“..โลกนี้ดินฟ้าอากาศมันทรมานคน ตั้งแต่สมัยพ่อแม่ไม่มีหรอกโรงพยาบาล สมัยนี้โรงพยาบาลยิ่งมีมาก โรคก็ยิ่งมีมาก มันทันกัน สมมุติเอาทั้งหมดนะร่างกายนี้ โรคนี้แต่ก่อนมีแต่ปวดหัวเจ็บท้อง แล้วก็เป็นไข้เท่านั้น เดี๋ยวนี้แต่งขึ้น สมมุติขึ้นมามากมาย ไม่รู้โรคอะไรต่อโรคอะไร แล้วก็ยังมาหลงกันอยู่นั่นแหละ สมมุติขึ้นแล้วก็หลงกัน ของจริง ๆ แท้ ๆ นั้นมีแต่มืดกับสว่างเท่านั้นแหละ เดือนนั้นเดือนนี้มีแต่สมมุติทั้งหมด
แล้วนี่เรามาวิ่งไปกับสมมุติ ถ้าใครพูดไม่ถูกใจ โกรธแล้วเหมือนจุดไฟมาเผาตัวเอง มันเป็นอยู่อย่างนั้นนะ โลกใบนี้ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เป็นอยู่อย่างนั้น ชีวิตของคนคิด ๆ แล้วน่าสลดใจ เราก็มีพ่อแม่เหมือนกัน พ่อแม่นะเป็นกระดานหรือภาพสะท้อนให้ลูก ๆ ได้ดู เป็นกระดานดำให้ลูก ๆ ได้ดูทั้งหมดนั้นแหละ ทั้งพูดทั้งด่า ทั้งอิจฉาริษยากัน ทั้งนอกใจกัน เราเห็นมาหมดแล้ว แต่ก่อนไม่ได้ใคร่ครวญ เหมือนหนอนที่เห็นมันอยู่ในส้วมในถาน
นั่นแหละ แต่มันก็รู้นะว่าอะไรเป็นอะไร รู้ว่าขี้คืออาหารอันโอชะของมัน มันคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับมัน จิตใจของคนเราก็เหมือนกัน มันหลงอยู่นั่นแหละ ต้องพิจารณาใคร่ครวญจริง ๆ จัง ๆ จึงจะรู้
สมัยนี้เขาว่าโลกเจริญ มันเจริญอะไร โลกฟืนโลกไฟมันเผากันอยู่อย่างนั้น ครอบครัวหนึ่ง ๆ ก็แย่งกันเป็นผู้ปกครอง เป็นผู้มีอำนาจ ถ้าคนในครอบครัวนิสัยไม่ดี ไม่เหมือนกัน นิสัยเข้ากันไม่ได้ก็ยิ่งไม่น่าอยู่นะ อยู่ไปก็ไม่มีความสุข ถ้าพวกเราสงสัยยังไม่เข้าใจให้ดูพ่อแม่เราเดี๋ยวผิดใจกัน เดี๋ยวดีกันอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่ถูกใจกันก็เอาอีกแล้ว แต่อยู่ด้วยกันได้ บางครอบครัวถึงขนาดฆ่ากัน แย่งกันเป็นใหญ่ แย่งกันเป็นผู้ปกครอง ตรงไหนที่ว่าเป็นความสุข
พิจารณาดูซิเอาเรื่องกิเลสมาพูด ก็เชื่อมันนะ เชื่อมันมาหลายภพหลายชาติ เชื่ออยู่อย่างนั้น เพราะตัวเองไม่อยากออกจากโลก ที่จริงทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าอย่างนั้นคนมั่งคนมีคนยากคนจน ความสุขความทุกข์ต้องเห็นกันอยู่อย่างนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยไม่ตั้งเที่ยง ข้าวเกิดในจานก็มี ข้าวเกิดในหม้อก็มี ความสุขของมนุษย์ดูมันให้ชัด ๆ อาบเหงื่อต่างน้ำเหมือนพวกเรานี้ก็มี หรือจนถึงขนาดที่ว่าไม่มีอะไรเลย ทั้งหมดนี้เพราะบุญกุศลนั่นแหละที่ทำให้เป็นไป คิดดูซิโลกใบนี้
ลองคิดอ่านดูดี ๆ มันเกิดขึ้นด้วยการกระทำนะ ท่านถึงพูดว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าไม่สร้างสมบารมีเอาไว้ ก็มีแต่ทุกข์ตาย เกิดภพหน้า พบหน้าเห็นกันอยู่อย่างนั้นหละ แค่ขนาดคลอดออกมาจากพ่อจากแม่เดียวกัน การทำอยู่ทำกิน เราสังเกตสังกาดูซิต่างกันสุด ๆ ท่านถึงว่าอกุศลกับกุศล กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพพะยากะตา ธัมมา..”
หลวงปู่ลี กุสลธโร
วัดเกษรศิลคุณธรรมเจดีย์ (วัดภูผาแดง)
ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น