เวลาไปสอนเตโชวิปัสสนา จะมีเทวดาแวะเวียนมาเรียนมากราบและมาวนเวียนเรียนกับอาจารย์อยู่เป็นประจำ เมื่อก่อนก็ยังเล่าให้ศิษย์ฟัง แต่เดี๋ยวนี้ไม่เล่าเพราะพอเป็นกิจธรรมดาไปแล้ว ก็เลยไม่เล่า
เทวดานี่ ขนาดเขาอยู่ในภพภูมิสบายแล้ว เขาก็ยังแสวงหาทางพ้นทุกข์ แสวงหาทางที่จะยกตนให้สูงขึ้น ต่างกับมนุษย์ พอตนสูงแล้วก็หลง คำว่าสูงนี่คือ คิดว่าสูงด้วยทรัพย์ สูงด้วยเกียรติ ไม่ได้ตระหนักว่า คำว่า สูงจริงๆ คือสูงด้วยคุณธรรม หรือธรรม
ขึ้นชื่อว่า ธรรม จะปฏิบัติสายไหน หากสูงด้วยธรรมแล้ว ก็จะได้พบและมีประสบการณ์ที่ปลายทางไม่ต่างกัน อาจารย์ได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่เขียนโดยผู้สูงด้วยธรรม ท่านชื่อคุณแปลง สุวรรณกาญจน์ ได้เขียนหนังสือธรรมเป็นธรรมทานชื่อ วัฏฏสงสาร กับมรรคผลนิพพาน เป็นหนังสือที่รวบรวมความรู้ในธรรมในเชิงปริยัติได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ คือไม่มากไป ไม่น้อยไป และได้สอดแทรกประสบการณ์ธรรมของท่านผู้เขียนไว้เช่นกัน ที่ถูกใจสุดก็เรื่องการสนทนากับเทวดา ทำให้อาจารย์คิดถึงเรื่องของตน คำสอนครานี้ ก็เลยขอยกเรื่องที่ท่านเขียนมาเผยแพร่ต่อ เพื่อจะได้ให้ความรู้และเป็นการยืนยันว่า ขึ้นชื่อว่าธรรม ทำให้มากแล้ว ผลลัพธ์ย่อมได้ไม่ต่างกัน
ความบางตอนจากหนังสือ……..
วันนั้นเดินจงกรมเหนื่อยเเล้วนั่งสมาธิ จิตเเวบเขา้ไปเห็นผู้หญิง รูปร่างเหมือนภาพเขียนตามผนงัโบสถเ์ข้ามาหา จึงถามว่ามาจากไหน เขาพาไปดูก้อนหินใหญ่ข้างกุฏิที่ผู้เขียนภาวนาอยู่ เเล้วว่านี่เเหละวิมาน ของน้องมองดูที่ก้อนหินนั้นภายในมีลักษณะเป็นห้องมีประตูเปิดปิด ได้ อ๋อ วิมานเทวดาเป็นอย่างนี้นี่เอง จึงถามต่อวา
ผู้เขียน : มาทำไม
เทวดา : อยากให้ช่วย อยากเป็นพระอริยะเจ้า
ผู้เขียน :อยากเป็นพระอริยะเจ้า ต้องไปเกิดเป็นมนุษย์ แล้วมาปฏิบัติธรรม รักษาศีลภาวนา เจริญสติใหเ้กิดปัญญารู้ ธรรมเห็นธรรมจึงละกิเลส เป็นพระอริยะเจ้าได้
เทวดา : ไม่อยากเกิดเป็นมนุษย์
ผู้เขียน : ทำไม
เทวดา:กลัวหลง
ผู้เขียน : หลงอะไรบ้าง
เทวดา : หลงอันที่หนึ่งคือ หลงกินดิบ
ผู้เขียน : กินดิบมันป็นอะไร
เทวดา : มันเป็นนิสัยของสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นมนุษยเ์เล้วมันเลยไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานโดยไม่รู้ตัวก็จะตก อบายภูมิ หลงอันที่สองคือหลงด่ืมสุราเมรัยของมึนเมาเสียสติ
ผู้เขียน : มันสนุกดีมิใช่หรือ
เทวดา: สนุกตกนรกสิไม่ว่า ถ้าตกนรกเเล้วกว่าจะได้มาเกิดป็นเทพ เป็นเทวดา อินทร์ พรหมอีก เป็นเรื่องยากมาก เพราะสิ้นกรรมจากนรก เเล้วต้องมาเกิดเป็นเปรต เป็น อสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานก่อนจึงจะได้มาเกิดเป็น มนุษย์
ผู้เขียน : ข้ามขั้นมาเกิดเป็นเทวดาเลยไม่ได้หรือ
เทวดา:จะได้ก็ต่อเมื่อพระพทุธเจ้าหรือพระโพธิสัตวผู้ทรงฤทธิ์มาโปรดเท่านั้น ปกติจะต้องกรรมขึ้นมาตาม ลำดับจนถึงมนุษย์ ได้เกิดเป็นมนุษยแล้วไม่หลงไป รู้จักสะสมบารมี จึงจะได้ไปเกิดเป็นเทพเป็นพรหมอีก ซ่ึงกว่าจะข้ึนมาได้ต้องทนทุกขท์รมานนานเเสนนานซ่ึงเป็นเรื่องน่ากลัวเเละไม่น่าเสี่ยง
ผู้เขียน : หลงอะไรอีก
เทวดา : หลงอันที่สาม คือ หลงทรัพยสมบัติ มนุษย์เกิดมาพา กันหลงหาทรัพยสมบัติหลงติดอยู่ในการหาติดอยู่ในความร่ํารวยมั่งมี ไม่สนใจรักษาศีลภาวนา เจริญสติ ปัญญาเพื่อละกิเลสถอนกิเลส
หลงอันที่ส่ี คือ หลงยศหลงเกียรติ มนุษย์ผู้มียศมีเกียรติ จะหลงติดอยู่กับภาระของการมียศมีเกียรติน้ันไม่มี เวลาถือศีลปฏิบติธรรม เจริญสติปัญญา เพื่่อละกิเลส ถอนกิเลสเช่นเดียวกันหากผู้มีทรัพย์ มียศ หลงใช้ยศ ใช้ทรัพย์ เอารัดเอาเปรียบข่มเหงรังเเกผู้อื่น ก็มีสิทธิตกนรกเช่นเดียวกัน
หลงอันที่ห้า คือ หลงกลกาม คือ หลงเเต่งงาน ซ่ึงเป็น เรื่องเพิ่มงาน เพิ่มความยุ่งยากลำบากลำบนให้แก่ตน เอง ผูกมัดตนไว้กับการงาน บ้านเรือน ทำมาหากิน ไม่มีเวลาถือศีลปฏิบัติธรรมเจริญสติปัญญา เพื่อละ กิเลสเป็นพระอริยเจ้าเหมือนกัน
ผู้ขียน : ใครหละ จะช่วยพวกท่านใหเป็นเทวดาอริยะ พรหม อริยะ
เทวดา : ปกติจะมี 3 ท่าน คือ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เเละ พระอนาคามี ท้ังสามท่านเป็นผู้มีคุณธรรมพร้อม เเละ มีสติปัญญา สามารถเเนะนำวิธีประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุเป็นเทวดาอริยะพรหมอริยะได้ด้วยการทำทิฐิวิสุทธิ
ผูู้เขียน : ได้เป็นเทวดาอริยะพรหมอริยะเเล้วดีอย่างไร
เทวดา:ดีวิเศษสุดๆเลยคือเม่ือได้บรรลุธรรมเป็นเทวดาอริยะ พรหมอริยะเเล้ว เมื่อหมดอายุขัยในการเป็นเทวดา เป็นพรหมก็จะได้ไปจุติในสุทธาวาสภพซ่ึงเป็นภพพิเศษมีเเต่เลื่อนข้ึนไม่มีตกต่ำลงเหมือนเทพนิกาอื่นๆ เเละสุดท้ายก็ได้เล่ือนเข้านิพพาน เเดนซ่ึงมีเเต่ความสุข เป็นนิรันดร์ ข้ามพ้นวัฏฏสงสารได้อย่างถาวร ความ เป็นอริยะเจ้าจึงเป็นยอดปรารถนาของจิตวิญญาณผู้มีสัมมาทิฐิในหัวใจ
จบความส่วนสนทนา
……………………………………..
ผู้ครองเรือนประเภทไม่กล้าทิ้งบ้าน ไม่กล้าทิ้งลูก ทิ้งสามีภรรยามาภาวนานี่ อยากเขกหัวแรงๆ ในความหลงและเขลานัก ไม่ว่าจะใครก็ตามในชีวิต ล้วนมาตามวาระเพื่อการเกื้อกูล เพื่อการใช้หนี้ต่อกันและท้ายที่สุดต่างก็ตกเป็นบ่วงซึ่งกันและกัน ในความเป็นฆราวาสเมื่อต้องทำหน้าที่ก็ทำไป แต่ต้องเกื้อกูลพาตนเองให้หลุดพ้นและช่วยกันตัดบ่วงที่มัดกันไว้ ไม่ใช่ใช้ความลุ่มหลงผูกมัดบ่วงให้แน่นยิ่งขึ้นเหมือนที่โลกเป็นกันอยู่นี่ เพราะหากไม่ยอมออกภาวนาเพื่อถอดบ่วง ชีวิตก็ต้องกลับมาจมและเวียนว่ายในกองทุกข์ไม่จบสิ้น กองทุกข์ที่เรียกว่าวัฏฏสงสาร หรือสงสาร คือ สงสารตัวเองให้มาก สงสารอย่าให้ตัวเองต้องติดบ่วงทุกข์ไปมากกว่านี้
ขนาดเป็นเทวดาแล้ว ยังอยากเป็นอริยะเพื่อการหลุดพ้น แต่มนุษย์ก็ยังอยากทำบุญแค่ได้เป็นเทวดา ไม่ใช่เพื่อหลุดพ้น แต่เพื่อความสุขสบายท่าเดียว นี่ความหลงยิ่ง พออุตส่าห์มีผู้ชี้ทางลัดสู่การหลุดพ้นให้ แทนที่จะยินดีในทาง กลับมาปรามาสผู้ชี้ทางว่าเป็นไปไม่ได้ มารอะไรจะพาเจ้าหลงกันตามืดมัวปานนี้
เตโชวิปัสสนานี่ไม่พูดเรื่องเทวดา พูดแต่เรื่องอริยะและการหลุดพ้นอย่างเดียว เพราะเราแจ่มแจ้งในธรรมดังเช่นที่เทวดาหญิงนี้ได้บรรยายธรรมไว้ อย่าหลงในสงสารเลยท่านทั้งหลาย สงสารตนให้มาก ขออนุโมทนาสาธุการต่อท่านผู้เขียนและขออำนวยพรให้เทวดาผู้อยากเป็นอริยะ ได้สมความปรารถนาเป็นอริยะไวๆ ว่างๆ ก็เชิญลอยมาแถวๆ เตโชวิปัสสนาสถานบ้างก็ได้ถ้าชอบทางไวใจถึง อาจารย์ยินดีต้อนรับ
เขียนโดยอาจารย์ อัจฉราวดี วงศ์สกล
www.techovipassana.org
ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เนท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น