08 พฤศจิกายน 2561

ทำไมผู้ถูกเลือกถึงต้องมีธรรมะ?? โดย

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)

สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวเน้นก็เพื่อให้เกิดประโยชน์ตนอย่างยิ่ง  แก่ผู้ทำงานนั้น ๆ   #ก็เพราะนี่คือโอกาส    #ที่จะปล่อยวาง  ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5  โดยเห็นตามความเป็นจริงได้

#เพราะมีโอกาสได้รับรู้ถึงกฏธรรมชาติ  #ที่เป็นกฏเดียวกันกับที่พระพุทธองค์ตรัสรู้  แล้วนำมาอธิบายให้เข้าใจโดยละเอียด

ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เป็นประโยชน์ตน   ที่มนุษย์พึงกระทำให้ถึงได้  ในช่วงชีวิตที่มีเวลาอันน้อยนิดนี้

#มนุษย์ต่างดาวจากดาวพลูโต   #ที่มาฝึกให้ปล่อยวาง #ละการยึดมั่นถือมั่นในความเห็นว่าเป็นตัวตน  เห็นตนมีขันธ์  อุปาทานว่าขันธ์ 5 นี้เป็นตัวเราของเรา   และมาอธิบาย  ขยายความ  ให้มีเข้าใจกลไกของธรรมชาตินั้น

ท่านมาจากดวงดาวที่มีอายุยืนหลายหมื่นปี  หลายหมื่นปี ....  ขอย้ำ

ดังนั้น  เห็นมนุษย์โลก  ที่มีอายุแค่  70 -80 ปี  นิดเดียวแค่นี้  นิดเดียวในสายตาของเขา  นับไม่ได้ว่าเป็นเศษเสี้ยวเท่าไรของเขา   #ยังมีแต่ความหลง  #ความยึดติดในชีวิตอันคิดว่าเป็นของตน   มีความแก่งแย่งชิงดีกัน  ทำลายล้างซึ่งกันและกัน

ชีวิตนิดเดียว  เวลานิดเดียว  #กลับคิดว่ายิ่งใหญ่  ฉันแน่  ฉันเก่ง  ฉันดี  ใช้เวลาที่มีอันน้อยนิดไปสร้างสมกรรม  วิบากกรรมมากมาย  แล้วก็ตายไปใช้กรรม  ในระยะเวลาอันยาวนานในภพภูมิต่าง ๆ  มากมาย  มากกว่าเวลาในโลกมนุษย์หลายเท่านัก

แล้วยังไม่ตระหนักเลยว่า  เวลาที่เหลือนี้....ยิ่งน้อยใหญ่     กับภัยธรรมชาติที่กำลังจะมาถึง

แต่สิ่งเหล่านี้  แม้ผู้ที่มาช่วยเหลือแม้รู้  แม้เห็น   บางครั้งก็ไม่อาจช่วยได้   #เพราะไม่อาจแทรกแซงในเรื่องของกรรม  เรื่องของกฏแห่งกรรมได้

จึงต้องช่วยเหลือได้เพียงในบางส่วนของบุคคลที่มีวิบากที่เป็นกุศล  พร้อมได้รับการช่วยเหลือเท่านั้น  

#เพราะทุกสิ่งเกิดขึ้นจากแรงกรรม  จากวิบากกรรมของแต่ละคน  แต่ละท่าน ที่ต้องเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ

เพราะไม่มีใครใหญ่เกินกรรม  ทุกคนมีกรรมเป็นตัวกำหนดกันทั้งนั้น

ผู้ที่ไม่เชื่อ  ไม่สนใจ  ไม่ปฏิบัติ  แม้จะรู้จะเข้าใจ  แต่ก็มีบางสิ่งมาปิดบังให้มีความเห็นที่แตกต่างออกไป   จึงต้องมีคนมากมายที่หายไปกับอุบัติภัยเหล่านี้

นั่นคือ  #เขาก็ต้องมีกรรมเป็นแรงส่ง  #ให้ไปยังที่นั้นๆ  #ต้องพบกับภัยพิบัตินั้นๆ

ดังนั้น  เวลาที่ยังมีอยู่นี้  #เรียกว่าเป็นเวลาทองของการปฏิบัติ  เพราะยังมีเวลา  ยังมีความสงบอยู่บ้าง  ยังไม่โกลาหลวุ่ยวายมากมายนัก

จึงต้องเร่งปฏิบัติ  ทำความเข้าใจ  และปล่อยวางให้ได้ในระดับหนึ่ง  #มีสติเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติ  การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การแปรปรวนไป  ของธาตุทางธรรมชาติ

เพราะเมื่อเผชิญสิ่งเหล่านั้นแล้ว  จะไม่มีเวลาสงบ  #จะต้องอยู่กับความวุ่นวาย  แล้วต้องมีความเข้าใจในกลไกของขันธ์ 5 อย่างเพียงพอ จึงจะเอาตัวรอดจากทุกข์ได้

จะมีความสงบได้  ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น

ดังนั้น รูปแบบการฝึกของกลุ่มนี้  ก็คือ  ฝึกให้มีสติ เห็นความเป็นจริงของขันธ์ 5  ที่ต้องปรุงแต่งมากมาย  เมื่อเจอกับความวุ่นวายเหล่านั้น

#จะไปห้ามไม่ให้ขันธ์ปรุงแต่งไม่ได้  #เพราะสัญญา  #การบันทึกมาของขันธ์ห้ามันเป็นอย่างนั้น  ความกลัว ความห่วง  ความกังวล  ย่อมเกิดขึ้นมากมาย   แต่มีสติเห็นได้   โดยไม่ไปยึดถือกับมัน

เรียกว่า #อยู่เหนือการปรุงแต่งของขันธ์  มีสติรู้เท่าทัน  แล้วทำตามกลไกธรรมชาติของขันธ์ 

เมื่อเห็นขันธ์ทำงาน  เห็นการวุ่นวาย  เห็นความทุรนทุรายของบุคคลรอบข้าง

จะเกิดความเข้าใจ   ปล่อยให้กลไกของขันธ์ทำงานไปตามความเหมาะสม  แล้วดูการทำงานเหล่านั้นด้วยความสงบ  เพราะขันธ์ 5 จะรู้ จะเข้าใจ จะทำงานของมันได้ แม้ไม่มีใครเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์นั้นก็ตาม

#เหมือนผู้หลุดพ้นจากอวิชชา   จากอุปาทานขันธ์ไปแล้ว   ท่านอยู่เหนือสุข  เหนือทุกข์แล้ว  เหนือโลกธรรม 8 แล้ว   ท่านก็ยังใช้ขันธ์ 5  #ไปช่วยคนอีกมากมาย  เดินทางไกลเพื่อไปเผยแพร่ธรรม  ให้รู้ถึงธรรม 

ขันธ์ 5 ของท่าน  ก็ยังคงทำงานได้   แต่ท่านไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์แล้วเท่านั้นเอง  เพราะท่านพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ไปแล้ว

ขันธ์ก็ยังทำงานได้  ยังเผยแพร่ธรรมได้  ยังเดินทางไปไหน ๆ ด้วยการให้ธรรมเป็นทาน  ซึ่งเป็นการช่วยให้คนเห็นธรรมนั่นเอง

เพราะการไปสุข  ไปทุกข์   กับขันธ์  ก็คือการเข้าไปยึดถือเอาเอง  ไปรับผิดชอบการปรุงแต่งนั้น ๆ เอาเอง  ไปอุปาทานเอาเอง   ด้วยความไม่รู้

แม้ไม่เข้าไปยึดถือ  ไม่เข้าไปรับผิดชอบว่าเป็นเรา  ขันธ์เขาก็ทำงานได้  อาจดีมากกว่ามีใครไปคอยยึดเกาะด้วยซ้ำ

ดังนั้น  ....  จะสงบ   ท่ามกลางความวุ่นวายได้  #ก็ต่อเมื่อเข้าใจขันธ์5 ตามความเป็นจริง

....................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...