หลวงพ่อสร้อย ... พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ
วัดเขาแก้ว ต.ต้นตาล อ.เสาไห้ จ.สระบุรี.
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
อาจารย์สร้อยนี่อยู่จังหวัดสระบุรี เป็นพระพิเศษ บวช
อยู่ในถ้ำตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เพราะพระในถ้ำชอบกับ
พ่อและแม่ เคยไปเยี่ยมที่บ้านบ่อยๆ ต่อมาท่านรัก
พระองค์นั้น คล้ายๆ กับปดิษฐสามเณรรักพระสารีบุตร
ก็ตามพระมาอยู่ในถ้ำ หนังสือสักตัวก็ไม่ได้เรียน ในถ้ำ
ไม่มีการสอนหนังสือกัน พระก็สอนแต่ภาวนา
ในที่สุดท่านอยู่มากี่ปีก็ไม่ทราบ มาพบท่านตอนอายุ
แก่แล้วที่พบก็เพราะท่านมาป่วยที่กรมแพทย์ทหารเรือ
เวลาป่วยตอนเช้า ท่านมีบาตรของท่านมาลูกหนึ่ง
ไปยืนเอาบาตรแขวนไว้ที่ต้นมะฮ็อกกานี ข้างภายใน
ประตูเข้ากรมแพทย์ทหารเรือ เวลาเข้าไปไอ้ต้นนี้มัน
จะอยู่ซ้ายมือ ชิดประตู ต้นใหญ่มาก ยืนหลับตาประเดี๋ยว
ก็เอาบาตรมา ตามปกตินายทหารประจำตึกเขาจะเก็บ
บาตรไว้แล้วเขาจะเช็ดจะขัดจะถูเป็นอย่างดี
พอเช้าท่านจะมาเอา เขาตรวจดูว่าไม่มีอะไรเขาก็ส่ง
มาให้เวลาท่านเอาบาตรไปแขวนท่านก็ยืนหลับตา
คนเขาผ่านไปผ่านมา มันไม่ใช่ป่านี่ คนเดินกันไขว่
เทียว ตอนเช้า ทุกคนก็เห็นว่าท่านยืนหลับตาเฉยๆ
บาตรก็แขวนที่กิ่งมะฮ็อกกานี สักประเดี๋ยวหนึ่งท่าน
ก็กลับ สะพายบาตรกลับไปส่งให้นายทหารหัวหน้าตึก
ก็ปรากฏว่ามีข้าวประมาณ 2 - 3 ทัพพี แล้วมีดอกไม้
แปลกๆ 1 ดอกทุกวัน ดอกใหญ่เกือบจะเต็มบาตรแต่
ไม่รู้ว่าดอกอะไรไม่มีใครรู้จัก แบบนั้นทุกวัน
สำหรับท่านอาจารย์สร้อยนี่ ปรากฏภายหลังว่ารู้ภาษา
ได้ทุกภาษา มีนายทหารมาพูดแบบนั้น แล้วพูดถึง
ปฏิปทาบางอย่างของท่าน ดูๆ แล้วคล้ายจะไม่ใช่พระ
ธรรมดา ที่ว่าไม่ใช่พระธรรมดาคือคิดเกรงไปว่าพระ
องค์นี้จะเป็นพระอริยเจ้าแต่เวลานั่งพูดคุยกับใคร ท่าน
ไม่ได้นั่งหลับตาปี๋ ทำท่าเป็นคนเคร่งครัดมัธยัสถ์ไม่ใช่
ยังงั้น แสดงตัวเป็นกันเองตามปกติ พูดแบบกันเอง
ธรรมดาๆ แต่ว่าทรมานเอานายทหารไม่กินเหล้าไป
หลายคน คำว่าทรมานในพระพุทธศาสนานี่ไม่ใช่
ทรมานให้ลำบาก คือว่าพูดให้เข้าใจ พูดให้เชื่อ ชี้แจง
เหตุผลให้เข้าใจชัดอย่างนี้ ศัพท์ทางพระพุทธศาสนา
เรียกว่าทรมาน คำว่าทรมานคือให้เขาฝืนใจตัวเอง
เคยดื่มเหล้าแล้วก็ไม่ดื่ม มันก็ยากๆ อยู่เหมือนกัน
ในเมื่ออดทนต่อความอยาก ต่อต้านต่อความอยาก
มันก็เป็นการทรมาน
ปฏิปทาของท่านดี นายทหารรักมาก วันหนึ่งนายทหาร
มาเล่าให้ฟัง ก็เลยบอกเขาว่าฉันสงสัยเหลือเกินละว่า พระองค์นี้จะเป็นพระอริยเจ้าสำหรับพระอริยเจ้านี้ มีอยู่
4 ประเภทด้วยกัน ว่ากันเฉพาะพระอรหันต์คือมี สุขวิปัส
สโก เตวิชโช ฉลภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปปัตโต สำหรับ
พระอริยเจ้าที่เป็นพระสุขวิปัสสโก ประเภทนี้ไม่มีบทบาท
อะไรทั้งหมด หมายความว่าละกิเลสได้แบบเงียบๆ ผีสางเทวดาท่านก็ไม่เห็น นรกสวรรค์ท่านก็ไม่เห็นแต่ว่าจิต
สงัดจากกิเลส
สำหรับท่านเตวิชโช อันนี้ได้ทิพยจักขุญาณ กับปุพเพ
นิวาสานุสติญาณ คือว่าสามารถจะเห็นผี เห็นเทวดา
เห็นสวรรค์เห็นนรก เห็นพรหมโลก เห็นนิพพานได้ตามอัธยาศัย แล้วก็สามารถระลึกชาติได้ อดีตชาติของ
ตัวเองเคยเป็นอะไรมาบ้างรู้หมด ต่อไปก็ฉลภิญโญ
อภิญญา 6 อันนี้ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ สำหรับ
ปฏิสัมภิทัปปปัตโต ก็แสดงได้อย่างกับท่านอภิญญา 6
แต่มีกรณีพิเศษโดยเฉพาะ เอาอย่างที่แปลกที่สุดคือ
รู้ภาษาทุกภาษาโดยไม่ต้องเรียน นี่ว่ากันอย่างย่อๆ
รู้ภาษาทุกภาษาทั้งหมดโดยไม่ต้องเรียน ภาษาคน
ภาษาสัตว์รู้หมด
ทีนี้ สำหรับหลวงพ่อสร้อยองค์นี้ อาตมาสงสัยว่าจะเป็น
พระอรหันต์ ขั้นปฏิสัมภิทัปปปัโต เอากันแค่สงสัยนะ
ทั้งนี้ก็เพราะว่าอาตมาเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่
สัพพัญญูวิสัย จะได้ไปรู้อะไรต่ออะไรได้ตามอัธยาศัย
ในเมื่อรู้เองไม่ได้ก็เลยต้องเดา อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา
เดาเล่นโก้ๆ ก็เลยบอกบรรดาท่านนายทหารว่าเอายังงี้
ก็แล้วกัน สำหรับพระอรหันต์มี 4 แบบ สำหรับแบบอื่น
เราจะพิสูจน์ได้ด้วยการทดลองอย่างอื่น แต่องค์นี้ฉัน
สงสัยว่าเป็นปฏิสัมภิทาญาณ
ลองดูนะ ไม่แน่นัก ถามว่าพวกคุณนี่น่ะพูดภาษาอะไร
ได้บ้างเอาภาษาที่ถนัด บางคนก็บอกว่าภาษาอังกฤษ
ผมเก่ง บางคนบอกว่าภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน
ภาษาจีนเพราะเคยเป็นลูกจีน แล้วก็ภาษาแขก บังเอิญ
มีนายทหารแขกอยู่คนหนึ่งพูดภาษาแขกเร็วปรื๋อเรียกว่า
ได้กันหลายๆ ภาษา เมื่อได้กันแล้วซักซ้อมกันดีแล้วก็
ส่งเข้าไปทีละคน คนไหนถนัดภาษาอะไรเข้าไปหาท่าน
พูดภาษาแบบนั้น พูดภาษาที่ตนถนัด พอเขาเข้าไปพูด
จะเป็นภาษาอะไรก็ตาม หลวงพ่อสร้อยตอบภาษานั้น
ได้อย่างชัดเจน คล้ายๆ กับเป็นเจ้าของภาษาเอง
ทุกภาษา
ในที่สุดพวกนายทหารถามว่าหลวงพ่อเรียนมาจากไหน
ท่านบอกว่าท่านไม่ได้เรียน อยู่ในถ้ำนั่นเจริญสมาธิมัน
เกิดความรู้สึกขึ้นเอง เขาถามว่าในเมื่อเขาพูดภาษาอื่น
หลวงพ่อมีความรู้สึกยังไง ท่านก็บอกว่ามีความรู้สึก
เหมือนเขาพูดภาษาไทย เวลาที่จะตอบไปก็เหมือนกัน
มีความรู้สึกว่าตอบเป็นภาษาไทย
นี่แหละ ท่านผู้ฟัง สำหรับท่านอาจารย์สร้อย มีกรณีพิเศษ
แปลกแบบนี้แล้ว ต่อมาพวกนายทหารแจ้งให้ทราบว่าท่าน
กำหนดเวลาตาย ท่านบอกว่าใครจะเอาอะไรก็เอา ท่านจะ
ตายเดือนนั้นเดือนนี้ ถ้าจะต้องการอะไรให้ไปหาท่านก่อน
คนที่ไปก็ได้ของดีพิเศษมาทุกคน คือว่า มีคำสั่งมอบหมาย
สมบัติชิ้นสำคัญนั่นก็คือให้รู้จักเป็นคนมีจิตเมตตาให้มีเมตตา
เป็นปกติ มีกรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขา แล้วก็มีการให้ทาน
การสงเคราะห์ รู้จักรักษาศีล สำหรับศีลอย่าให้ขาดตลอดชีวิต
แล้วให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะตาย นี่สมบัติชิ้นสุดท้ายที่
หลวงพ่อสร้อยมอบให้แก่บรรดานายทหารที่มีความเคารพ
ในท่านและเมื่อพวกนายทหารได้รับมาแล้วก็มาบอกให้
อาตมาทราบ อาตมาก็บอกว่านั่นเป็นของดีที่สุด ที่คุณ
จะไปเอาพระเอาตะกรุดอะไรนั่นก็ดีเหมือนกัน ถ้าหาก
พวกคุณแขวนพระไว้แต่คุณประพฤติตัวเป็นโจร พระท่าน
ก็ไม่เอาด้วย เพราะหากว่าพระเป็นโจร พระก็ศีลขาด ถ้าหากว่าคุณเอาพระแขวนคอไว้แล้วใจคุณเป็นพระ
หรือว่าคุณไม่มีพระแขวนคอ แต่ว่าใจคุณเป็นพระถึงแม้ว่า
ร่างกายคุณเป็นฆราวาสแต่ใจคุณเป็นพระแล้ว ก็ชื่อว่าคุณ
เป็นพระทั้งตัว พระนี่แปลว่าผู้ประเสริฐ คือไม่เลว ดีที่สุด
เวลานี้คุณได้ของดีจากพระที่ดีมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้าท่านเป็นพระอรหันต์จริง นี่อาตมาก็ไม่ได้รับรองกับเขา
เพราะว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้า
ถ้าหากว่าท่านเป็นพระอรหันต์จริงก็ชื่อว่าคุณมีโอกาส
พิเศษอย่างยิ่ง การไหว้พระอริยเจ้า 1 ครั้ง ดีกว่าไหว้ฉัน
แสนครั้ง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะพระอริยเจ้าขั้นอรหันต์ท่านบริสุทธิ์หมด ไอ้ฉันนี่น่ะมันยังดำๆ ด่างๆ อยู่มาก
มันอาจจะดำมากกว่าขาวก็ได้ เป็นอันว่าเรื่องราวของ
หลวงพ่อสร้อย ก็ยุติกันเพียงนี้นะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น