"...คำว่า ศีล ได้แก่สภาพเช่นไร? ศีลอย่างแท้จริงเป็นไปด้วย ความมีสติ รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควร
ระวังการระบายออกทาง
ทวารทั้งสาม...คอยบังคับ
" กาย วาจา ใจ" ให้เป็นไป ในขอบเขตของ"ศีล"ที่เป็นสภาพปกติ
"ศีล" ที่เกิดจากการรักษา มีสภาพปกติ ไม่คะนองทาง
"กาย วาจา ใจ" ให้เป็นที่เกลียด
นอกจากความปกติ งดงามทาง
"กาย วาจา ใจ" ของผู้มีศีลว่าเป็นศีล
เป็นธรรม เราควรรักษาศีล 5
1. สิ่งที่มีชีวิตเป็นสิ่งที่มีคุณค่า จึงไม่ควรเบียดเบียน ข่มเหง และทำลายคุณค่า ของความเป็นอยู่ของเขาให้ตกไป
2. สิ่งของของใคร ๆ ก็รักและสงวน
ไม่ควรทำลาย ฉกลัก ปล้น จี้ เป็นต้น
อันเป็นการทำลายและทำลายจิตใจกัน
3.ลูก หลาน สามี ภรรยา ใคร ๆ ก็รัก
สงวนอย่างยิ่ง ไม่ปรารถนาให้ใครมาอาจเอื้อม
ล่วงเกิน เป็นการทำลายจิตใจของผู้อื่นอย่าง
หนักและเป็นบาปอย่างไม่มีประมาณ
4. มุสา การโกหกพกลม เป็นสิ่งที่ทำลายความเชื่อถือของ
ผู้อื่น ให้ขาดสะบั้นลง อย่างไม่มีดี
แม้เดรัจฉานก็ยังไม่พอใจคำ
"หลอกลวง"จึงไม่ควรโกหก
หลอกลวง ให้ผู้อื่นเสียหาย
5. สุรา ยาเสพติด เป็นของมึนเมาและให้โทษ ดื่มเข้าไปย่อมทำให้คนดีๆ กลายเป็นคนบ้าได้ ลดคุณค่าลงโดยลำดับ ผู้ต้องการเป็นคนดีมีสติปกครองตัว
อย่างมนุษย์ จึงไม่ควรดื่มสุรา
เครื่องทำลายสุขภาพและร่างกาย
และใจอย่างยิ่ง เป็นการทำลายตัวเอง และผู้อื่นไปด้วยในขณะเดียวกัน
อานิสงส์ของการรักษาศีล 5
1. ทำให้อายุยืนปราศจาก
โรคภัยเบียดเบียน
2. ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในการ
ปกครองมีความปลอดภัย จากโจรผู้ร้ายมาราวี เบียดเบียนทำลาย
3. ระหว่าง ลูก หลาน สามี ภริยา อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้คอยล่วงล้ำกล่ำกราย ต่างครองกันอยู่ด้วยความเป็นสุข
4. พูดอะไรมีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะ
ด้วยสัตย์ด้วยศีล
5. เป็นผู้มีสติปัญญาดี
และเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้าหลงหลัง จับโน่นชนนี่เหมือนคนบ้าคนบอ
หาสติไม่ได้ ผู้มีศีลเป็นผู้ปลูก และส่งเสริมสุข บนหัวใจคนและสัตว์
ไม่ให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนทุก
หย่อมหญ้า
ศีล นั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร
ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ "เจตนา"เป็นตัวศีล เจตนา คือ จิตใจ
คนเราถ้าจิตไม่มี ก็ไม่เรียกว่าตน
มีเเต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิต ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อ"จิต"ไม่เป็นศีล.. กายก็ประพฤติไปต่างๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ เป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว
ไม่มีเรื่องหลงหาหลงของ คนที่หา
คนที่ขอ ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไรยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยาก ยากเข็ญยิ่งไม่มี กายกับจิตเราได้มาแล้ว มีอยู่แล้วได้จากบิดามารดา พร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่มีกาล
ผู้มีศีลย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ
ผู้มีศีลย่อมมีความสุข
ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์สมบูรณ์
ไม่อด ไม่อยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์
จิตดวงเดียว เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ผู้มีศีลแท้เป็นผู้หมดเวรหมดภัย"
#คติธรรมคำสอน
หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น