พระสารีบุตร นอกจากจะเป็นพระสาวกผู้มีปัญญาอย่างยอดเยี่ยมแล้ว
ท่านยังขึ้นชื่อในความเป็นผู้รู้คุณด้วย
เช่น การรับรองการบวชให้พระราทะผู้บวชในยามชรา
เพียงเคยใสบาตรด้วยข้าวทัพพีเดียว
ครั้งนี้ก็เช่นกันท่านต้องการไปตอบแทนคุณมารดา
เพราะด้วยท่านรู้ว่ามารดาท่าน ยังไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา ท่านเกรงว่ามารดาจะเสื่อมจากบุญลาภ
ดังนั้นท่านจึงต้องการกลับไปนิพพาน
ณ ห้องที่ท่านเกิดที่บ้านของท่าน
ตอนแรกที่นางสารีพราหมณี ทราบว่าพระลูกชายกลับมาบ้าน โดยนางไม่รู้ว่าพระสารีบุตร มีความต้องการจะตอบแทนคุณมารดาด้วยการเทศนาธรรม
และนางไม่เชื่อว่าพระลูกชายเป็นพระอรหันต์
เมื่อพระสารีบุตรพร้อมด้วยพระจุนทะ พระน้องชายพร้อมบริวารเข้าไปในสถานที่ที่โยมมารดาให้คนจัดให้ตามประสงค์แล้วตกดึกพระสารีบุตรก็ป่วยด้วยโรคปักขันทิกาพาท(ถ่ายจนเป็นเลือด)อย่างปัจจุบันทันด่วน
ท่านได้รับทุกขเวทนาอย่างมาก พระจุนทะและบริวารช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิด
ฝ่ายมารดาเห็นว่าท่านอาพาธหนัก ถึงเข้ามาดูอาการด้วยความห่วงใย
ขณะนั้นเทวดาองค์สำคัญๆ ต่างมาเยี่ยมอาการป่วยของท่านตามลำดับคือ
ท้าวมหาราชทั้งสี่ ได้แก่ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์ ท้าววิรุฬหก และท้าวเวสสุวัน
ผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์ )ผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสุยามผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นยามา
ท้าวสันดุสิตผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นดุสิต
ท้าวสุนิมมิตผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นนิมมานรดี
และท้าวปรนิมมิตวสวัตดี เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตดี
รวมทั้งท้าวมหาพรหม แห่งพรหมโลกชั้นสุทธาวาส
ก็ได้มาเยี่ยมอาการป่วยของท่านด้วย
เทวดาและท้าวมหาพรหมแต่ละองค์นั้นล้วนมัศมีกายเปล่งปลั่งงดงาม
ต่างพามาเยี่ยมอาการป่วยของท่านด้วยความเป็นห่วงและเคารพยิ่ง
นางสารีเห็นเหตุการณ์นั้นตลอด
เมื่ออาการของพระเถระค่อยบรรเทาลง
นางได้เข้าไปหาแล้วสนทนาด้วย
โดยได้ถามถึงเทวดาองค์สำคัญๆ
ที่มาเยี่ยมซึ่งนางไม่ทราบว่าเป็นใคร
ท่านได้บอกให้โยมมารดาทราบตามลำดับ
จนกระทั่งถึงท้าวมหาพรหม
“อุปติสสะ” โยมมารดาเรียกชื่อเดิมของท่านด้วยความอัศจรรย์ใจ “นี่ลูกของแม่ใหญ่กว่าท้าวมหาพรหมอีกหรือ”
“ใช่...โยมแม่” ท่านตอบรับ ทันใดนั้นโยมแม่ก็เกิดปีติอย่างใหญ่หลวง
สีหน้าอิ่มเอิบเมื่อได้ทราบว่าพระลูกชายยิ่งใหญ่กว่าท้าวมหาพรหมที่ตนเคารพ
“อุปติสสะลูกชายเรายิ่งใหญ่ขนาดนี้ แล้วพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระศาสดาของลูกชายเราเล่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน”
นางนางสารีคิดไปถึงพระพุทธเจ้า
พระสารีบุตรสังเกตดูโยมมารดาตลอดเวลา
เมื่อเห็นจิตจิตใจเริ่มอ่อนโยนเหมาะจะรับน้ำย้อม
คือ คำสอนทางพระพุทธศาสนาได้
จึงเริ่มแสดงธรรมโปรดโดยพรรณนา ถึงพระพุทธคุณนานาประการ
อาทิ พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันต์ ห่างไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง
โยมมารดาฟังแล้วเลื่อมใสยิ่งนัก
เมื่อจบฟังธรรมเทศนา นางก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล
พระเถระได้ตอบแทนคุณโยมมารดาด้วยการตอบแทนที่ล้ำค่า คือให้พ้นความเห็นผิดที่มีมานานเสียได้
ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญเช่นนั้น
ส่วนโยมมารดารู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมาและไม่ได้สัมผัสอมตธรรม จึงพูดกับพระสารีบุตรเป็นเชิงต่อว่า
“ลูกรักทำไมจึงเพิ่งมาให้อมตธรรมนี้แก่แม่เหล่า” หลังจากโยมมารดาลากลับไปที่พักผ่อนแล้วท่านก็ได้บอกพระจุนทะให้นิมนต์พระบริวารมาประชุมพร้อมกัน
ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้สว่างท่านดูอิดโรยเต็มทีแต่ถึงกระนั้นก็พยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง
โดยพระจุนทะคอยประคองอยู่ตลอดเวลา
“ท่านทั้งหลาย” พระเถระเอ่ยขึ้นด้วยน้ำแสงแหบพร่า
“ผมกับท่านอยู่ด้วยกันมานานถึง ๔๔ ปี หากกายกรรมและวจีกรรมของผมอันใดไม่เป็นที่พอใจขอได้อภัยให้ผมด้วย"
“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ”
บริวารกล่าวตอบ “พวกกระผมติดตามท่านมานานยังมองไม่เห็นกายกรรมและวจีกรรมที่ไม่สมควร
เมื่อพระเถระกับพระบริวารต่างกล่าวคำขอขมากันและกันแล้ว แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้าแล้ว เช้าวันนั้นเบญจขันธ์เริ่มอ่อนล้าของพระเถระก็ดับลงอย่างสนิท
ท่านนิพพานเมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ในห้องที่ท่านเกิด เทวดาและมนุษย์ได้พร้อมใจกันฌาปนกิจศพของท่านอย่างสมเกียรติ พระจุนทะนำผ้าขาวมาห่ออัฐิของท่านแล้วนำไปพร้อมทั้งบาตรและจีวร เพื่อมอบให้พระอานนท์นำไปถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงรับอัฐิของท่านแล้วโปรดให้สร้างสถูปบรรจุไว้ที่ใกล้ประตูเชตวันมหาวิหารเพื่อให้พุทธบริษัทได้สักการะต่อไป
#แชร์เป็นธรรมทาน
...........................
.https://www.youtube.com/watch?v=8zBvHpYaNLE&index=17&list=PLr8CA-SlIPTRRsSLPZ1_nTOHT9OBxy5iW
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น