อิสตรีผู้ครองเพศพรหมจรรย์มุ่งหวังความหลุดพ้น
กับพาลชนผู้ลุ่มหลงกามารมณ์
๏ บรรลุอนาคามีผลภายใน ๓ วันหลังออกบวช
ภิกษุณีนางหนึ่งอาศัยป่าด้านทิศใต้เป็นที่หลีกเร้นในวัดเวฬุวัน นางพรางคิดว่าก่อนบวชเราศรัทธาในพระศาสดา เห็นพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมาอยู่แค่เอื้อม สละทรัพย์สมบัติจากตระกูลพราหมณ์ที่มหาศาลผู้เป็นบิดา สละจากกุลธิดาผู้พรั่งพร้อมมาขอทานประทังชีวิต สละความงามที่ไม่มีใครปานมาเป็นภิกษุณี ผู้อยู่แต่เดียวดาย แม้ผิวพรรณแต่ก่อนเป็นดั่งทอง แต่เดี๋ยวนี้กลับหมองคล้ำไป "สุภา" สุภาชื่อเราที่ใครๆ นิยมชมชื่นว่างามยิ่งในราชคฤห์ อีกไม่กี่วันเขาก็คงลืมหาย นางพิจารณาหัวข้อธรรมบางประการ ประคองจิต และสติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พรางรำลึกถึงธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเมื่อสายวานนี้ เพื่อเทียบกับใจและความเพียรที่กำลังเพ่งพิศอยู่ พระธรรมเทศนาของพระศาสดานั้นช่างโดนใจของนางเสียเหลือเกิน ในขณะที่นางกำลังต่อสู้กับกิเลสอยู่นั้น นางย้อนรำลึกถึงพระธรรมเทศนาประดุจธาราที่หลั่งไหลมาจากภูเขาสูงซัดสาดเอาสิ่งสกปรกทั้งหลายมาด้วย
พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เมฆคือฟ้ามี ๔ อย่างคือ
๑. ฟ้าคำรามแต่ฝนไม่ตก
๒. ฝนตกแต่ฟ้าไม่คำราม
๓. ฟ้าไม่คำราม ทั้งฝนก็ไม่ตก
๔. ฟ้าคำรามด้วยทั้งฝนก็พลอยตกด้วย
ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลเปรียบด้วยเมฆคือฟ้า ๔ จำพวกนี้จึงมีปรากฏอยู่ในโลกนี้คือ
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบพูดแต่ไม่ชอบทำ เป็นคนดุจฟ้าคำรามแต่ฝนไม่ตก
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบทำแต่ไม่ชอบพูด เป็นคนประดุจฝนตกแต่ฟ้าก็ไม่คำราม
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนไม่ชอบพูดด้วยทั้งไม่ชอบทำ เป็นคนประดุจฟ้าไม่คำรามและทั้งฝนก็ไม่ตก
คนบางคนในโลกนี้ เป็นคนชอบพูดด้วยและชอบทำด้วย เป็นคนประดุจฟ้าคำรามด้วยและฝนก็พลอยตกลงไปด้วย
ภิกษุทั้งหลายบุคคลเปรียบด้วยเมฆคือฟ้า ๔ จำพวกนี้ จึงมีปรากฏอยู่ในโลกนี้ บุคคล ๔ จำพวกที่พระศาสดาตรัสไว้ เราจะถูกจัดไว้ในจำพวกไหนในเวลานี้หนอ นางพรางคิดแล้ว น้ำตานางก็เอ่อออกจากเบ้าตา นางพรางคิดถึงพระดำรัสของพระศาสดาเพื่อย้ำเตือนจิตใจ เพื่อต่อสู้กับกิเลสฝ่ายต่ำที่ย่ำยีหัวใจมาช้านาน
นางสูดลมหายใจลึกๆ แล้วอุทานเบาๆ ว่า โอ ! ธรรมชาติของกิเลสมันเป็นอย่างนี้เอง เราจะอยู่ในชาติชั้นวรรณะเพศภาวะใดๆ ก็ตาม มันก็คงตามรังควานจิตใจของเราอยู่เสมอ ตราบใดที่มีอวิชชาเป็นฝ้าบังปัญญา ตราบนั้นมนุษย์ก็ยังคงเป็นผู้โง่เขลา ทั้งๆ ที่หลงระเริงว่าตัวเองฉลาด
จิตใจของนางโปร่งโล่งเบาสบาย คลายทุกข์คลายกังวล ความศรัทธาของนางเกิดขึ้นต่อพระศาสดาเมื่อคราวพระองค์เสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์ ก่อนบวชเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาเกิดศรัทธาอย่างยิ่ง เกิดความสังเวชในสังสารวัฏ เห็นโทษในกามทั้งหลาย และกำหนดเอาเนกขัมมะคือการบวชเป็นทางชีวิต บวชในสำนักของนางภิกษุณี นามว่า "ปชาบดีโคตมี"
สุภาภิกษุณีตั้งใจบำเพ็ญสมถะวิปัสสนา โดยยึดเอาหัวข้อธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงมาพิจารณา โดยกาลไม่นานนักเพียง ๓ วัน แห่งการอุปสมบทเป็นภิกษุณี นางก็สำเร็จอนาคามิผลเป็นพระอนาคามีในพระพุทธศาสนา บัดนี้ใจของนางมีคุณธรรมเป็นเครื่องรองรับแล้ว กิเลสที่เคยก่อกวนใจให้หักเห บัดนี้ไม่มีแล้ว นางจึงเหมือนวัวตัวแรกพร้อมที่จะออกจากคอกคือวัฏฏะที่รุมล้อมจิตใจมานานแสนนาน ถึงนางยังไม่บรรลุอรหันต์ แต่ทุกข์นั้นก็มีน้อยเต็มที
๏ พระสุภาเถรี ประสบกับนักเลงเจ้าชู้ ยืนดักหมายจะขืนใจ
สุภาภิกษุณีบวชได้ ๑๐ พรรษา เป็นพระเถรีแล้ว แต่ความงามและเรือนร่างยังเป็นที่ติดตาตรึงใจสำหรับบุรุษผู้ไม่เบื่อในกามทั้งหลาย พระสุภาเถรีเป็นผู้มีรูปโฉมงดงาม ถึงเป็นภิกษุณีก็เป็นที่ปองหมายของบุรุษวัยแรกหนุ่มและวัยแก่ในเมืองราชคฤห์
อยู่มาวันหนึ่งพระเถรีปรารถนาจะหลีกเร้นหาที่สงบสงัด เนื่องจากมีที่ไม่ไกลจากวัดเชตวันมากนักเป็นสวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจ สวนมะม่วงนั้นน่าปลื้มใจเป็นที่สบายน่ารื่นรมย์ใจอย่างยิ่งเพราะพรั่งพร้อมด้วยภูมิภาค และพรั่งพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ ขณะที่นางกำลังเดินไปพักกลางวันที่สวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจ ชายนักเลงหญิงคนหนึ่งเป็นชาวกรุงราชคฤห์ เป็นหนุ่มแรกรุ่น เป็นลูกชายของนายช่างทองผู้มีสมบัติมากผู้หนึ่ง เป็นคนหนุ่มสะสวย เป็นผู้ชอบเที่ยวมัวเมา มองเห็นพระเถรีเดินทางสวนมาก็เกิดจิตปฏิพัทธ์จึงยืนขวางทางกั้นไว้ด้วยหมายจะขืนใจ
พระเถรีจึงกล่าวขึ้นว่า "ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรของนายช่างทอง ข้าพเจ้าทำผิดอะไรต่อท่าน ท่านจึงมายืนกั้นขวางทางข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าเป็นภิกษุณี เป็นผู้หญิง การปฏิบัติต่อสตรีอย่างนี้มันไม่สมควร บุรุษไม่ควรปฏิบัติต่อสตรีด้วยอาการเยี่ยงนี้ ดูก่อนท่านพ่อหนุ่ม ผู้ชายไม่ควรถูกต้องหญิงที่บวชแล้วเลย และหญิงก็ไม่ควรถูกต้องชายที่บวชแล้ว หญิงที่บวชแล้วและชายที่บวชแล้วก็ไม่ควรถูกต้องซึ่งกันและกัน จะป่วยกล่าวไปใยถึงการถูกต้องผู้ชายเล่า
แม้โดยจารีตของโลก ชายก็ไม่ควรถูกต้องหญิงนักบวชทั้งหลาย ส่วนหญิงนักบวชไม่สมควรถูกต้องแม้แต่สัตว์เดรัจฉานตัวผู้ หญิงนักบวชนั้นไม่สมควรถูกต้องชาย แม้ผู้มีของภายนอกด้วยของภายนอกโดยอำนาจราคะเลยทีเดียว สิกขาเหล่าใดอันพระสุคตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงบัญญัติ เฉพาะภิกษุณีทั้งหลายไว้ในศาสนาที่หนักดังฉับหินคือ ที่ควรเคารพ เหตุไรท่านจึงมายืนกั้นขวางทางเราผู้กำลังจะเดินไป ผู้มีส่วนบริสุทธิ์ด้วยสิกขาเหล่านั้นไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน ส่วนท่านสิเป็นผู้มีจิตขุ่นมัวสกปรกไม่สะอาด มีธุลีคือราคะเป็นต้นทับถมจิตใจ
ท่านพ่อหนุ่ม เพราะเหตุไรท่านจึงมายืนขวางทางเราเพื่อจะปลุกปล้ำ เราเป็นหญิง เราเป็นผู้มีจิตไม่ขุ่นมัวแล้วปราศจากราคะ ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวน มีจิตหลุดพ้นแล้วจากเบญจขันธ์ทั้งมวล ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง พระเถรีกล่าวขึ้นดังๆ เพื่อกลบความเงียบสงัดในไพรสณฑ์ ท่านเคยเห็นพระศาสดาและฟังธรรมของพระองค์บ้างหรือ พระองค์เคยตรัสว่า อันร่างกายนี้สะสมไว้แต่ของสกปรกโสโครก มีสิ่งปฏิกูลไหลออกจากทวารทั้ง ๙ มีช่องหู มีช่องจมูก น่ารังเกียจ เป็นที่อาศัยแห่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย เป็นป่าช้าแห่งซากสัตว์นานาชนิด เป็นรังแห่งเชื้อโรค เป็นที่เก็บมูตรและกรีษ อุปมาเหมือนถุงหนังซึ่งบรรจุเอาสิ่งโสโครกต่างๆ เข้าไว้ แล้วซึมออกมาเสมอๆ เจ้าของกายจึงต้องขัดถูวันละหลายๆ ครั้ง
เมื่อเว้นจากการชำระล้างแม้เพียงวันเดียวหรือ ๒ วัน กลิ่นเหม็นก็ปรากฏเป็นที่น่ารังเกียจเป็นของน่าขยะแขยง ร่างกายนี้เป็นเหมือนเรือนซึ่งสร้างด้วยโครงกระดูก มีหนังและเลือดเป็นเครื่องฉาบทา ที่มองเห็นเปล่งปลั่งผุดผาดนั้นเป็นเพียงผิวหนังเท่านั้น เหมือนมองเห็นความงามแห่งหีบศพอันวิจิตรตระการตา ผู้ไม่รู้ก็ติดในหีบศพนั้น แต่ผู้รู้เมื่อทราบว่าเป็นหีบศพ แม้ภายนอกจะวิจิตรตระการตาเพียงไร ก็หาพอใจยินดีไม่เพราะทราบชัดว่าภายในแห่งหีบศพอันสวยงามนั้นมีสิ่งปฏิกูลพึงรังเกียจ"
เมื่อพระเถรีกล่าวจบลง บุรุษหนุ่มผู้บ้ากามนั้นก็หาคลายความกำหนัดลงแต่อย่างใดไม่ แววตาแห่งกามและกริยาที่กำหนัดนั้นแสดงออกมาทางไตรทวาร เมื่อพระเถรีสังเกตเห็นกริยาดังนั้น จึงกล่าวขึ้นเพื่อตอกย้ำว่า
ท่านหนุ่ม ผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง การที่ท่านประสงค์จะข่มขืนปลุกปล้ำหญิงที่อ้อนแอ้นไร้พละกำลังในการต่อสู้เช่นเรานี้ เป็นสิ่งที่น่าละอายอย่างยิ่ง อารามเชตวันที่พระศาสดาทรงประทับอยู่ก็ไม่ไกลจากที่แห่งนี้นัก การที่ท่านปรารถนาจะทำกรรมอันน่าบัดสี พระองค์ต้องทรงทราบอย่างแน่นอน เราเป็นภิกษุณี เป็นบุตรีของพระศาสดา ไฉนพระองค์จะไม่ทรงทราบกรรมอันจะนำท่านไปสู่นรกเช่นนั้น
ท่านเอย ! ไม่มีความสุขใดในโลกเสมอด้วยความสงบ ความสุขชนิดนี้หาได้ด้วยตัวของเราเอง ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย มนุษย์ได้สรรสร้างสิ่งต่างๆ ไว้เพื่อตัวเองวิ่งตาม แต่ก็ตามไปไม่ทัน การแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลลื่นไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้นเป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อยเหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาตัวเล็กๆ เพียงตัวเดียว
มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกินและเรื่องเกียรติจนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่งซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือดวงจิตที่ผ่องแผ้ว เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน เรื่องกินเป็นเรื่องที่ต้องแสวงหา และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกหามเอาไว้ เมื่อมีเกียรติมากขึ้น ภาระที่จะต้องแบกเกียรติเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงตนว่าเจริญแล้ว ในหมู่ชนที่เพ่งมองความงามแต่ด้านภายนอกนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวโลกีย์ของโลกอย่างหลับหูหลับตา เขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อมๆ กันนั้น เขาได้แบกก้อนหิน วิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตชนิดที่ไม่รู้จักปลงวาง"
เมื่อสุภาภิกษุณีกล่าวจบลงท่ามกลางความเงียบสงัดในป่าใหญ่ บุรุษผู้มีความใคร่ได้นางไว้เชยชมหยุดนิ่งท่ามกลางทางแคบๆ ที่ไร้ผู้คนสัญจรไปมา ท่านเอยจะมีอะไรหละที่บุรุษต้องการจากสตรีนอกจากได้นางมาเป็นของตน และเชยชมสมใจที่กระหายอยากได้อยากสัมผัส
บุรุษหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทองจึงกล่าวขึ้นว่า "แม่นาง ท่านยังเป็นสาวทั้งรูปร่างก็สวยไม่สร่าง การบวชเป็นภิกษุณีไม่เห็นมันจะดีตรงไหน ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร ท่านจงเปลื้องจีวรทิ้งเสียเถิดนะ อันผ้าย้อมด้วยน้ำฝาดสีหมองคล้ำไม่เหมาะกับแม่นางผู้สง่างาม แม่นางต้นไม้ทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยเกสรดอกไม้ดูแล้วน่ารื่นรมย์โชยกลิ่นดอกบานสะพรั่งหอมไปทั่วป่า ฤดูนี้เริ่มฤดูฝนเป็นฤดูมีความสุข ถ้ามีการสัมผัสกัน สัมผัสนั้นคงเป็นที่สบาย ความเกิด ความแก่ ความเจ็บและความตาย เราก็คงลืมไปสิ้น มาสิแม่นางมาร่วมรักกัน มาอภิรมย์กัน อย่าหุนหันและขัดขืน
ถ้าเราทั้ง ๒ ได้ร่วมรักกันในป่านี้ คงไม่มีอะไรน่าปรารถนายิ่งไปกว่า แม่นางต้นไม้ทั้งหลายยอดออกดอกบานสะพรั่งแล้ว ต้องลมไหวระริกดังจะมีเสียงคร่ำครวญ แม่นางเข้ามาอยู่ในป่าเพียงคนเดียวไม่เห็นจะมีอะไรน่ายินดีเลย บุรุษหนุ่มพูดจบพร้อมขยับเข้าไปใกล้ๆ เหมือนได้ใจในวาทะตนที่คมคายพร้อมกับกระหยิ่มภายในใจว่า ตนนั้นสามารถครองใจสตรีเพศได้โดยไม่ยากเย็น แม่นาง เขากล่าวขึ้นอีก ป่าใหญ่หมู่สัตว์ร้ายๆ อาศัยอยู่ เขาพูดขึ้นพร้อมกับแสดงท่าทางแห่งผู้เจนจัด ป่านี้คลาคล่ำไปด้วยช้างพลายตกมันและช้างพัง สถานที่แห่งนี้ไม่มีผู้คน น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก กลุ่มเนื้อร้ายมีราชสีห์และเสือเป็นต้น มักมาซุ่มทำร้ายและกินคนในที่นั้นๆ แม่นางไม่มีเพื่อนยังปรารถนาจะอยู่ป่าต่อไปอีกหรือ"
เมื่อเขาพูดจบลงพร้อมกับแสดงท่าทีว่านางภิกษุณีจนในปัญหา และเห็นสิ่งที่ตนบรรยายมาเป็นสิ่งที่น่ายินดี น่าอภิรมย์ ธรรมชาติของผู้ชายมักเข้าข้างตัวเองเสมอ ผู้ชายโดยทั่วๆ ไปมักเป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นสตรีมองก็ทึกทักเอาว่าเขารักตัว ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
สุภาภิกษุณีครุ่นคิดด้วยความมีสติและพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นางคิดอยู่อย่างเดียวว่าทำอย่างไรนางจะรอดพ้นจากการปลุกปล้ำข่มขืน นางกลัว กลัวเหลือเกิน กลัวความเศร้าหมองแห่งเพศพรหมจรรย์ แต่ที่สำคัญนางไม่อยากเป็นต้นเหตุให้บุรุษผู้นี้จมลงสู่ท้องอเวจีไม่มีวันเห็นแสงสว่างแห่งพระธรรม ความนิ่งความอ่อนโยนทำให้บุรุษผู้ร่านราคะนั้นตายใจและผ่อนคลายลงไปได้บ้าง บุรุษผู้บ้ากามนั้นก็พลันหันมามองนางเหมือนตุ๊กตาที่เด็กนิยมชมเล่น แม่นางผู้มีความงามสุดที่จะเปรียบเปรย บุรุษหนุ่มเอ่ยขึ้นเพื่อให้นางเกิดกำหนัดและโอนตาม แม่นางช่างนิ่งงามเหมือนตุ๊กตาซึ่งนายช่างทองที่ฝีมือวิจิตรบรรจงสร้างขึ้น รูปร่างและจิตใจเป็นประดุจเทพอักษร ไม่มีหญิงใดงามเท่า ถ้าแม่นางทำตามใจของข้าพเจ้า แม่นางจะได้รับความสุข โจรล่าสวาทหนุ่มพูดจบลงแล้วยืนมองใบหน้าอันงามของสุภาภิกษุณี
นางกล่าวขึ้นอีกว่า "ท่านพ่อหนุ่ม การครองเรือนเป็นเรื่องยาก เรือนที่ครองไม่ดีย่อมก่อทุกข์ให้มากหลาย การอยู่ร่วมกับคนพาลเป็นความทุกข์อย่างเดียว เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็ก หรือโซ่ตรวนใดๆ ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องจองจำที่แข็งแรงทนทานเลย แต่เครื่องจองจำคือบุตร ภรรยา สามี ทรัพย์สมบัตินี้แล รึงรัดมัดผูกสัตว์ทั้งหลายให้ติดอยู่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องผูกที่หย่อนๆ แต่แก้ได้ยาก คือบุตร ภรรยา สามี และทรัพย์สมบัตินี่เอง รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ เหล่านี้เป็นเหยื่อของโลก
เมื่อบุคคลยังติดอยู่ในรูปเป็นต้นนั้น เขาจะพ้นจากโลกไม่ได้เลย ไม่มีรูปใดที่รัดรึงตรึงใจของบุรุษได้เท่ากับรูปแห่งสตรี และไม่มีรูปใดที่จะรัดรึงตรึงใจของสตรีได้มากเท่ากับรูปแห่งบุรุษ แนะ ท่านบุตรแห่งนายช่างทอง เสียงเบาๆ แห่งนางภิกษุณีผู้กำลังกล่อมเกลาบุรุษให้คลายความกำหนัดเอื้อนเอ่ยขึ้น นางพูดพร้อมพนมมือขึ้นเหนือเศียรเกล้าเพื่อระลึกถึงพระศาสดา มือน้อยๆ ที่เรียวงามของนางบรรจงวันทาและอัญชลีทำให้บุรุษอลัชชีผู้ไม่ละอายเกรงกลัวไปได้บ้าง
ท่านหนุ่มเอย บุคคลผู้ยังตัดอาลัยในสตรีไม่ได้ ย่อมต้องเวียนเกิดเวียนตายเวียนทุกข์อยู่ร่ำไป แม้สตรีก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังตัดอาลัยในบุรุษไม่ได้ก็ย่อมประสบทุกข์อยู่ร่ำไป กิเลส กรรม และวิบากมีอำนาจควบคุมอยู่โดยทั่ว ไม่เลือกว่าเพศและภาวะใด แน่ะ ! ท่านหนุ่ม มนุษย์ผู้หลงใหลอยู่ในโลกิยารมณ์ ผู้เพลินอยู่ในความบันเทิงสุขอันสืบเนื่องมาจากความมึนเมาในกาม ทรัพย์ สมบัติ ชาติตระกูล ความหรูหราฟุ่มเฟือย ยศศักดิ์ และเกียรติอันจอมปลอมในสังคม ที่อยู่อาศัยอันสวยงาม อาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ต้องใส่ อำนาจและความทะนงตน ทั้งหมดนี้ทำให้บุคคลมีนัยตาฝ้าฟางมองไม่เห็นความงามแห่งพระสัทธรรมและความจริงแห่งชีวิต
นางพูดจบแล้วเงยหน้าขึ้นดูบุรุษนั้นหน่อยหนึ่ง ความดีและคนดีประดุจน้ำที่สะอาด สุภาภิกษุณี เธอเป็นหญิงที่ดี สะอาดทั้งกาย วาจา ใจ น้ำที่สะอาดย่อมเป็นที่ยินดีของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายฉันใด กาย วาจา ใจที่สะอาดของนางย่อมทำให้นางปลอดภัยได้ฉันนั้น ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมไม่ให้ตกไปสู่โลกที่ชั่ว บุคคลย่อมขาดอำนาจเพราะปราศจากการประพฤติธรรม แต่ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่พินาศไปเพราะเหตุใดๆ
ชายหนุ่มยืนนิ่งฟังนางภิกษุณีสาธยายแบบทัพพีไม่รู้รสแกง "ท่านเอยกิเลสนั้นมีกลมายาเล่ห์เหลี่ยมเสมอ บางทีทำเป็นรักแต่กลับชัง บางทีทำเป็นชังแต่กลับรัก บางทีต่อหน้าทำเป็นดีแต่ลับหลังกลับเชือดเฉือน กิเลสมักมีเล่ห์เหลี่ยมและกลมายาเสมอ"
เขาจึงพูดขึ้นว่า "แม่นางผู้มีดวงตาโศกดังกินรีเอย เชิญท่านมาอยู่ครองเรือนกับข้าพเจ้าเถิด แม่นางจงละการอยู่โดดเดี่ยวเพียงคนเดียว การนอนคนเดียว ละทุกข์ในเพศพรหมจรรย์เสีย มาสิ มาเสพสุขด้วยกามสมบัติ มาอยู่ครองเรือนกัน คนทั้งหลายในโลกนี้ เขาก็อยู่ครองเรือนกัน ท่านจะอยู่เดียวดายไปทำไม แม่นางจะได้อยู่ในปราสาทอันปราศจากลมพาล เป็นเสมือนวิมาน มีสาวใช้คอยทำการรับใช้ จะได้นุ่งห่มผ้าแคว้นกาสีเนื้อละเอียด แล้วประดับตบแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ และเครื่องลูบไล้ผิวพรรณ แม่นางเอย ! ดอกอุบลที่ผลุบโผล่ชูพ้นน้ำ ตั้งอยู่บานแล้วไม่มีหมู่มนุษย์ชมเชยแล้วฉันใด แม่นางก็เป็นสาวพรหมจารีฉันนั้น เมื่อส่วนแห่งเรือนร่างของแม่นางยังไม่มีใครชมเชยก็จะชราล่วงโรยไปเสียเปล่าๆ"
ไม่ว่านางสุภาภิกษุณีจะอธิบายอย่างไร ท่านหนุ่มก็แก้ปมได้อย่างนั้น ธรรมะเป็นสิ่งที่ทวนกระแสโลก แต่กิเลสมักเลื่อนไหลลงสู่ที่ต่ำและวิ่งตามกระแสโลก ผู้ประพฤติธรรมกับผู้ประพฤติกิเลสจึงเดินสวนทางกันไม่มีวันที่จะจับมารวมกันได้ นางภิกษุณียินดีพอใจที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อธรรม แต่ในทางตรงกันข้าม ชายหนุ่มกับเป็นผู้มีความหลงยินดีพอใจที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อกิเลส นางภิกษุณีไม่รู้จะทำประการใด จะไปก็ไม่ได้ นางอยากจะหนี หนีไปให้พ้น หนีให้พ้นจากคนใจบาป แต่นางก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
นางจึงเอ่ยขึ้นว่า "ท่านหนุ่มผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง กรรมอันใดที่ทำไปแล้วต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง ต้องมีหน้าชุ่มด้วยน้ำตาเสวยผลแห่งกรรมนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่าการกระทำเช่นนั้นไม่ดี ควรละเว้นเสีย ท่านพ่อหนุ่ม ท่านคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เคยเป็นกษัตริย์ สละราชสมบัติออกบวชเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระองค์ยังอยู่ในวัยหนุ่ม มีเกศายังดำสนิท ถูกแวดล้อมด้วยสตรีล้วนแต่สะคราญตา เป็นที่น่าปรารถนาของบุรุษผู้ตัดอาลัยในบ่วงกามมิได้
ร่างกายนี้ไม่นานนักก็จะนอนทับถมแผ่นดิน ร่างกายนี้เมื่อปราศจากวิญญาณครองแล้วก็ถูกทอดทิ้งเหมือนท่อนไม้ที่ไร้ค่า อันเขาทิ้งเสียแล้วโดยไม่ใยดี แน่ะ ! ท่านผู้เป็นบุตรแห่งนายช่างทอง ในร่างกายนี้เต็มไปด้วยซากศพ อันจะถูกทอดทิ้งไว้ในป่าช้ารังแต่จะรกป่าช้า ร่างกายนี้มีการแตกสลายไปเป็นปกติ ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ท่านพ่อหนุ่ม ข้าพเจ้าขอถามท่านจริงๆ ท่านเห็นสิ่งใดในตัวข้าพเจ้าแล้วยินดีพอใจ ขอท่านจงบอกแก่ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้เถิด"
เมื่อนางภิกษุณีมีวาทีที่เปิดทาง ดูเหมือนหนุ่มเจ้าชู้จะได้ใจ เขารีบตอบทันทีว่า
"นัยน์ตาของแม่นางงาม นัยน์ตาของแม่นางงามที่สุด ความรักของข้าพเจ้าเกิดขึ้นอย่างแรงกล้าเพราะเห็นดวงตาทั้งคู่ของแม่นาง กามคุณย่อมกำเริบแก่ข้าพเจ้าโดยยิ่งเพราะเห็นหน้าและนัยน์ตาของแม่นาง ดวงตาของแม่นางเหมือนปลายดอกอุบลแดง ปราศจากมลทิน งามดั่งแผ่นทองคำ แน่ะ ! แม่นางผู้เป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้า ผู้มuนัยน์ตาบริสุทธิ์ทั้งยาว ทั้งกว้าง แม้ข้าพเจ้าจะเดินทางไกลสักเท่าใด ก็จะไม่นึกถึงอะไรอื่น จะนึกถึงดวงตาทั้งคู่ของแม่นางเพียงเท่านั้น แม่นาง สิ่งอื่นอันจะเป็นที่รักยิ่งไปกว่าดวงตาของแม่นางไม่ได้มีอีกแล้ว"
"ท่านพ่อหนุ่ม ท่านต้องการและรักนัยน์ตาของข้าพเจ้าจริงหรือ"
"ใช่แล้วแม่นาง ข้าพเจ้ารักนัยน์ตาของท่าน" ขณะบุรุษหนุ่มกล่าวจบลง ทันใดนั้นเอง นางสุภาภิกษุณีใช้นิ้วมือควักดวงตาทั้งสองออกจากเบ้าตา แล้วยื่นให้หนุ่มเจ้าชู้ทันทีพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า "ท่านหนุ่มเชิญท่านเอาดวงตาที่ท่านว่างามนี้ไปเถิด เราให้ดวงตานี้แก่ท่าน"
บุรุษหนุ่มนั้นมองเห็นพระเถรีควักนัยน์ตายื่นมาให้ตนตามความต้องการ ราคะความกำหนัดยินดีหายไปในทันใด พร้อมกับก้มลงกราบแสดงคารวะธรรมประดุจอสรพิษร้ายถูกถอนพิษ รีบกล่าวคำขอโทษในทันที "ข้าแต่แม่หญิง ข้าแต่ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ข้าแต่แม่นางพรหมจารีผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่" เขากล่าวขึ้นพร้อมกับพนมมือแสดงอาการศิโรราบ
"ขอความไม่มีโรคพึงมีแก่แม่นางเถิด เบื้องหน้าแต่นี้ไปข้าพเจ้าจักไม่มีการประพฤติอนาจาร จักไม่ทำอย่างนี้อีกเป็นอันขาด" บุรุษหนุ่มแสดงอาการหวาดกลัว คำพูดก็สั่นเครือเหมือนจะไม่เชื่อสายตาในสิ่งที่ตนมองเห็น
แน่ะ ! ท่านหนุ่มผู้หลงผิด พระเถรีกล่าวขึ้นทั้งแสดงเมตตาจิตออกมาทางดวงหน้าและกิริยา "ท่านมากระทบกระทั่งบุคคลเช่นข้าพเจ้าก็เหมือนก่อกองไฟที่ลุกโชน เหมือนพยายามจับงูพิษร้าย ความสวัสดีคงมีแก่ท่านบ้างดอกนะ ข้าพเจ้ารับขมาท่าน ขอท่านจงเป็นสุข เป็นสุข"
นางพูดจบก็เดินเลี่ยงบุตรแห่งนายช่างทองผู้หื่นกามนั้นไป ไปยังวัดเวฬุวันที่พระบรมศาสดาประทับอยู่ น่าอัศจรรย์ น่าอัศจรรย์จริงๆ พระศาสดาทรงประทับรอขณะที่นางกำลังเดินทางมา นางเห็นพระศาสดาและพระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก พร้อมด้วยพุทธบริษัทหมู่ใหญ่กำลังฟังธรรมอยู่ในโรงธรรม ด้วยดวงตาคือญาณ นางคลานเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา เห็นพระมหาปุริสลักษณะอันบังเกิดด้วยบุญสมภารอันสูงสุด นางปลื้มปีติบันเทิงอยู่ในธรรมที่พระศาสดาทรงแสดง
พระองค์ทรงแสดงบทธรรมสั้นๆ ว่า "บัณฑิตไม่ควรประกอบกรรมชั่วเพราะเห็นแก่ความสุขส่วนตัว" พอพระศาสดาแสดงพระธรรมเทศนาจบลง ตาของนางที่มีเลือดไหลอาบอยู่นั้น ค่อยๆ กลับเป็นปกติและหายเป็นปกติดังเดิม นี่เป็นเพราะเหตุอะไรอื่นไปไม่ได้นอกจากพุทธานุภาพ นางอุทานเบาๆ ด้วยความปีติตื้นตันใจ โอ ! พุทธานุภาพ ช่างน่าอัศจรรย์ใจอะไรเช่นนั้น นางพิจารณาธรรมอยู่ไม่นานนักก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นภิกษุณีพุทธสาวิกาผู้หาได้ยากในโลก และโลกยังจะต้องจารึกชื่อนางไว้ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาสืบไปนานเท่านานว่านางสุภาภิกษุณีนี้เป็นสตรีผู้แกร่งกล้าและหาได้ยากในโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น