู่ดาวดึงส์คราวนั้น มีบรรดาประชาชนหลายท่านด้วยกัน. หมายความว่าหลายโกฏิ ต่างคนต่างปฏิญาณตนว่า ถ้าองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาไม่เสด็จกลับมาเพียงใด บรรดาพวกเขาทั้งหลายก็จะพากันไม่กลับบ้าน จะคอยองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาอยู่ในเมืองพาราณสี ถึงแม้ว่าอาหารการบริโภคจะไม่มี การพักจะลำบากเพียงใดก็ตามที แม้ชีวิตินทรีย์จะตักษัยก็ไม่ยอมกลับ
เป็นอันว่าในกาลนั้นก็เป็นหน้าที่ของพระราชา 7 พระนคร ที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งเป็นพระราชาเมืองพาราณสี พระราชากรุงกบิลพัสดุ์มหานคร พระราชากรุงราชคฤห์มหานคร แล้วก็รวมกันอีก 4 พระนคร ร่วมกันจัดภัตตาหารมาเลี้ยงบรรดาบุคคลทั้งหลายที่มาคอยองค์สมเด็จพระพิชิตมาร
และก็ในครานั้นปรากฏว่าบรรดาเศรษฐีทั้งหลายทั้ง 7 พระนคร ต่างคนต่างก็นำเอาอาหารการบริโภคมาเลี้ยงคนทั้งหลาย อย่าลืมว่าเวลานั้นเป็นฤดูฝน เพราะว่าองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปวันนั้นเป็นวันเข้าพรรษา เป็นฤดูฝนพอดี ปรากฏว่าการจัดที่เป็นที่อยู่ของบุคคลนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งกษัตริย์ก็ดี มหาเศรษฐีก็ดี คหบดีก็ดี พากันทุ่มเททรัพย์ทั้งหลายเพื่อให้บุคคลทั้งหลายมีความสุข เป็นการช่วยเหลือกัน
▪️ทรัพย์ไม่หมด▪️
แต่ว่าตามภาพของอตีตังสญาณปรากฏว่าเป็นเหตุอัศจรรย์อย่างยิ่ง บรรดาพุทธบริษัททั้งชายและหญิงนับเป็นจำนวนโกฏิ ๆ ที่ประชุมกันเวลานั้นเป็นส่วนมาก กษัตริย์ก็ดี มหาเศรษฐีก็ดี คหบดีก็ดี ทุ่มเททรัพย์สมบัติเป็นจำนวนมากแต่ทรัพย์สินของท่านทั้งหลายนั้นไม่หมด ไม่สลายตัวไป เป็นเหตุให้บรรดามหาเศรษฐีก็ดี กษัตริย์ก็ดี คหบดีก็ดี มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาหนักขึ้น ตลอดจนกระทั่งประชาชนทั้งหลายเห็นว่าการอยู่ของบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นของพวกเขา ไม่มีความทุกข์มีความสุขตลอดกาล
เป็นอันว่านับแต่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะเสด็จสู่เมืองสังกัตนคร 1 เดือนในตอนนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์ในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศ จึงได้ประกาศให้ประชาชนทั้งหลายย้ายจากหน้าเมืองพาราณสีไปสู่เมืองสังกัตนครระยะห่างกัน 15 โยชน์ แต่ว่าก่อนที่จะไปกษัตริย์ก็ดี มหาเศรษฐีก็ดี ได้จัดแจงสถานที่พักให้แก่บุคคลทั้งหลายไว้อย่างดี
การคอยองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งนานวันเข้าเท่าไหร่ก็ตาม บุคคลทั้งหลายจากจตุรทิศ คือทิศทั้ง 4 ก็หลั่งไหลมามากขึ้น พอมาถึงวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดวันที่จะเสด็จลงมา
ในวันนั้น "ท้าวโกสีย์สักกเทวราช” คือพระอินทร์ ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพอยู่บนดาวดึงส์พิภพ จึงเข้าไปปรารภทูลถามพระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้าข้า สมเด็จพระบรมศาสดาจะเสด็จ ณ ที่ใด ?" องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า "ตถาคตจะลงหน้าประตูเมืองสังกัตนคร"
เหตุฉะนั้นจอมบพิตรอดิศร ท้าวสักกเทวราชจึงได้ทรงเนรมิตบันไดขึ้น 3 แบบ คือด้านซ้ายเป็นบันไดทอง ด้านขวาเป็นบันไดเงิน แล้วตรงกลางเป็นบันไดแก้วเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วได้ทูลอาราธนาองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงทางบันไดแก้ว บรรดาพรหมทั้งหลายลงทางบันไดทอง และก็เทวดาทั้งหลายลงทางบันไดเงิน
เป็นอันว่าตอนนั้นเทวดาก็ดีพรหมก็ดีทั่วเทวโลก ไม่มีใครอยู่ในสถานที่ของตน ต่างคนต่างมาเฝ้าองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดา ลงมาพร้อมกันท้าวโกสีย์สักกเทวราชนั้นมีหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์นำเสด็จองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำหรับท้าวสหัมบดีพรหมกางฉัตรแก้วให้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสด็จ เวลานั้นปรากฏว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์อีกวาระหนึ่ง
▪️ยมกปาฏิหาริย์▪️
ตอนก่อนเสด็จขึ้นก็แสดงครั้งหนึ่งแล้ว การแสดงในคราวนี้องค์สมเด็จพระมหามุนีทรงใช้อำนาจพระพุทธญาณบันดาลให้โลกทั้งหมดมีสภาวะเห็นกันได้หมด เหมือนกับคนเห็นคน มนุษย์ทั้งหลายเห็นเทวดาและก็เห็นพรหม ซึ่งพรหมกับเทวดาเห็นมนุษย์เป็นของไม่แปลกอยู่แล้ว หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วใช้อำนาจพระพุทธญาณของพระองค์ บันดาลให้บรรดาอบายภูมิทั้งหมดพ้นจากเครื่องพันธนาการ การลงโทษทั้งหมดไม่มี
ในวันนั้นปรากฏว่าสัตว์ในนรกก็ดี เปรตก็ดี อสุรกายก็ดี ทั้งหมดนี้มีแต่ความสุขไม่มีความทุกข์เพราะเครื่องทรมานไม่ปรากฏ ต่างคนต่างก็เห็นองค์สมเด็จพระบรมสุคต ชาวมนุษย์ก็เห็นสัตว์นรก เห็นเปรต อสุรกาย แล้วก็เห็นเทวดาได้ ฝ่ายนรกก็เช่นเดียว กันต่างคนต่างเห็นกัน นับว่าเป็นความอัศจรรย์พิเศษที่องค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงแสดง
การที่องค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงบันดาลให้สัตว์นรกก็ดี เปรตก็ดีพ้นจากเครื่องพันธนาการ การทรมานไม่มี สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นมีความสุขเป็นพิเศษ และต่างคนต่างก็เห็นซึ่งกันและกัน ตอนนั้นในพระบาลีกล่าวว่า คนทั้งหลายอยู่ในสถานที่นั้นที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า ต่างคนต่างมีความประสงค์คิดว่า ถ้าเราได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะเป็นการดี ในตอนนี้ท่านกล่าวว่า มีคนปรารถนาพุทธภูมิทั้งหมด ตามพระบาลีกล่าวว่า แม้แต่มดดำมดแดงคือสัตว์เดรัจฉานก็ดี คนก็ดี รู้ภาษากันหมดด้วยอำนาจพุทธานุภาพ
ต่างคนต่างปรารถนาใคร่จะเป็นพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน เป็นอันว่าเป็นความอัศจรรย์เป็นพิเศษ สำหรับพระพุทธเจ้าเองก็ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการสวยงามยิ่งกว่าวันใด ๆ ทั้งหมด ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตเสด็จลงสู่ประตูเมืองสังกัตนคร เวลานั้นพระสงฆ์ประชุมกันอยู่ 2 แสนเศษ พระเจ้าปเสนทิโกศลบรมกษัตริย์พร้อมไปด้วยกษัตริย์ทั้งหลายและมหาเศรษฐีทั้งหลาย ก็พากันถวายทานแก่องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ซึ่งเป็นประมุขของบรรดาพระสงฆ์ทั้งหมด
เมื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงฉันภัตตาหารแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วแทนที่จะแสดงพระธรรมเทศนาเป็นปกติ กลับทรงถามปัญหา จึงได้ทรงตรัสเรียกพระสาวกเข้ามาตามลำดับชั้น คือพระสาวกที่ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดายังไม่ได้สำเร็จมรรคผล หรือยังไม่ได้ฌานสมาบัติ จนกระทั่งพระอัครสาวกเบื้องขวาคือพระสารีบุตร แล้วจึงได้ตรัสถามปัญหา
ความจริงคนนับจำนวนเป็นหลายสิบโกฏิ ถ้าจะว่ากันไปแล้วเสียงขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็ดี ของท่านผู้สดับก็ดี ไม่สามารถจะทำให้คนทั้งหมดนี้ได้ยินเสียงได้ถนัด แต่ด้วยอานุภาพองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ก็สามารถจะบันดาลให้บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นต่างคนต่างได้ยินเสียงได้ถนัดเหมือนกัน
และอีกประการหนึ่ง การแสดงพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาเป็นสภาวะปกติในกาลก่อนก็ดี ในวันนี้ก็ดี เวลาที่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาในกาลนั้น คนทั้งหมดจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ใกล้ตนเหมือนกันหมด แล้วทุกคนก็จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาหันหน้าไปหาตน
ยิ่งกว่านั้นคนทุกคนแม้จะต่างชาติต่างภาษา ต่างคนก็จะรู้สึกว่าสมเด็จพระบรมศาสดาเทศน์ภาษาของตน ทุกคนจึงรู้เรื่องทั้งหมด สำหรับวันนี้ก็เช่นเดียวกัน องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ก็แสดงพระธรรมเทศนาแบบนั้น แต่ทว่าองค์สมเด็จพระภควันต์ก็ทรงบันดาลเป็นกรณีพิเศษ นอกจากเสียงขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ที่ทุกคนฟังได้ยินชัดเจนแจ่มใส และเห็นว่าภาวะขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาหันหน้าไปหาตน และทุกคนก็มีความรู้สึกว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั่งใกล้ตน
องค์สมเด็จพระทศพลก็ทรงแสดงปาฏิหาริย์ต่อไป ให้บุคคลทั้งหลายเห็นว่าบรรดาพระทั้งหลายที่องค์สมเด็จพระจอมไตรจะถามปัญหาบุคคลทั้ง 7 ระดับชั้นนั้นปรากฏว่าอยู่ใกล้กับคนทุกคนเหมือนกัน ทั้งนี้ก็เป็นอานุภาพขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา
▪️พระปุถุชนและพระทรงฌาน▪️
เป็นอันว่าต่อจากนั้นไปองค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้ทรงถามปัญหาของปุถุชนที่ยังมีกิเลสแก่ท่านพระภิกษุสงฆ์ที่ยังไม่ได้ฌานสมาบัติ ท่านพระภิกษุสงฆ์ที่ยังไม่ได้ฌานสมาบัติก็ตอบคำถามขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ได้ดี
ความจริงเรื่องปัญหาของคนธรรมดานี่เป็นก็เป็นของไม่แปลก สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถามว่า เธอมีอารมณ์เป็นเช่นใดการทรงศีลก็ดี การทรงสมาธิก็ดี วิปัสสนาญาณก็ดี ของเธอดีอยู่หรือ บรรดาพระที่เป็นปุถุชนก็กราบทูลองค์สมเด็จพระบรมครูว่า สมาธิก็ดี ศีลก็ดี วิปัสสนาญาณก็ดี ทั้งหลายเหล่านี้ย่อมยังไม่ทรงอารมณ์เป็นปกติ สำหรับเรื่องศีลบางครั้งถึงแม้ว่าการปฏิบัติจะไม่ละเมิด แต่ก็เกิดมีความรู้สึกทางจิตบางทีก็คิดว่าจิตเป็นอกุศล
ต่อไปองค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้ถามอารมณ์ของผู้ทรงฌานสมาบัติแก่พระที่เป็นปุถุชน ปรากฏว่าพระที่เป็นปุถุชนยังไม่ได้ฌานสมาบัติไม่สามารถจะตอบได้ การที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสอย่างนี้ก็เพื่อจะให้บรรดาประชาชนทั้งหลายมีความเข้าใจว่าสิ่งใดก็ดีที่ตนยังปฏิบัติไม่ได้ จะมีความเข้าใจและรู้สิ่งนั้นจริงจังตามความเป็นจริงไม่ได้
เมื่อพระปุถุชนตอบไม่ได้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ตรัสถามพระที่ทรงฌานสมาบัติ องค์สมเด็จพระชินสีห์ถามถึงอารมณ์ของฌานสมาบัติว่า "คำว่าฌานหมายความว่าอย่างไร ? "
บรรดาพระทั้งหลายเหล่านั้นก็ตอบได้ว่า คำว่า "ฌาน" หมายถึงการเพ่ง คือจิตทรงอยู่ในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นกุศล ตามที่องค์สมเด็จพระทศพลตรัสเป็นพระธรรมเทศนาไว้ถึง 40 แบบ
แล้วต่อมาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงถามว่า อารมณ์จิตที่ทรงฌานอยู่ก็ดี หรืออารมณ์จิตที่ปล่อยฌานแล้วก็ดี อย่างนี้มีความรู้สึกต่างกันอย่างไร ? พระทั้งหลายก็ตอบว่า จิตที่ทรงฌานอยู่นั้นเป็นอารมณ์ที่สงบสงัด มีความเยือกเย็นอยู่มาก มีการทรงตัวดี เพราะจิตในขณะนี้ตัดนิวรณ์ 5 ประการ
หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ตรัสถามว่า ขณะที่จิตปล่อยจากฌานมีอารมณ์รู้สึกเป็นอย่างไร ? มีกำลังใจเหมือนกับจิตที่ยังเป็นปุถุชนคนที่ยังไม่ได้ฌานไหม ? บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นก็กราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า จิตไม่เหมือนกับคนที่ไม่ได้ฌาน พระพุทธเจ้าข้า เพราะว่าขณะใดที่จิตปล่อยออกจากฌาน จิตในขณะนั้นก็ทรงอยู่ในอุปจารสมาธิ จิตมีสภาพเป็นทิพย์
กล่าวคือมีความสุข มีปีติ มีความอิ่มใจ มีความชื่นบาน ไม่มีความสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร แล้วก็จิตสามารถจะระงับได้ซึ่งทุกขเวทนา แต่ทว่าอารมณ์ที่ปล่อยจากฌานในบางวาระ อารมณ์ที่เป็นอกุศลก็สามารถจะเข้าถึงจิตตนได้
ครั้นเมื่อพระทั้งหลายเหล่านั้นตอบแล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงรับรองว่าจิตของผู้ทรงฌานมีสภาพเป็นอย่างนี้ แล้วองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงแนะนำว่า การทรงฌานเป็นของดี การทรงจิตเป็นสมาธินี้ กล่าวคือจิตของบุคคลผู้ใดถ้ายังเข้าไม่ถึงฌานแต่ถ้าไปใกล้ฌานที่เรียกว่าอุปจารฌาน จิตของบุคคลนั้นถ้าทรงได้อย่างนี้แสดงว่าจบกามาวจรสวรรค์ ถ้าทุกคนตายแล้วก็จะเป็นเทวดา อย่างเทวดาที่ทุกท่านเห็นในเวลานี้
หมายความว่าเวลานั้นคนทุกคนก็เห็นเทวดา สัตว์ทั้งหลาย สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ก็เห็นเทวดา สมเด็จพระบรมศาสดาทรงยืนยันว่าทุกท่านที่จิตของท่านยังไม่ถึงฌานแต่ถ้าว่าเข้าถึงอุปจารสมาธินี้นั้น เป็นวิสัยของเทวดาชั้นกามาวจรสวรรค์. เรียกว่าจบกามาวจรภูมิ จะไปเกิดเป็นเทวดาชั้นไหนก็ได้
แล้วองค์สมเด็จพระบรมศาสดาก็ตรัสต่อไปว่า บุคคลใดผู้ทรงฌานสมาบัติถ้าหากว่าก่อนที่จะตายท่านผู้นั้นทรงฌานอยู่ ท่านผู้นั้นตายจากความเป็นคนจะไปเกิดเป็นพรหม เวลานั้นชาวบ้านเขาก็เห็นกันหมดว่าเทวดาน่ะสวยสดงดงามกว่ามนุษย์มากมายที่จะเทียบได้ แต่ว่าบรรดาพรหมทั้งหลายก็ยิ่งสวยกว่าเทวดามากมายหาประมาณมิได้เช่นเดียวกัน บรรดาประชาชนทั้งหลายเมื่อฟังอย่างนี้ก็เพิ่มธรรมปีติ คนทุกคนตั้งอารมณ์จิตเป็นฌานสมาบัติ
ความจริงฌานสมาบัตินี่มันทรงไม่ยาก เพราะว่าไม่มีความลำบาก ถ้าจิตเป็นกุศลเสียอย่างเดียวตั้งอารมณ์โดยเฉพาะ คือว่าไม่เกี่ยวกับส่วนที่เป็นอกุศล คือนิวรณ์ 5 ประการ ท่านก็เรียกว่าฌานแล้ว
(โปรดรออ่านต่อ ตอนที่2)
พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2531),92,85-91
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น