กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)
สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวเน้นก็เพื่อให้เกิดประโยชน์ตนอย่างยิ่ง แก่ผู้ทำงานนั้น ๆ #ก็เพราะนี่คือโอกาส #ที่จะปล่อยวาง ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 โดยเห็นตามความเป็นจริงได้
#เพราะมีโอกาสได้รับรู้ถึงกฏธรรมชาติ #ที่เป็นกฏเดียวกันกับที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ แล้วนำมาอธิบายให้เข้าใจโดยละเอียด
ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เป็นประโยชน์ตน ที่มนุษย์พึงกระทำให้ถึงได้ ในช่วงชีวิตที่มีเวลาอันน้อยนิดนี้
#มนุษย์ต่างดาวจากดาวพลูโต #ที่มาฝึกให้ปล่อยวาง #ละการยึดมั่นถือมั่นในความเห็นว่าเป็นตัวตน เห็นตนมีขันธ์ อุปาทานว่าขันธ์ 5 นี้เป็นตัวเราของเรา และมาอธิบาย ขยายความ ให้มีเข้าใจกลไกของธรรมชาตินั้น
ท่านมาจากดวงดาวที่มีอายุยืนหลายหมื่นปี หลายหมื่นปี .... ขอย้ำ
ดังนั้น เห็นมนุษย์โลก ที่มีอายุแค่ 70 -80 ปี นิดเดียวแค่นี้ นิดเดียวในสายตาของเขา นับไม่ได้ว่าเป็นเศษเสี้ยวเท่าไรของเขา #ยังมีแต่ความหลง #ความยึดติดในชีวิตอันคิดว่าเป็นของตน มีความแก่งแย่งชิงดีกัน ทำลายล้างซึ่งกันและกัน
ชีวิตนิดเดียว เวลานิดเดียว #กลับคิดว่ายิ่งใหญ่ ฉันแน่ ฉันเก่ง ฉันดี ใช้เวลาที่มีอันน้อยนิดไปสร้างสมกรรม วิบากกรรมมากมาย แล้วก็ตายไปใช้กรรม ในระยะเวลาอันยาวนานในภพภูมิต่าง ๆ มากมาย มากกว่าเวลาในโลกมนุษย์หลายเท่านัก
แล้วยังไม่ตระหนักเลยว่า เวลาที่เหลือนี้....ยิ่งน้อยใหญ่ กับภัยธรรมชาติที่กำลังจะมาถึง
แต่สิ่งเหล่านี้ แม้ผู้ที่มาช่วยเหลือแม้รู้ แม้เห็น บางครั้งก็ไม่อาจช่วยได้ #เพราะไม่อาจแทรกแซงในเรื่องของกรรม เรื่องของกฏแห่งกรรมได้
จึงต้องช่วยเหลือได้เพียงในบางส่วนของบุคคลที่มีวิบากที่เป็นกุศล พร้อมได้รับการช่วยเหลือเท่านั้น
#เพราะทุกสิ่งเกิดขึ้นจากแรงกรรม จากวิบากกรรมของแต่ละคน แต่ละท่าน ที่ต้องเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ
เพราะไม่มีใครใหญ่เกินกรรม ทุกคนมีกรรมเป็นตัวกำหนดกันทั้งนั้น
ผู้ที่ไม่เชื่อ ไม่สนใจ ไม่ปฏิบัติ แม้จะรู้จะเข้าใจ แต่ก็มีบางสิ่งมาปิดบังให้มีความเห็นที่แตกต่างออกไป จึงต้องมีคนมากมายที่หายไปกับอุบัติภัยเหล่านี้
นั่นคือ #เขาก็ต้องมีกรรมเป็นแรงส่ง #ให้ไปยังที่นั้นๆ #ต้องพบกับภัยพิบัตินั้นๆ
ดังนั้น เวลาที่ยังมีอยู่นี้ #เรียกว่าเป็นเวลาทองของการปฏิบัติ เพราะยังมีเวลา ยังมีความสงบอยู่บ้าง ยังไม่โกลาหลวุ่ยวายมากมายนัก
จึงต้องเร่งปฏิบัติ ทำความเข้าใจ และปล่อยวางให้ได้ในระดับหนึ่ง #มีสติเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติ การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การแปรปรวนไป ของธาตุทางธรรมชาติ
เพราะเมื่อเผชิญสิ่งเหล่านั้นแล้ว จะไม่มีเวลาสงบ #จะต้องอยู่กับความวุ่นวาย แล้วต้องมีความเข้าใจในกลไกของขันธ์ 5 อย่างเพียงพอ จึงจะเอาตัวรอดจากทุกข์ได้
จะมีความสงบได้ ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น
ดังนั้น รูปแบบการฝึกของกลุ่มนี้ ก็คือ ฝึกให้มีสติ เห็นความเป็นจริงของขันธ์ 5 ที่ต้องปรุงแต่งมากมาย เมื่อเจอกับความวุ่นวายเหล่านั้น
#จะไปห้ามไม่ให้ขันธ์ปรุงแต่งไม่ได้ #เพราะสัญญา #การบันทึกมาของขันธ์ห้ามันเป็นอย่างนั้น ความกลัว ความห่วง ความกังวล ย่อมเกิดขึ้นมากมาย แต่มีสติเห็นได้ โดยไม่ไปยึดถือกับมัน
เรียกว่า #อยู่เหนือการปรุงแต่งของขันธ์ มีสติรู้เท่าทัน แล้วทำตามกลไกธรรมชาติของขันธ์
เมื่อเห็นขันธ์ทำงาน เห็นการวุ่นวาย เห็นความทุรนทุรายของบุคคลรอบข้าง
จะเกิดความเข้าใจ ปล่อยให้กลไกของขันธ์ทำงานไปตามความเหมาะสม แล้วดูการทำงานเหล่านั้นด้วยความสงบ เพราะขันธ์ 5 จะรู้ จะเข้าใจ จะทำงานของมันได้ แม้ไม่มีใครเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์นั้นก็ตาม
#เหมือนผู้หลุดพ้นจากอวิชชา จากอุปาทานขันธ์ไปแล้ว ท่านอยู่เหนือสุข เหนือทุกข์แล้ว เหนือโลกธรรม 8 แล้ว ท่านก็ยังใช้ขันธ์ 5 #ไปช่วยคนอีกมากมาย เดินทางไกลเพื่อไปเผยแพร่ธรรม ให้รู้ถึงธรรม
ขันธ์ 5 ของท่าน ก็ยังคงทำงานได้ แต่ท่านไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์แล้วเท่านั้นเอง เพราะท่านพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ไปแล้ว
ขันธ์ก็ยังทำงานได้ ยังเผยแพร่ธรรมได้ ยังเดินทางไปไหน ๆ ด้วยการให้ธรรมเป็นทาน ซึ่งเป็นการช่วยให้คนเห็นธรรมนั่นเอง
เพราะการไปสุข ไปทุกข์ กับขันธ์ ก็คือการเข้าไปยึดถือเอาเอง ไปรับผิดชอบการปรุงแต่งนั้น ๆ เอาเอง ไปอุปาทานเอาเอง ด้วยความไม่รู้
แม้ไม่เข้าไปยึดถือ ไม่เข้าไปรับผิดชอบว่าเป็นเรา ขันธ์เขาก็ทำงานได้ อาจดีมากกว่ามีใครไปคอยยึดเกาะด้วยซ้ำ
ดังนั้น .... จะสงบ ท่ามกลางความวุ่นวายได้ #ก็ต่อเมื่อเข้าใจขันธ์5 ตามความเป็นจริง
....................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น