ถ้าใครรู้ว่าโยมตายแล้วไปดี..พรุ่งนี้เค้าตายกันหมดแล้ว เค้าจะไม่อยู่ให้เป็นทุกข์หรอกจ้ะ แต่โยมยังไม่รู้ว่าจะไปไหน โยมจึงกลัวตาย ถ้าโยมรู้โยมจะไปไหนแล้วโยมไปที่ดีมีวิมานรองรับนั่นแหล่ะ..โยมจะไม่สังเลเลย ใช่มั้ยจ๊ะ ก็คงไปตายกันหมด แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะโยมยังกลัวตายอยู่..ยังไม่รู้จะไปไหน
การที่ยังไม่รู้จะไปไหน ถ้าจะบอกตรงๆในทางวิญญาณหรือทางโลกเค้าเรียก"สัมภเวสี" อ้าว..มันไม่รู้จะไปเกิดที่ไหน มันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ไปตามบ้านตามช่องของตัวเอง รอไปอยู่ในภพภูมิใหม่ แต่ครั้นเมื่อเกิดอุบัติแห่งพระศาสดาขึ้นมา ท่านได้ชี้แนวทางทางเดินทางออกแห่งทุกข์ขึ้นมา ในศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเรียกว่าทางเดินแห่งมรรค ใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ย่นย่อลงมาให้เจริญสติ..จึงจะเห็นทางไป
เห็นทางไป..อย่างไร โยมต้องมีความเชื่อก่อนสิ่งที่โยมจะไปในทางนั้น เมื่อโยมเชื่อด้วยศรัทธาโยมถึงจะกล้าลองประพฤติปฏิบัติได้กล้าลงทุน การเดินทางในทางแห่งมรรคต้องลงทุน เอากาย เอากำลังใจ เอาความเชื่อ ความเชื่อที่จะเกิดได้บางคนก็ต้องลงทุนอาจจะหมดตัวเลยก็มี นั่นก็คือการสร้างทานบารมี วัดนี้สร้างทานบริจาคสร้างโบสถ์วิหารสร้างให้หมด สร้างหมดแล้วหมดเลย..ก็ยังไม่ไปสวรรค์ซักที ยังเป็นทุกข์อยู่ เพราะโยมไม่รู้ว่าโยมสร้างไปทำไม ใช่มั้ยจ๊ะ สร้างไปเพื่อใครให้ใครอยู่ สร้างไปร้อยโบสถ์แล้วก็ยังเป็นทุกข์อยู่ ยังไม่รู้ว่าจะไปอย่างไร ทุกข์นั้นก็ยังไม่ดับไป ใช่มั้ยจ๊ะ
นั้นการสร้างน่ะเป็นทาน มันไม่ได้บอกให้โยมไปสวรรค์นิพพาน แต่มันเป็นการให้โยมนั้นได้สละ เป็นการอบรมบ่มจิต ให้รู้จักการให้ ให้คลายจากความยึดมั่นถือมั่นในทรัพย์นั้นแล เมื่อโยมเข้าถึงทานได้ จิตผู้นั้นจะเข้าถึงความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือพรหมวิหาร ๔ ย่อมเข้าถึงศีล อย่างน้อยโยมต้องมีศีล ๕ เป็นเชื้อแห่งมนุษย์
ศีล ๕ เรานี้แม้เราจะไม่เจริญได้รักษาได้ตลอดเวลาก็ดี แต่คราใดโยมระลึกถึง สงบกาย วาจา ใจให้ตั้งมั่น อารมณ์ให้เป็นหนึ่ง มีกำลังใจระลึกถึงบุญหรือทานที่โยมกระทำมาแล้ว..ศีลก็บังเกิดตอนนั้น แต่ครานี้โยมจะระลึกถึงได้อยู่บ่อยๆหรือไม่ เค้าจึงต้องมีองค์ภาวนากำกับเป็นอุบายขึ้นมา ว่าเป็นองค์ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ดี สัมมา อะระหังก็ดี พุทธัง สะระณัง คัจฉามิก็ดี เหล่านี้เพื่อให้จิตนั้นมีหลักยึดเหนี่ยวเป็นสรณะ
คราใดที่โยมภาวนาจิตนี้แล จิตมันจะเข้ามาตั้งมั่นสงบอยู่ภายใน นั่นเรียกว่าศีลก็บังเกิด เมื่อศีลบังเกิด..สมาธิมันก็บังเกิด เมื่อสมาธิบังเกิด..ปัญญามันก็บังเกิด เมื่อปัญญาบังเกิด..วิปัสสนาก็บังเกิด แล้ววิปัสสนามันคืออะไรเห็นพูดกันจัง วิปัสสนาคือการพิจารณา เพราะตัวปัญญามันเกิดจากความจำก็ดี แต่ปัญญาที่แท้จริงมันต้องเกิดจาก"การอบรมบ่มจิต"
อบรมบ่มจิตเห็นตามความเป็นจริง อะไรบ้างจากความเป็นจริง เห็นความเสื่อมของกายสังขาร อันนี้เรียกว่าปัญญาเห็นชอบที่แท้จริง เราเคยอบรมกันบ้างรึเปล่าจ๊ะ ว่าในขณะนี้เรามีความแก่แล้วในขณะนี้ เสื่อมไปแค่ไหนแล้ว พรุ่งนี้หรืออีกวันต่อไป อีก ๕ ปี ๑๐ ปีข้างหน้า ลมหายใจเรานั้นจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เค้าจึงบอกว่าให้เราพิจารณาความตายเป็นอารมณ์ ถ้ามนุษย์ผู้นั้นมีอายุมากแล้วนั่นเอง
การจะทำบุญทางลัดตัดตรงซึ่งพระนิพพานต้องพิจารณาความตายของสังขารเป็นอารมณ์ นี้เรียกเป็นบุญใหญ่ ยิ่งกว่าสร้างโบสถ์วิหารเป็นร้อยหลัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะอะไรถ้าโยมสร้างวิหารโบสถ์อีกร้อยหลังโยมก็พ้นทุกข์ได้ยาก เพราะโยมจะไปยึดในบุญที่โยมสร้าง โยมก็จะไปเฝ้าเป็นเทวดา เป็นวิญญาณไปเฝ้าอยู่ยอดวิหารโบสถ์อยู่อย่างนั้น โอ้ย..ของกู ของกู
นั้นจึงบอกว่าเมื่อเรามีกายสังขารเสื่อมลงถึงที่สุดแล้ว โรคภัยไข้เจ็บก็เบียดเบียนแล้ว จะทำอย่างไรจะสร้างบุญใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายหากไม่มีทรัพย์สินมากมาย ก็กายเรานี้แลเปรียบค่าเหมือนทรัพย์สินเงินทองเป็นร้อยล้านพันล้าน เข้าใจมั้ยจ๊ะ กายสังขารโยมมีค่ากว่าร้อยล้านพันล้านแสนล้านก็ว่าได้ ทำไมฉันถึงกล้าพูดอย่างนั้น เพราะถ้าว่าใครจะมาฆ่าโยมแลกชีวิตโยม..ด้วยเงินทองหมื่นล้านแสนล้านโยมก็ยังไม่เอาถ้าเลือกได้ ใช่มั้ยจ๊ะ นี่คือความจริง แสดงว่าโยมมีค่ามากกว่านั้น
เค้าจึงบอกว่าการทำบุญใหญ่ลัดตัดตรงซึ่งพระนิพพานก็คือการเพ่งโทษในกายตน ละตน พิจารณาทุกข์ กายสังขารที่เสื่อม ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์ นั่นเรียกว่าอารมณ์ของพระอรหันต์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นโยมไม่ต้องไปกลัวเลยว่าการเจริญกรรมฐานจะตัดละกิเลสหมดเมื่อไหร่ ใครจะรับประกันโยมว่าจะหมดเมื่อไหร่..ไม่มีทางหมด แม้ความโกรธโยมก็ไม่สามารถให้มันหมดไปได้ แต่ไม่ว่าจะโกรธก็ดี หลงก็ดี ความอยากก็ดี สิ่งเหล่านี้เค้าบอกว่าถ้าฝึกจิตเพื่อให้รู้ทัน เมื่อรู้ทันแล้วละอารมณ์นั้นไป อารมณ์นั้นก็ไม่เกิดกำเริบขึ้นมาอีก เมื่อนั้นเลสภาวะนั้นแลเรียกว่านิพพานแล้ว แต่เป็นนิพพานชั่วคราว ถ้าโยมทำอยู่สม่ำเสมอ รักษาอารมณ์นั้นได้อยู่ตลอด..มันก็เป็นนิพพาน
ดังนั้นโยมเจริญกรรมฐานไม่ต้องถามว่ากิเลสจะหมดไปเมื่อไหร่ กิเลสไม่มีวันหมด เพราะกิเลสนั้นเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย ทางซึ่งพระนิพพานเมื่อใครเข้าถึงแล้วก็ไม่ตายเช่นกัน กิเลสก็ไม่มีวันตาย เพราะมันจะมีเชื้อต่อเชื้ออยู่อย่างนี้ วนเวียนตายเกิดอยู่อย่างนี้เป็นวัฏฏะ มีตัวตายตัวแทน
ดังนั้นทางซึ่งเดินแห่งมรรค ถ้ายังมีคนเดินปฏิบัติอยู่ในทาน ศีล ภาวนา ก็ไม่สิ้นพระอรหันต์ ไม่สิ้นผู้เป็นอริยบุคคล ผู้ใดเจริญอานาปานสติอยู่ทุกขณะจิตก็ดี แม้ระลึกก็ดี ภาวนาอยู่ก็ดี เมื่อดับกายสังขารไปโยมจำไว้เถิดจ้ะ ผู้มีภาวนาจิตอยู่..นรกไม่สามารถรับดวงจิตวิญญาณได้ นี่เป็นเรื่องจริง..เข้าใจมั้ยจ๊ะ
ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น