31 ธันวาคม 2563

ขอคำว่าไม่มี จงอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า

หลวงพ่อบอกว่า ปีใหม่นี้ขอให้อธิษฐานไว้เสมอๆว่า "ขอคำว่าไม่มี จงอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้า" แล้วจะมีผลจริงๆ

ก่อนวันขึ้นปีใหม่ หลวงพ่อยังแนะนำให้อธิษฐานอย่างนี้เลยว่า "ขอความซวยจงหายไปกับปีเก่า และความรวย ความโชคดี จงมากับปีใหม่"

ที่มาของคำอธิษฐานเป็นอย่างนี้.....

คำอธิษฐานปีใหม่

ผู้ถาม : ที่หลวงพ่อบอกว่า ให้นั่งหน้าพระพุทธรูปแล้วอธิษฐานว่า ความรวยจงปรากฏ มันเป็นอย่างไรครับ ?

หลวงพ่อ : ล้อ "เจ้าขวัญ" มันว่า ถ้าอยากรวยก็เอาแบบนี้ซิ 5 ทุ่ม 45 นาทีใกล้ๆจะ 6 ทุ่มใช่ไหมเล่า ก็ไปนั่งหน้าพระพุทธรูป บูชาพระ นึกถึงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ เทวดา และพรหมทั้งหมด ครูบาอาจารย์ ผู้มีคุณทั้งหมด บูชาท่านขอลาภ

''ขอให้ความซวยทั้งหมด ความยากจน จงไปกับปีเก่า แล้วความรวย ความดี ความโชคดี จงมากับปีใหม่''

หลังจากนั้นก็ภาวนา "คาถาเงินล้าน" เรื่อยๆไป พอนาฬิกาตีเป๊งขึ้นปีใหม่

"ขอให้ความซวย จงหายไปพร้อมกับปีเก่า ฉันต้องการความรวย จากปีใหม่"

ผู้ถาม : อ๋อ....หลวงพ่อพูดกับ "ขวัญ" เหรอ ?

หลวงพ่อ : ใช่

ผู้ถาม : แล้ว ลูกๆหลานๆที่ไม่ใช่ขวัญ จะได้ไหมครับ ?

หลวงพ่อ : ก็มีขวัญนี่ ลองก้มหัวดู คนไหนไม่มีขวัญทำไม่ได้ ความจริงไม่ต้องรอดึกก็ได้ ถึงวัด ถึงบ้าน อาบน้ำ สวดมนต์ไหว้พระ ก็อธิษฐานก่อนนอนเลยก็ได้ ไม่ต้องรอถึงเวลานั้น

***ได้คำอธิษฐานปีใหม่แล้ว พร้อมกับคาถาเงินล้านอีกด้วย ช่วยให้รวยกันใหญ่แต่ก็มีผลเห็นทันตา มีคนนำไปใช้เพียงวันเดียว ก็มารายงานให้หลวงพ่อทราบดังนี้***

คำอธิษฐานได้ผล

ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2531 นี้ ลูกได้ทำตามคำแนะนำของหลวงพ่อที่อธิษฐานว่า "ความซวยจงหมดไปพร้อมกับปีเก่า และขอความร่ำรวย จงมาพร้อมกับปีใหม่ 2532 นี้"

ปรากฏว่าวันนี้การค้าของลูกคล่องตัว ลูกอยู่ในโอวาท (แหม..นี่แกคงจะดีใจว่า ลูกอยู่ในโอวาทนะ) หากลูกจะอธิษฐานอย่างนี้ทุกคืนๆไป จะผิดกฏที่เทวดาเขาสงเคราะห์อยู่ในเวลานี้หรือเปล่าเจ้าคะ ?

หลวงพ่อ : ดีมาก ถ้าทำตามนั้นนะ จะดีมากเลย จะมีการทรงตัว เงินจะเหลือใช้ เอาทุกวันดีกว่า ไม่ใช่ทำวันเดียว

ผู้ถาม : อ๋อ..ยิ่งว่าบ่อยๆ ยิ่งดีหรือครับ

หลวงพ่อ : ใช่ ทำเป็นสมาธิแบบนั้น ก็ไม่ต้องใช้เวลาใกล้ 2 ยาม เวลาไหนก็ได้ที่เราเห็นสมควร

ที่ว่าใกล้ 2 ยาม เพราะปีเก่าจะไป ปีใหม่จะมา เวลานี้เป็นเวลาของปีใหม่ ก็ใช้ได้ทุกเวลาตามที่ชอบใจ นั่นดีมากนะ ต่อไปจะรวยใหญ่ เมื่อทุกคนรวยใหญ่ ฉันก็สบายใจ สร้างวัดอีก 10 วัด (หัวเราะ)

ผู้ถาม : นี่ก็เป็นผลดีแก่แม่บ้านนะ มีผัวอยู่ในโอวาท เอ..ถ้าผู้ชายว่าบ้าง ลูกเมียจะอยู่ในโอวาท หรือเปล่าครับ ?

หลวงพ่อ : เราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา

"วันทโก ปฏิวันทนัง" ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ

"ปูชา ลภเตปูชัง" ผู้บูชาย่อมได้รับการบูชาตอบ ในเมื่อเราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา

(จากคอลัมภ์ "หลวงพ่อตอบปัญหา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 96 เดือนกุมภาพันธ์ 2532 หน้า 6-7)

~ นักรบแห่งสติ ~

 ข้อความจากทีม 'ผ่าน Peggy Black peggyblack.com

 เราอยู่ที่นี่เพื่อมอบความรักและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในขณะที่คุณก้าวผ่านขั้นตอนการปลุกให้ตื่นนี่เป็นช่วงเวลาที่เหลือเชื่อและเราเฉลิมฉลองทุกสิ่งที่กำลังแผ่ขยายออกไปบนโลกของคุณในตอนนี้เราตระหนักดีว่าคุณอาจไม่รู้สึกอยากฉลองสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างไรก็ตาม เราขอเชิญชวนให้คุณปรับเปลี่ยนจิตใจเพื่อค้นหาสิ่งที่ง่ายที่สุดในการเฉลิมฉลองด้วยความขอบคุณ

 เรากำลังเฝ้าสังเกตความสับสนวุ่นวายและความวุ่นวายที่เกิดขึ้นรอบโลกของคุณไปพร้อมกับคุณดูเหมือนว่าจะไม่มีที่ใดสงบสุขเลยเราจึงขอเชิญคุณมาเป็นสถานที่แห่งความสงบเรารับทราบว่าคุณอาจไม่รู้สึกเหมือนอยู่ในที่แห่งนี้ ของความสงบที่ยึดเหนี่ยวนี่เป็นความจริงถ้าคุณมาจากจิตสำนึกทางกายจิตสำนึกอัตตาของคุณเมื่อคุณมาจากความจริงของจิตสำนึกแห่งสวรรค์ของคุณจะมีความสงบอยู่เสมอ

 ตอนนี้เป็นเวลาที่คุณจะได้รับเชิญ / บังคับให้มาจากแง่มุมหนึ่งของจิตสำนึกหรืออีกด้านหนึ่งมันเป็นประสบการณ์ชั่วขณะอย่างแท้จริงเนื่องจากการเขียนโปรแกรมที่ จำกัด ในมิตินี้จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะไหลไปพร้อมกับความสับสน ความท้าทายและความโกลาหลเมื่อคุณดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งมันเป็นเรื่องง่ายที่จะเพิ่มการตัดสินอคติความชั่วร้ายหรือความรังเกียจของคุณเองเข้าไปในสถานการณ์เราตระหนักดีว่าการถูกเสียบเข้าไปนั้นเป็นเรื่องง่ายดังนั้นที่จะพูด

 นี่คือจุดเริ่มต้นทักษะที่ตื่นขึ้นมาของคุณขึ้นอยู่กับคุณที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติของคุณอย่างมีสติเกี่ยวกับสิ่งที่คุณรับรู้ว่ากำลังเกิดขึ้นจากมุมมองของเราความสับสนวุ่นวายและความวุ่นวายทางอารมณ์เป็นส่วนที่จำเป็นของการตื่นขึ้นครั้งใหญ่นี้
 แต่ละคนมีสิทธิโดยกำเนิดและความรับผิดชอบในการเลือกวิธีที่พวกเขามองและแปลสิ่งที่พวกเขาสังเกตเห็นเมื่อมนุษย์ตระหนักว่าพวกเขาสร้างความแตกต่างพวกเขาจะเริ่มเปลี่ยนวิธีตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

 จำไว้ว่าคุณคือสิ่งมีชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์หลายมิติที่งดงามคุณถูกรวมอยู่ในรูปแบบทางกายภาพที่เรียนรู้เพื่อให้เข้ากับพลังงานของมิตินี้ความเป็นจริง 3 มิตินี้เป็นความจริงของข้อ จำกัด โดยไม่รู้ตัว
 เป้าหมายสูงสุดของคุณคือการตื่นขึ้นมา! เป็นเจ้าของพลังของคุณในฐานะมนุษย์เพื่อสร้างความแตกต่างด้วยพลังงานที่คุณมอบให้กับส่วนรวมทุกครั้งที่คุณเปลี่ยนมุมมองที่ จำกัด ของคุณไปสู่มุมมองของความสมบูรณ์คุณจะปลุกจิตสำนึกร่วมกันทุกครั้ง คุณรักษาหรือเปลี่ยนความเชื่อที่มีอยู่อย่าง จำกัด ซึ่งคุณกำลังเพิ่มแสงสว่างให้กับจิตสำนึกของส่วนรวมทุกครั้ง
 
ดาวเคราะห์ดวงนี้กำลังเคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉงไปยังมิติที่ 5 ด้านลบความมืดความเกลียดชังการบิดเบือนข้อมูลกำลังต่อสู้เพื่อควบคุมจิตสำนึกร่วมมีผู้ที่กินอารมณ์และพลังงานที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้พวกเขาไม่ต้องการ ดาวเคราะห์แห่งความรักและแสงสว่างพวกเขาไม่ต้องการสิ่งมีชีวิตที่มีสติซึ่งเจริญรุ่งเรืองและให้เกียรติแก่ส่วนรวม
 เรารู้ว่าคุณเข้าใจทั้งหมดนี้อย่างไรก็ตามเราต้องการนำเสนอที่นี่อีกครั้งเพื่อที่คุณจะได้เห็นว่าคุณมีความสำคัญเพียงใดต่อผลลัพธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นเชื่อใจเราเมื่อเราบอกว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ตื่นขึ้นมาเริ่มเป็นเจ้าของมากขึ้นเรื่อย ๆ ความรับผิดชอบของพวกเขาต่อโฮโลเกม

 นี่เป็นช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดบนโลกของคุณที่การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นกาแล็กซี่ซึ่งเป็นเอกภพได้ส่งพลังงานออกมาเพื่อกระตุ้นให้ทุกคนที่ยังหลับอยู่ซึ่งยังไม่ได้สติ

 เป็นประวัติการณ์ที่ชุมชนทั่วโลกปิดตัวลงทุกอย่างหยุดลงนี่คือสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้คุณได้รับความสนใจอย่างเต็มที่ต่อการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งที่คุณได้รับเชิญให้โทรหาคุณลงชื่อสมัครรับงานนี้เฉพาะผู้ที่ทุ่มเทที่สุดเท่านั้น นักรบแห่งสติสัมปชัญญะได้รับอนุญาตให้ออกมาในร่างมนุษย์คุณในการรับรู้ของพระเจ้ามีไม่ จำกัด คุณและสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ร่วมกันนำการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นจริงนี้
 
โปรดจำไว้ว่าทุกความคิดทุกการกระทำของความเมตตาอย่างมีสติจะถูกเพิ่มเข้าไปในมาตราส่วนซึ่งจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่มีชื่อเสียงการไกล่เกลี่ยแต่ละครั้งการแสดงความขอบคุณการแสดงความรักแต่ละครั้งจะได้รับการลงทะเบียนและจุดประกายเส้นทางสู่ดาวเคราะห์ที่ทุกคนได้รับเกียรติใน ซึ่งทุกคนเจริญรุ่งเรือง

 ประการแรกพลังงานที่ไม่เหมาะสมเชิงลบที่เป็นพิษทั้งหมดของความเกลียดชังความมืดที่ชั่วร้ายจะต้องถูกล้างและยกระดับขึ้นสิ่งหนึ่งที่เป็นความจริงของความมืดใด ๆ เมื่อคุณส่องแสงไปที่มันมันจะหายไปคุณคือแสงนั้นคุณคือความจริงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทั้งหมด คำโกหกและข้อมูลที่ผิดที่เป็นพลังลบที่กำลังเคลื่อนไหวบนโลกใบนี้

 ด้านลบความมืดกำลังต่อสู้เพื่อควบคุมอยู่อย่างไรก็ตามเราขอรับรองว่ากลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่มีสติสัมปชัญญะมีอยู่มากมายและพวกเขามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะรักษาทุกสิ่งที่ต้องการการเยียวยา
 นับว่าตัวเองเป็นผู้นำคนหนึ่งที่ถือแนวที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันสูงส่งพร้อมที่จะให้กำลังใจเสริมสร้างและกระตุ้นจิตใจคนอื่น ๆ ในความเงียบสงบของหัวใจและความนิ่งสงบของที่อยู่อาศัยของคุณคุณสามารถทำงานนี้ได้

 ทำงานในสาขาควอนตัมใช้จินตนาการของคุณโปรดจำไว้ว่าจินตนาการของคุณคือมหาอำนาจของคุณจินตนาการถึงสถานการณ์ที่แตกต่างเรียกกองกำลังแห่งแสงสว่างเพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือคุณอวยพรและยกระดับผู้นำโลกทั้งหมดให้ตื่นขึ้นสู่ความจริงที่สูงขึ้น

 สร้างและจินตนาการถึงห้องนักเล่นแร่แปรธาตุในใจของคุณตอนนี้ขอเชิญบรรดามหาเศรษฐีและเศรษฐีของโลกมาร่วมงานกับคุณในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ตอนนี้เชิญพวกเขามาร่วมแบ่งปันความมั่งคั่งทางการเงินของพวกเขาเพื่อประโยชน์ของโลกใบนี้คุณสามารถเสนอคำแนะนำให้พวกเขาได้ แนวคิดเกี่ยวกับวิธีที่เงินของพวกเขาสามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างแท้จริงคุณสามารถเจาะจงกับไอเดียของคุณได้มากทำงานกับกระบวนการนี้เป็นเวลาหลายวันขอบคุณพวกเขาเสมอที่เข้าร่วม Alchemist Chamber ของคุณตอนนี้เราขอเชิญคุณมาชม ข่าวเพื่อดูว่าใครให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลกบางด้านเชื่อเราสิจะมีผลกับงานและความตั้งใจของคุณอวยพรทุกสิ่งเหล่านี้ด้วยความขอบคุณ

 ต่อไปในจินตนาการของคุณจะจินตนาการถึงสนามกีฬาและเชิญสิ่งมีชีวิตที่มีสติสัมปชัญญะจากทั่วทุกมุมโลกมาร่วมกับคุณดูหรือสัมผัสถึงสนามกีฬาแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยผู้คนตอนนี้จินตนาการถึงโลกของคุณที่ลอยอยู่ในใจกลางของสิ่งมีชีวิตที่มีสติเชิญทุกคนมาร่วมเปิด หัวใจและแผ่พลังงานแห่งความรักและการรักษาให้กับโลกลองนึกดูว่าสิ่งนี้ถูกทำโดยสิ่งมีชีวิตหลายพันดวงในแต่ละวัน

 นี่เป็นเพียงคำแนะนำอันทรงพลังสองสามข้อที่เราขอเชิญชวนให้คุณเริ่มเล่นจำไว้ว่าคุณมีพลังเหนือการวัดใช้จินตนาการของคุณและสร้างวิสัยทัศน์อันทรงพลังอื่น ๆ ที่สามารถและจะเปลี่ยนแปลงโลกของคุณตอนนี้เป็นเวลาที่คุณจะออกมา และขยายไปสู่ความสามารถอันทรงพลังของคุณคุณมีไม่ จำกัด เป็นเจ้าของความจริงนี้ก้าวเข้าสู่อำนาจของคุณนี่คือเวลาที่คุณจะปรากฏตัวอย่างเต็มที่
 เรารู้สึกขอบคุณสำหรับคุณและงานที่คุณทำต่อไปอย่าลืมรวมสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่ไม่ใช่พระเจ้าในงานและการบริการทั้งหมดของคุณเราชอบที่จะได้รับเชิญและรวมอยู่ในเวทีและโฮโลเกม
 ทีมงาน'

 © 2020 Peggy Black สงวนลิขสิทธิ์
 มีข้อสังเกตว่าห้ามสร้างวิดีโอโดยบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้เขียนช่องและผู้จัดทำ
 คุณสามารถแบ่งปันข้อความนี้และแจกจ่ายได้ตราบเท่าที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ คุณให้เครดิตผู้เขียนและรวมประกาศลิขสิทธิ์และที่อยู่เว็บ www.morningmessages.com

https://www.facebook.com/groups/316245302099052/permalink/1475027399554164/

"การปฏิวัติกำลังยึดครองโลกแห่งดาวเคราะห์!"

การอัปเดตที่สำคัญโดยแอชทาร์แห่งสหพันธ์กาแล็กติกแห่งแสง
 "การปฏิวัติกำลังยึดครองโลกแห่งดาวเคราะห์!"

 28 ธันวาคม 2020

 สวัสดีชาวโลกของฉัน
 วันนี้ข้อความของฉันส่งถึงพวกคุณที่อยู่ในเกณฑ์การขึ้นสู่สวรรค์แล้วและเหลืออีกเพียงขั้นตอนเดียวที่จะแยกโลกสามมิติออกจากพื้นที่สั่นสะเทือนสูงใหม่ของมิติที่สี่และมิติที่ห้า

 ในแวบแรกคุณอาจดูเหมือนว่าฉันแบ่งคนออกเป็นผู้ตื่นและผู้หลับลึกอย่างไม่เป็นธรรม

 อันที่จริงสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะฉันเห็นศักยภาพของพวกคุณแต่ละคนอย่างสมบูรณ์โดยเฉพาะตอนนี้เมื่อการแยกจากกันด้วยการสั่นสะเทือนกำลังจะมาถึงมากขึ้น

 ในวันที่ 21 ธันวาคมและเหตุการณ์ที่โดดเด่นได้เกิดขึ้นในชีวิตบนโลกของคุณซึ่งในอดีตบางอย่างมองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง

 แต่สำหรับใครบางคนมันมีผลกระทบอย่างมากเราสามารถพูดได้ว่า Energies of the Sun ช่วยในการเพิ่มยอดงอกของจิตสำนึกของมนุษย์ในขณะที่เมล็ดพันธุ์ที่ไม่สามารถงอกได้ยังคงอยู่ในพื้นดินในพลังงานของโลกสามมิติ

 และตอนนี้ก็มี BEcome ที่สังเกตได้ชัดเจนตลอดทั้งปีที่ผ่านมาคือการทดสอบที่แท้จริงสำหรับผู้คนและเหนือสิ่งอื่นใดสำหรับความเข้มแข็งทางจิตวิญญาณและไม่ใช่ทุกคนที่จะผ่านการสอบนี้ด้วยศักดิ์ศรี

 ผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกของคุณที่มีสติสัมปชัญญะสามมิติ Deeply Sleeping จมดิ่งสู่โลกสามมิติมากยิ่งขึ้น

 พวกเขาอยู่ที่พวกสัตว์เลื้อยคลาน Draco กำลังเดิมพันว่าจะพยายามดำเนินแผนการที่ไร้มนุษยธรรมเพื่อทำให้ประชากรทั้งโลกเป็นดิจิทัล

 และมีเพียงคนที่มีพัฒนาการทางจิตวิญญาณมายาวนานเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดการต่อต้านที่ยากลำบากนี้กับกองกำลังแห่งความมืดและนำคนอื่น ๆ ที่ยังคงสงสัยและไม่มั่นใจผู้คน

 เป็นวิญญาณที่สดใสเหล่านี้ที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้ความรู้ผู้คนและเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก

 เราดีใจที่กองทัพของ Bright SOULs เหล่านี้เติบโตขึ้นทุกวัน

 เราจะเห็นว่าแต่ละคนให้บริการตรงจุดที่จำเป็น

 ใครบางคนในงานของพวกเขามุ่งเน้นไปที่ความลึกลับและความรู้ทางจิตวิญญาณคนเกี่ยวกับการเมืองและปัญหาสังคมคนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเศรษฐกิจและการเงินและใครบางคนเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการระบาดที่เกิดขึ้นจริงและอันตรายจากการฉีดวัคซีน
 
 แต่เป็นสิ่งสำคัญมากที่งานหลากแง่มุมทั้งหมดนี้จะต้องยึดตามสมมติฐานหลักของวันนี้ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่วบนโลกผลที่ตามมาอนาคตของโลกทั้งใบขึ้นอยู่กับ

 ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะกล่าวว่าการปฏิวัติของขนาดดาวเคราะห์กำลังดำเนินอยู่และไม่เหมือนกับการปฏิวัติก่อนหน้านี้ในประเทศต่างๆของโลก

 คราวนี้เป็นการต่อสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็นซึ่งพบได้บ่อยในทุกประเทศและทุกทวีป

 เป็นเรื่องยากสำหรับคนธรรมดาที่จะตระหนักได้ว่าศัตรูที่มองไม่เห็นนี้อันตรายและร้ายกาจเพียงใดและมีเพียงผู้ที่ได้รับการปลุกทางวิญญาณเท่านั้นที่สามารถมองเห็นอาการภายนอกทั้งหมดของความชั่วร้ายนี้ได้อย่างชัดเจนและชัดเจน

 หนวดที่เจาะเข้าไปในทุกมุมโลกของคุณและเข้าไปในทุกพื้นที่ของชีวิตคุณ

 ตอนนี้เป็นเรื่องสำคัญมากที่รักคนอื่น ๆ ที่เหลือก็เห็นสิ่งนี้เช่นกันดังนั้นพวกเขาจึงตระหนักดีว่าไม่มีการแบ่งแยกชาติสังคมหรือศาสนาบนโลกอีกต่อไป

 แต่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่แบ่งออกเป็นฝ่ายดีและชั่วและตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่ผู้อยู่อาศัยในโลกของโลกจะต้องตัดสินใจว่าเขา / เธออยู่ข้างใคร

 แสงหรือกองกำลังแห่งความมืดเนื่องจากคุณไม่มีเวลาเหลือให้คิด

 โลกได้ผ่านเข้าสู่ยุคใหม่แล้วซึ่งมีเพียงพวกคุณเท่านั้นที่สามารถดำรงอยู่ได้ซึ่งจิตสำนึกพร้อมที่จะยอมรับกฎใหม่ของเกมซึ่งเป็นไปตามกฎของจักรวาลไม่ใช่กฎของโลกคู่ที่ทำลายล้าง  คนที่ทำให้เขาเดือดร้อนและทุกข์ทรมานมาก

 เราเห็นว่าใน Human SOULs มีความสมดุลมากเกินไปต่อกองกำลังของ LIGHT ดังนั้นตอนนี้งานของเรากำลังเข้าสู่ Active Phase

 งานนี้จะเกี่ยวกับอะไร?

 ตอนนี้เราจะให้ความช่วยเหลืออย่างครอบคลุมแก่ผู้นำของประเทศเหล่านั้นที่อยู่เคียงข้าง LIGHT และความช่วยเหลือนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถปราบปรามการต่อต้านของ Deep State ในที่สุดซึ่งยังคงหวังโดยการปราบปรามเจตจำนงของประชาชนและหว่านความกลัวในพวกเขา  วิญญาณจะเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นทาสที่เชื่อฟัง

 เชื่อเถอะว่าเราจะไม่ปล่อยให้คุณตกที่นั่งลำบากและในที่สุดความดีก็จะมีชัยเหนือความชั่วร้ายบนโลกของคุณ

 รักคุณด้วยความจริงใจ

 ASHTAR SHARAN
 สหพันธ์แห่งแสง

 ช่องทางผ่าน Martyr 💜

 ด้วยความรัก💜
 Pars Kutay

 ~ 💜 ~

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10159211557794235&id=607564234

เปลี่ยนศักรราชใหม่... เปลี่ยน“ความเห็น”ใหม่

ขณะนี้โลกของเรากำลังอยู่ในช่วงทางแยกที่สำคัญ โลกกำลังเลือกว่าจะไปสู่ความหายนะหรือความศิวิไลซ์ โดยตัวแปรสำคัญของการเลือกครั้งนี้คือตัวมนุษย์ที่กำลังยืนอยู่บนโลกทุกคน เพราะพวกเขาคือผู้กำหนดชะตา นี่คือจุดผลิกผันบนทางเลือกเสรี ไม่มีใครสามารถบังคับใครได้ ทุกคนมีสิทธิ์ในการเลือก เพียงแต่ต้องยอมรับผลของมันให้ได้หากตัดสินใจเลือกไปแล้ว เพราะโลกคือมนุษย์,มนุษย์คือโลก ซึ่งแน่นอนสมการของจำนวนมนุษย์ที่เลือกด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้นที่เป็นตัวชี้วัดว่าโลกจะเดินไปทางไหน หากจำนวนมนุษย์ที่มีความเห็นแบบเดิม(มนุษย์สายพันธ์เก่า)มีจำนวนมากกว่า เราคงจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าจุดจบของโลกจะเป็นเช่นไร แต่ถ้าจำนวนของผู้ที่มีความเห็นแบบใหม่(มนุษย์สายพันธุ์ใหม่)มีมากกว่า โลกก็พร้อมที่จะพลิกไปสู่ยุคใหม่ที่เป็นดั่งสรวงสวรรค์ดั่งแดนสุขาวดีได้ทันที เพราะปัจจัยทุกด้านได้ถูกเตรียมการไว้พร้อมแล้ว นี่คงจะเป็นข่าวดีหากจำนวนผู้คนที่ได้รับรู้ข่าวสารนี้มีมากพอ โดยสามารถพร้อมใจกันเปลี่ยนความเห็นได้ทันเวลา  
หากจุดมุ่งหมายสูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์“ทุกคน”คือการบรรลุเป้าหมายอะไรสักอย่างเพื่อเข้าสู่สภาวะใดสภาวะหนึ่ง ซึ่งสภาวะที่ว่านั้นอาจจะเปรียบเสมือนเป็น“หน้าที่”ที่คนทุกคนต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งนิยามของสภาวะนั้นอาจจะมีการเรียกที่หลากหลายขึ้นอยู่กับความเชื่อเช่น นิพพาน, อาตมัน, กลับสู่พระเจ้า, เป็นหนึ่งเดียว, กลับบ้าน, หลุดพ้น, บรรลุสัจธรรม ฯลฯ ไม่ว่าการตีความของนิยามเหล่านี้จะเป็นเช่นไร ทั้งหมดก็ล้วนมีองค์ประกอบและความหมายเดียวกันทั้งสิ้น แต่ปัญหาใหญ่คือเราไม่อาจแน่ใจได้ว่าวิธีการไหนสามารถทำให้เราเข้าสู่ภาวะนั้นได้จริง
ศาสตร์บนโลกใบนี้ประกอบไปด้วยหลักสูตรต่างๆมากมายเพราะมีหลายสำนักหลายลัทธิหลายศาสนา ซึ่งการจะเลือกเอามาใช้เป็นแนวทางจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณและมีหลักเกณท์ในการตัดสินใจ จึงขอสรุปเพื่อใช้ประกอบการเลือกไว้ 3 ประการดังต่อไปนี้
1.) ต้องชำระพันธสัญญาเก่าให้หมดสิ้นและไม่สร้างพันธสัญญาใหม่เพิ่มขึ้น
สำหรับชาวพุทธจะเรียกสิ่งนี้ว่า“กรรม”หรือ“ภาระกรรม” ซึ่งเป็นทั้งภาระกรรมที่ตัวเองเขียนขึ้นมาเองตั้งแต่ก่อนจะมามีประสบการณ์บนโลกใบนี้ และเป็นภาระกรรมที่สร้างขึ้นใหม่ภายหลังการเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วตัดสินใจผิดพลาดในภพชาติต่างๆ ซึ่งการจะแก้ไขภาระกรรมเหล่านี้ให้สิ้นซากก็มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือ “การรักและการมอบความปรารถนาดีได้อย่างไม่มีเงื่อนไข” ไม่ว่าจะกับใครทั้งสิ้น กับผู้ที่ด้อยกว่า, กับผู้ที่มีสถานภาพเสมอกัน, กับผู้ที่มีสถานภาพสูงกว่าและสุดท้ายกับผู้ที่เปรียบเหมือนเป็นศัตรู เมื่อเรามีความรักที่มั่นคงแข็งแรงและบริสุทธิ์ใจโดยไม่มีสิ่งใดแอบแฝงแล้ว ภาระกรรมก็จะได้รับการชำระไปที่ละเรื่องๆ จนในที่สุดดวงจิตดวงนั้นก็จะเข้าสู่สภาวะหนึ่งที่เรียกว่า“บริสุทธิ์”แต่ไม่ใช่ความบริสุทธิ์แบบนั่งหลับตาโดยไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เป็นความบริสุทธิ์ที่เกิดจากการลงมือ(การปฏิบัติ)ทำบางสิ่งบางอย่างด้วยความรักและความปรารถนาดีเพื่อให้พลังงาน(กรรม)เปลี่ยนเป็นอีกด้านหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ได้คือจิตจะใสพิสุทธิ์ ไม่มีเงื่อนไขใดมาทำให้ดวงจิตดวงนั้นเกิดความขุ่นมัวได้อีกต่อไป
2.) ต้องเข้าถึงปัญญาญาณให้ได้   
มนุษย์ที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบจะต้องเป็นผู้มี“ปัญญา” แต่ปัญญาที่แท้จริงจะต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากตัวเองหรือ“การรู้”ที่เกิดจากจิตวิญญาณภายในของตัวเองเท่านั้น หรือเรียกสั้นๆว่า“ปัญญาญาณ”แบบไม่ใช่ปัญญาจากภายนอก(ความรู้) ซึ่งการจะเข้าถึงปัญญาญาณให้ได้นั้นปัจจัยสำคัญที่สุดคือ ผู้นั้นจะต้องเป็นความรักเป็นความปรารถนาดีได้แบบบริสุทธ์ิใจ เพราะขณะที่จิตมีความรักมีความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอยู่นั้น จิตของเขาจะไม่นึกถึงตัวเอง เมื่อไม่ได้นึกถึงตัวเองสภาวะของความไม่มีตัวตน(อัตตา)ก็จะเกิดขึ้น เมื่อจิตไม่มีอัตตาจิตที่เป็นจิตวิญญาณภายในก็จะปรากฎขึ้น และวินาทีนั้นเองเท่ากับเราได้อนุญาตให้จิตวิญญาณภายในเข้ามามีบทบาทในการคิดและตัดสินใจร่วมกับเรา มันจะทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง มีความมั่นคงทางอารมณ์ ไม่เผลอไผลไปสร้างภาระกรรมใหม่ และผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดคือจะทำให้เราสามารถเข้าถึง“การรู้” ที่มาจากธาตุรู้ที่เป็นต้นกำเนิดแห่งจักรวาล
… 
3.) ต้องทำภารกิจทางจิตวิญญาณให้สำเร็จ
มนุษย์ทุกคนที่อาสามาเกิดบนโลกมนุษย์ล้วนต้องมาพร้อมกับความตั้งใจที่จะมามีประสบการณ์อันแสนวิเศษอย่างน้อยหนึ่งประสบการณ์ และหนึ่งในประสบการณ์เหล่านั้นก็คือ การได้ทำบางสิ่งบางอย่างบนโลกอย่างสร้างสรรค์,มีคุณค่า,เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองต่อผู้อื่นและต่อโลก แต่ปัญหาที่มนุษย์ต้องเผชิญอยู่ในขณะนี้คือการต้องจำใจต้องทำ(งาน)เพื่อความอยู่รอด, ทำเพื่อให้ได้เงิน ไม่ได้ทำด้วยความรักหรือด้วยแรงบันดาลใจ ฯลฯ ดังนั้นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่เลือกทำจึงทำเพื่อต้องการบางสิ่งบางอย่าง(ส่วนใหญ่เป้าหมายคือเงิน)เพื่อนำไปแลกกับความสุขอีกที ซึ่งการทำงานด้วยเป้าหมายแบบนี้จึงไม่สอดคล้องกับวิถีของปัญญาญาณที่ต้องเป็นความรักความปรารถนาดีต่อผู้อื่น แต่มันกลายเป็นการทำเพื่อตัวเอง ทั้งที่จริงแล้วเราน่าจะทำมันด้วยความรักที่“ได้ทำ”(คล้ายการทำงานอดิเรก) เมื่อทำด้วยความรักผลลัพธ์ในภายหลังจะได้เงินหรือไม่ได้เงินนั้นจึงไม่สำคัญเพราะความสุขมันเกิดขึ้นระหว่างการทำอยู่แล้ว คนส่วนใหญ่จึงขาดโอกาสในการค้นพบภารกิจหรือหน้าที่ทางจิตวิญญาณของตัวเอง
ไม่มีมนุษย์คนไหนจะสามารถผ่านเข้าไปสู่สภาวะสูงสุดที่กล่าวมาในตอนต้นได้หากไม่สามารถบรรลุหลักการ3ประการนี้ ฉันกำลังตามหาเพื่อนที่รู้สึกว่าตัวเองมีภารกิจ เพื่อนที่รู้สึกว่าตัวเองมีหน้าที่ เพื่อนที่เห็นว่าโลกกำลังต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ยุคพลังใหม่,ยุคแห่งความรุ่งเรืองทางจิตวิญญาณ,ยุคแห่งความศิวิไลซ์ และนี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด บัดนี้โลกได้รับการปรับโครงสร้างใหม่แล้ว สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ก็จะเป็นไปได้ โลกกำลังรอ“การเลือก”จากเราทุกคน และโลกกำลังรอบุคลากรที่มี“ความเห็น”ใหม่ ที่จะมาดำเนินการให้โลกใบนี้ยังคงดำรงอยู่ต่อไปในจักรวาล
อารียา เมตายา
31.12.2020

#อริยมรรคองค์๘

"จริงอยู่ ปฐมมรรคของฌานอย่างหนึ่งย่อมมีปฐมฌาน แม้ทุติยมรรคเป็นต้นมีปฐมฌานหรือมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งในทุติยฌานเป็นต้น ปฐมมรรคของฌานอย่างหนึ่งย่อมมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งทุติยฌานเป็นต้น. แม้ทุติยมรรคเป็นต้นมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งทุติยฌานเป็นต้นหรือมีปฐมฌาน. มรรคแม้ ๔ จะเหมือนกัน ไม่เหมือนกันหรือเหมือนกันบางอย่าง ย่อมมีด้วยสามารถแห่งฌานอย่างนี้แล.

               ส่วนความต่างกันแห่งมรรคนี้ ย่อมมีด้วยการกำหนดฌานที่เป็นบาท"

     ....................................................................

  บทว่า กตมา จ ภิกฺขเว สมฺมาทิฏฺฐิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ โดยปริยายนั้นแล้ว ทรงเริ่มเทศนานี้ เหมือนทรงประสงค์จะจำแนกโดยปริยายอื่นอีก.

               ในบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺเข ญาณํ ความว่า ญาณอันเกิดขึ้นด้วยอาการ ๔ ด้วยสามารถการฟัง ๑ การพิจารณารอบคอบ ๑ การแทงตลอด ๑ การพิจารณา ๑. 
               แม้ในสมุทัยก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ส่วนในสองบทที่เหลือ (นิโรธและมรรค) ญาณ ๓ อย่างเท่านั้นย่อมควร เพราะการพิจารณาไม่มี. กัมมัฏฐานในสัจจะ ๔ นี้ พระองค์ทรงแสดงแล้วด้วยบทว่า ทุกฺเข ญาณํ เป็นต้นด้วยอาการอย่างนี้. 
               ในบทเหล่านั้น สัจจะ ๒ ข้างต้นเป็นวัฏฏะ ๒ ข้างปลายเป็นวิวัฏฏะ. 
               ในวัฏฏะและวิวัฏฏะเหล่านั้น ความยึดมั่นในกัมมัฏฐานของภิกษุมีในวัฏฏะ ในวิวัฏฏะความยึดมั่นไม่มี. 
               ก็โยคาวจรเมื่อเรียนซึ่งสัจจะ ๒ ข้างต้นในสำนักของอาจารย์ ท่องด้วยวาจาบ่อยๆ โดยสังเขปอย่างนี้ ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺขํ ตณฺหาสมุทโย และโดยพิสดารมีนัยเป็นอาทิว่า กตเม ปญฺจกฺขนฺธา รูปกฺขนฺโธ แล้วจึงทำกรรม.

               ส่วนในสัจจะ ๒ นอกนี้ เธอย่อมทำกรรมด้วยการฟังอย่างนี้ว่า นิโรธสัจจะน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มรรคสัจจะน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ. เธอเมื่อทำอย่างนี้ ย่อมแทงตลอดซึ่งสัจจะ ๔ ด้วยปฏิเวธอย่างหนึ่ง ย่อมตรัสรู้ด้วยการตรัสรู้อย่างหนึ่ง ย่อมแทงตลอดทุกข์ได้ด้วยการกำหนดรู้ซึ่งสมุทัยได้ด้วยการละ ซึ่งนิโรธได้ด้วยการทำให้แจ้ง ย่อมแทงตลอดมรรคได้ด้วยการเจริญ. ย่อมตรัสรู้ทุกข์ได้ด้วยการกำหนดรู้ ฯลฯ ย่อมตรัสรู้มรรคได้ด้วยการเจริญ. 
               การเรียน การไต่ถาม การฟัง การทรงไว้ การพิจารณาและการแทงตลอด ย่อมมีในสัจจะ ๒ (ทุกข์ สมุทัย) ในส่วนเบื้องต้นแห่งสัจจะ ๔ ด้วยประการอย่างนี้. การฟังและการแทงตลอดเท่านั้น ย่อมมีในสัจจะ ๒ (นิโรธ มรรค) ในกาลต่อมา ว่าโดยกิจ ปฏิเวธธรรมย่อมมีในสัจจะ ๓ (ทุกข์ สมุทัย มรรค). ในนิโรธมีปฏิเวธเป็นอารมณ์. ส่วนปฏิเวธย่อมมีแก่สัจจะ ๔ ด้วยการพิจารณา. แต่การกำหนดในเบื้องต้นย่อมไม่มี. 
               ความห่วงใย การรวบรวม การทำไว้ในใจและการพิจารณา ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนี้ผู้กำหนดอยู่ในเบื้องต้นว่า เราย่อมกำหนดรู้ทุกข์ ย่อมละสมุทัย ย่อมทำให้แจ้งซึ่งนิโรธ เราย่อมยังมรรคให้เกิด. ความห่วงใยเป็นต้นย่อมมีจำเดิมแต่การกำหนด. แต่ในกาลต่อมา ทุกข์ย่อมเป็นอันเธอกำหนดรู้แล้วแล ฯลฯ มรรคย่อมเป็นอันเธอทำให้เกิดแล้ว. 
               ในสัจจะ ๔ เหล่านั้น สัจจะ ๒ ชื่อว่าเป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยาก. สัจจะ ๒ ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะเป็นธรรมลุ่มลึก. 
               จริงอยู่ ทุกขสัจจะก็ปรากฏได้ เพราะความเกิดขึ้นย่อมถึงแม้ซึ่งอันตนพึงกล่าวว่า ทุกข์หนอ ในการกระทบด้วยตอและหนามเป็นต้น. แม้สมุทัยก็ปรากฏได้ เพราะความเกิดขึ้นด้วยสามารถมีความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะเคี้ยวกินและจะบริโภคเป็นต้น. แต่ว่า โดยการแทงตลอดถึงลักษณะทุกข์และสมุทัยสัจแม้ทั้งสอง ก็เป็นธรรมลุ่มลึก. สัจจะเหล่านั้นชื่อว่าเป็นธรรมอันลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยากด้วยประการดังนี้. 
               ความพยายามเพื่อต้องการเห็นสัจจะทั้งสองนอกนี้ (นิโรธ มรรค) ย่อมเป็นเหมือนการเหยียดมือไปเพื่อจับภวัคคพรหม เหมือนการเหยียดเท้าไปเพื่อถูกต้องอเวจี และเหมือนการยังปลายแห่งขนหางสัตว์ซึ่งแยกแล้วโดย ๗ ส่วนให้ตกสู่ปลาย. สัจจะเหล่านั้นชื่อว่าเป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยากด้วยประการดังนี้. 
               บทเป็นอาทิว่า ทุกฺเข ญาณํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วด้วยสามารถการเรียนเป็นต้น ในสัจจะ ๔ ชื่อว่าเป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยาก และชื่อว่าเป็นธรรมเห็นได้ยาก เพราะเป็นธรรมลุ่มลึก ด้วยประการดังนี้. ส่วนญาณนั้นย่อมมีอย่างนี้แลในลักษณะแห่งปฏิเวธ. 
               พึงทราบในบทเนกขัมมสังกัปปะเป็นอาทิ ความดำริในการออกจากกามว่า เกิดขึ้นแล้วโดยภาวะที่ออกไปจากกาม เพราะอรรถว่าเป็นข้าศึกต่อกามบ้าง เกิดขึ้นแล้วแก่ผู้พิจารณากามอยู่ดังนี้บ้างว่า เมื่อทำการกำจัดกาม ให้กามสงบก็เกิดขึ้นดังนี้บ้างว่า เมื่อสงัดจากกามก็เกิดขึ้นดังนี้บ้าง. 
               แม้ในสองบทที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. 
               ส่วนธรรมมีเนกขัมมสังกัปปะเป็นต้นเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากกาม จากพยาบาทและจากวิหิงสามีสภาวะต่างกัน. 
               ส่วนในขณะแห่งมรรค ความดำริในกุศลอย่างเดียวเท่านั้นย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น เพราะขาดกับบทแห่งความดำริในอกุศลอันเกิดนั้นในฐานะทั้ง ๓ เหล่านี้ นี้ชื่อว่าสัมมาสังกัปปะ. 
               ธรรมแม้มีเจตนาเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จเป็นต้น ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากพูดเท็จเป็นต้น มีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรค เจตนาเครื่องงดเว้นเป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้นย่อมเกิดขึ้น ยังองค์มรรคให้บริบูรณ์อยู่ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น เพราะขาดกับบทเจตนาเครื่องทุศีล อันเป็นอกุศล ซึ่งเกิดขึ้นในฐานะทั้ง ๔ เหล่านี้ นี้ชื่อว่าสัมมาวาจา. 
               ธรรมแม้มีเจตนาเครื่องงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้นมีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรค เจตนาเครื่องงดเว้นอันเป็นกุศลอย่างเดียวย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น เพราะขาดกับบทโดยไม่ทำเจตนาเครื่องทุศีลอันเป็นอกุศลซึ่งเกิดขึ้น ในฐานะทั้ง ๓ เหล่านี้ นี้ชื่อว่าสัมมากัมมันตะ. 
               บทว่า มิจฺฉาอาชีวํ ได้แก่ ทุจริตทางกายและทางวาจาอันตนให้เป็นไปแล้ว เพื่อต้องการของควรเคี้ยวและของควรบริโภคเป็นต้น. 
               บทว่า ปหาย คือ เว้น. บทว่า สมฺมาอาชีเวน ได้แก่ ด้วยการเลี้ยงชีพอันพระพุทธเจ้าสรรเสริญแล้ว. 
               บทว่า ชีวิตํ กปฺเปติ ความว่า ย่อมยังความเป็นไปแห่งชีวิตให้เป็นไป. 
               แม้สัมมาอาชีวะ ชื่อว่าต่างกันในเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากการหลอกลวงเป็นต้นมีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรค เจตนาเครื่องงดเว้นเป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้นย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น เพราะขาดกับบทเจตนาเครื่องทุศีลอันเป็นมิจฉาชีพ ซึ่งเกิดขึ้นในฐานะทั้ง ๗ เหล่านี้แล นี้ชื่อว่าสัมมาอาชีวะ. 
               บทว่า อนุปฺปนฺนานํ ความว่า เห็นอารมณ์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ในเรือนแห่งหนึ่ง ย่อมยังฉันทะให้เกิด เพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรม อันเป็นบาปซึ่งยังไม่เกิดขึ้นแก่ตน หรือว่าเห็นอารมณ์ทั้งหลาย ที่กำลังเกิดขึ้นแก่ผู้อื่น ย่อมยังฉันทะให้เกิด เพื่อความไม่เกิดขึ้น แห่งอกุศลธรรมอันเป็นบาป ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น อย่างนี้ว่า โอหนอ ธรรมอันเป็นบาปเห็นปานนี้ไม่พึงเกิดขึ้นแก่เรา ดังนี้. 
               บทว่า ฉนฺทํ ความว่า ย่อมยังวิริยฉันทะเป็นเหตุให้สำเร็จแห่งการปฏิบัติมิให้อกุศลธรรมเหล่านั้นเกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น. 
               บทว่า วายมติ ได้แก่ ย่อมทำความพยายาม. 
               บทว่า วิริยํ อารภติ ได้แก่ ย่อมยังความเพียรให้เป็นไป. 
               บทว่า จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ความว่า ย่อมทำจิตอันความเพียรประคองไว้แล้ว. 
               บทว่า ปทหติ ความว่า ย่อมยังความเพียรให้เป็นไปว่า หนัง เอ็นและกระดูกจงเหือดไปก็ตามเถิด. 
               บทว่า อุปฺปนฺนานํ ความว่า เคยเกิดขึ้นแล้วแก่ตนด้วยสามารถความฟุ้งซ่าน ย่อมยังฉันทะให้เกิด เพื่อละอกุศลธรรมเหล่านั้นด้วยคิดว่า บัดนี้ เราจักไม่ให้อกุศลธรรมทั้งหลายเช่นนั้นเกิดขึ้น. 
               บทว่า อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ความว่า กุศลธรรมมีปฐมฌานเป็นต้นที่ยังไม่ได้. 
               บทว่า อุปฺปนฺนานํ ได้แก่ กุศลธรรมเหล่านั้นนั่นแลที่ตนได้แล้ว. 
               บทว่า ฐิติยา ความว่า เพื่อความตั้งมั่นด้วยสามารถความเกิดขึ้นติดกันบ่อยๆ. 
               บทว่า อสมฺโมสาย ได้แก่ เพื่อความไม่สูญหาย. 
               บทว่า ภิยฺโย ภาวาย ได้แก่ เพื่อสูงขึ้นไป. 
               บทว่า เวปุลฺลาย ได้แก่ เพื่อความไพบูลย์. 
               บทว่า ปาริปูริยา ได้แก่ เพื่อให้ภาวนาบริบูรณ์. 
               สัมมาวายามะ แม้นี้ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด คิดมิให้เกิดเป็นต้น มีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรคความเพียร เป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้นย่อมเกิดขึ้น ยังองค์มรรคให้บริบูรณ์อยู่ด้วยสามารถให้สำเร็จกิจในฐานะ ๔ เหล่านี้แล นี้ชื่อว่าสัมมาวายามะ. 
               แม้สัมมาสติ ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความต่างกันแห่งจิตกำหนดกายเป็นต้น. ส่วนในขณะแห่งมรรค สติอย่างเดียวย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ด้วยสามารถให้สำเร็จกิจในฐานะ ๔ เหล่านี้ นี้ชื่อว่าสัมมาสติ. 
               พึงทราบในฌานเป็นต้น ในส่วนเบื้องต้น สัมมาสมาธิต่างกันด้วยสามารถสมาบัติ ในขณะแห่งมรรคด้วยสามารถมรรคที่ต่างกัน. 
               จริงอยู่ ปฐมมรรคของฌานอย่างหนึ่งย่อมมีปฐมฌาน แม้ทุติยมรรคเป็นต้นมีปฐมฌานหรือมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งในทุติยฌานเป็นต้น ปฐมมรรคของฌานอย่างหนึ่งย่อมมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งทุติยฌานเป็นต้น. แม้ทุติยมรรคเป็นต้นมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งทุติยฌานเป็นต้นหรือมีปฐมฌาน. มรรคแม้ ๔ จะเหมือนกัน ไม่เหมือนกันหรือเหมือนกันบางอย่าง ย่อมมีด้วยสามารถแห่งฌานอย่างนี้แล. 
               ส่วนความต่างกันแห่งมรรคนี้ ย่อมมีด้วยการกำหนดฌานที่เป็นบาท. 
               จริงอยู่ มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ได้ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้วเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีปฐมฌานด้วยการกำหนดฌานที่เป็นบาท. ส่วนในฌานนี้ย่อมมีองค์แห่งมรรคโพชฌงค์และฌานบริบูรณ์แล้วแล. 
               มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ออกจากทุติยฌานแล้วเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีทุติยฌาน. ส่วนในฌานนี้ องค์มรรคมี ๗. มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ออกจากตติยฌานเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีตติยฌานก็ในฌานนี้มีองค์มรรค ๗ โพชฌงค์มี ๖. ตั้งแต่จตุตถฌานจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะก็มีนัยนี้. 
               จตุกกฌานและปัญจมกฌานในอรูปฌานย่อมเกิดขึ้น และฌานนั้น ท่านกล่าวว่า เป็นโลกุตระหาเป็นโลกิยะไม่ ดังนี้. 
               แม้ในบทว่า กถํ นี้ในบทนั้น มรรคนั้นเกิดขึ้นแล้วในอรูปฌาน เพราะออกจากปฐมฌานเป็นต้นได้โสดาปัตติมรรคเจริญอรูปสมาบัติ. มรรค ๓ แม้มีฌานนั้น ย่อมเกิดขึ้นในอรูปฌานนั้นของฌานนั้น. 
               ฌานที่เป็นบาท ย่อมกำหนดอย่างนี้แล. 
               ส่วนพระเถระบางพวกย่อมกล่าวว่า ขันธ์เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาย่อมกำหนด. บางพวกกล่าวว่า อัธยาศัยของบุคคลย่อมกำหนด. บางพวกย่อมกล่าวว่า วุฏฐานคามินีวิปัสสนาย่อมกำหนด. 
               การวินิจฉัยในวาทะของพระเถระเหล่านั้น พึงทราบโดยนัยอันกล่าวไว้แล้วในอธิการว่าด้วยวุฏฐานคามินีวิปัสสนา ในวิสุทธิมรรค. 
               บทว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สมฺมาสมาธิ ดังนี้ นี้เป็นโลกิยะในส่วนเบื้องต้น ในส่วนเบื้องปลายเป็นโลกุตระ ท่านเรียกว่า สมาธิ.

               จบอรรถกถาวิภังคสูตรที่ ๘

การอัปเกรดและอาการ Ascension

เนื่องจากได้ยืนยันการอัปเดตการสั่นพ้องของ Schuhmann อีกครั้ง ว่ามีคลื่น 40Hz อีกคลื่นหนึ่งได้กระทบพื้นโลกเมื่อเร็ว ๆ นี้

การยกระดับขึ้นสู่โลกและมนุษยชาติกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ลำแสงโฟตอนแกมมากำลังปกุม Gaia ดาวโลกและเตรียมชีวิตที่มีความรู้สึกทั้งหมดสำหรับการยกระดับขึ้นสำหรับคนหมู่มาก

DNA กำลังอัพเกรด

สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ 3 มิติที่ไม่รู้ว่า "DNA ขยะ" ของเราจะเก็บข้อมูลของการเกิดใหม่ทั้งหมดของคุณมรดกทางกาแลคซีของคุณและจักรวาลทั้งหมด และความรู้นี้กำลังจะได้รับการฟื้นฟู คุณเห็นไหมว่า 'มหาอำนาจที่เกิดขึ้นในไม่ช้า' ในโลกของคุณนั้นน่ากลัวเพียงใดจากข้อเท็จจริงนี้?

คุณเข้าใจไหมว่าทำไมโลกถึงกลับหัวกลับหาง? ทั้งหมดเป็นเพียงความฟุ้งซ่าน เพื่อให้คุณอยู่ในความกลัว มีเพียงความถี่ต่ำของความกลัวเท่านั้นที่สามารถป้องกันไม่ให้คุณปรับระดับการสั่นสะเทือนได้

ด้วยความถี่ที่เพิ่มขึ้นเกลียวที่กระจัดกระจายของ DNA จะเชื่อมต่อกันใหม่ รังสีคอสมิกที่ส่งมายังโลกจะทะลุผ่านเซลล์ของสิ่งมีชีวิตของคุณและจัดเรียงดีเอ็นเอของคุณใหม่

เมล็ดพันธุ์แห่งดวงดาวที่ถูกปลุกขึ้นมาบนโลกจะมี 3-5 เกลียวที่ทำงานอยู่ในขณะนี้ในขณะที่ลูก Starseed ใหม่ที่เกิดบนโลกนั้นมี 3-5 เกลียวที่ใช้งานอยู่

ดีเอ็นเอ 12 เกลียวตรงกับ 12 จักระภายในด้านบนและด้านล่างของร่างกาย พวกเขาส่งและรับข้อมูลไปมาระหว่างกัน

เมื่อคุณปลดล็อกจักระและปล่อยให้ DNA รวมตัวกลับสู่รูปแบบธรรมชาติของ 12 เกลียวที่ใช้งานอยู่คุณจะกลายเป็นมนุษย์หลายมิติ

เมื่อนานมาแล้วผู้ปกครองฝ่ายมืดของดาวเคราะห์ดวงนี้ได้จัดการกับ DNA ของมนุษย์โดยเหลือเพียง 2 เกลียวเท่านั้น เกลียวทั้งสองนี้สอดคล้องกับจักระที่หนึ่งและสอง จักระมูลฐาน(ราก)และจักระศักดิ์สิทธิ์ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเราในฐานะเผ่าพันธุ์ที่จะอยู่รอดและให้กำเนิด

แต่การระเบิดของลำแสงแกมมาโฟตอนสู่พื้นโลกอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้ช่วยให้มนุษยชาติเริ่มกระบวนการตื่นตัวที่จะนำไปสู่การยกระดับขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จักระช่องท้องแสงอาทิตย์ถูกยกเลิกการอุดตันโดยการฟังสัญชาตญาณและตั้งคำถามกับคำบรรยาย สิ่งนี้ดำเนินต่อไปพร้อมกับการเปิดจักระของหัวใจและสามารถให้และรับความรักได้มากขึ้น

ดังนั้นความถี่ของร่างกายจึงเปลี่ยนไปเพื่อปรับให้เข้ากับระดับการสั่นสะเทือนใหม่ของโลก ในระหว่างขั้นตอนนี้คุณอาจมีอาการไม่สบายตัว ในความเป็นจริงการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่เป็นอาการขึ้นลง

มันเกิดขึ้นเมื่อคลื่นแสงแกมมาโฟตอนจำนวนมหาศาลถูกส่งไประเบิดโลกผ่านดวงอาทิตย์ตอนกลาง แต่ร่างกายของมนุษย์ที่รองรับไม่ได้เตรียมไว้ในแง่ของความแข็งแรงทางโภชนาการและความเป็นอยู่ที่ดี

อาการ Ascension ที่คุณอาจประสบ:
* ปวดหัว
* มองเห็นภาพซ้อน
* หูอื้อ
* ระคายเคืองคอหรือต้องล้างคอบ่อยๆ
* ใจสั่น
* ความวิตกกังวล
* ปัญหาในการนอนหลับหรือต้องการการนอนหลับมากขึ้น
* ความฝันที่สดใส
* ความเหนื่อยล้า
* เหงื่อออกมากขึ้น
* การแพ้แบบสุ่มสำหรับอาหารบางชนิด
* คลื่นไส้
* ท้องร่วง
* เวียนศีรษะหรือรู้สึกลอย
* ปวดเมื่อย
* หายใจถี่
* หาวหรือเรอบ่อยๆ
* กระหายน้ำมากเกินไป
* ปวดมือข้อมือเข่าเท้าหรือข้อเท้า
จำไว้ว่าคุณต้องรักและปรนเปรอตัวเอง กินให้ดีนอนหลับพักผ่อนและอย่าติดตามข่าวปลอม(3 มิติ)ที่มีขึ้นเพื่อส่งความเครียดเข้าสู่ตัวคุณเท่านั้น

สิ่งสำคัญคือต้องเชื่อมต่อกับธรรมชาติและบดบังตัวเองเป็นประจำในช่วงเวลานี้ เดินด้วยเท้าเปล่าของคุณทุกวันนอนลงบนผิวที่เปลือยเปล่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้บนวัชพืชทรายหรืออาบน้ำเกลือ

ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอกินอาหารจากพืชสด ๆ นั่งสมาธิหายใจและทำสิ่งต่างๆที่ทำให้คุณมีความสุขเช่นร้องเพลงฟังเพลงโปรดและเต้นรำ แนวทางปฏิบัติที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มความถี่ของคุณและสนับสนุนกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของคุณ

โลกใหม่กำลังถือกำเนิดขึ้น มิติที่ 5 อยู่ที่นี่แล้ว จูน!


ขอบคุณที่มา
A'HO
ออโรร่าเรย์
เอกอัครราชทูตสหพันธ์กาแลกติก

แปลโดย อวยชัย กุลพงษ์

https://thegalacticfederation.com/6-018

"สมาธิเกิดโกสัชชะ ความเกียจคร้าน"

เมื่อเราทำสมาธิอย่างนั้นได้เกิดความสงบแล้วเราก็อย่าไปเสวยความสุขมาก ท่านจึงเรียกว่า ติดสุข-สุขเวทนา เมื่อเข้าไปเสวยสุขเวทนามากเข้าแล้ว 

มันก็จะเกิด "โกสัชชะ"ตามมาคือ ความเกียจคร้าน 

ขณะที่ใจสบายอย่างนั้น ยิ่งสบายมากเท่าไรมันยิ่งเกิดความเกียจคร้าน ใจอันนี้มันให้เกิดกิเลสขึ้นมาเอง ความเกียจคร้าน..ไม่อยากนึก ไม่อยากนึก 
ไม่อยากทำอะไรทั้งหมด นั่งดูเฉยๆๆอยู่อย่างนั้น นั่นสมาธิเกิดโกสัชชะ ความเกียจคร้าน 
เมื่อโกสัชชะเกิดขึ้นแล้ว "ถีนมิทธะ" ความง่วงเหงาหาวนอนมันจะตามเข้ามาโดยที่เราไม่รู้ตัว 
พอมากเข้า มากเข้า ประเดี๋ยวก็ง่วงนอน..สมาธิเสีย นี่พอสมาธิเสียก็ต้องไปเจริญใหม่ 
นี่ต้องแก้ตรงนี้ให้ตก การบำเพ็ญอยู่ตรงนี้สำคัญที่สุด 

พอได้สมาธิแล้วเราก็ต้องไปพิจารณาขันธ์ ๕ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรานี่ อะไรเป็นเรา..ถามใจลงไป ไหนตัวเรา แข้งขามือตีน หูตาจมูกลิ้นกาย 

แล้วก็ถามลงไปไหนตัวเรา พระพุทธเจ้าแสดงว่า เนมะมะ เนตังมะมะ นี่ไม่ใช่เรา ถามปัญญจวัคคีย์ รูปัง อนิจจัง ไม่เที่ยง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง เหล่านี้ไม่ใช่ตัวตน 

แล้วเราก็ต้องเอาคำสอนตัวนี้มาพินิจพิจารณาบ้าง เมื่อใจสงบแล้ว

พระอาจารย์เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม 
อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
    
    .....................................................................

สมาธิสูตร
ว่าด้วยสมาธิเป็นเหตุเกิดปัญญา

             [๒๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก-
*เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ. ภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง. ก็ภิกษุย่อมรู้ชัดตามเป็น
จริงอย่างไร. ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป ความเกิดและความดับแห่งเวทนา ความ
เกิดและความดับแห่งสัญญา ความเกิดและความดับแห่งสังขาร ความเกิดและความดับแห่ง
วิญญาณ.

             [๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความเกิดแห่งรูป อะไรเป็นความเกิดแห่ง
เวทนา อะไรเป็นความเกิดแห่งสัญญา อะไรเป็นความเกิดแห่งสังขาร อะไรเป็นความเกิดแห่ง
วิญญาณ? ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลในโลกนี้ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่.
ก็บุคคลย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่ ซึ่งอะไร. ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง
ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป ความยินดีก็เกิดขึ้น ความยินดีในรูป
นั่นเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาส. ความ
เกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนั้น ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. บุคคลย่อมเพลิดเพลินซึ่งเวทนา ฯลฯ
ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสัญญา ฯลฯ ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสังขาร ฯลฯ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง
ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ ความยินดีย่อมเกิดขึ้น
ความยินดีในวิญญาณ นั่นเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัสและอุปายาส. ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย นี่เป็นความเกิดแห่งรูป นี่เป็นความเกิดแห่งเวทนา นี่เป็นความเกิดแห่งสัญญา นี่เป็น
ความเกิดแห่งสังขาร นี่เป็นความเกิดแห่งวิญญาณ.

             [๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความดับแห่งรูป อะไรเป็นความดับแห่งเวทนา
อะไรเป็นความดับแห่งสัญญา อะไรเป็นความดับแห่งสังขาร อะไรเป็นความดับแห่งวิญญาณ?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่.
ก็ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งอะไร. ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อม
ไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป ความ
ยินดีในรูปย่อมดับไป เพราะความยินดีของภิกษุนั้นดับไป อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ
ภพจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ภิกษุย่อมไม่
เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำ ซึ่งเวทนา ... ซึ่งสัญญา ... ซึ่งสังขาร ...
ซึ่งวิญญาณ เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งเวทนา ... ซึ่งสัญญา ... ซึ่งสังขาร ...
ซึ่งวิญญาณ ความยินดีในเวทนา ... ในสัญญา ... ในสังขาร ... ในวิญญาณ ย่อมดับไป เพราะความ
ยินดีของภิกษุนั้นดับไป อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกอง
ทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความดับแห่งรูป นี้เป็นความดับ
แห่งเวทนา นี้เป็นความดับแห่งสัญญา นี้เป็นความดับแห่งสังขาร นี้เป็นความดับแห่งวิญญาณ.
จบ สูตรที่ ๕.

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ บรรทัดที่ ๒๙๓-๓๓๑ หน้าที่ ๑๓-๑๔.
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=17&A=293&Z=331&pagebreak=0

โรคของบรรพชิต

คำตรัสของพระพุทธเจ้า

“ โรคของบรรพชิต”
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !!! โรค ได้แก่สิ่งที่เสียดแทงทำลายความผาสุกมี ๒ อย่าง โรคทางกายกับโรคทางใจ สัตว์ทั้งหลายที่ยืนยันอยู่ถึงความไม่มีโรคทางกาย ตลอด ๑ ปีบ้าง ๒ ปีบ้าง ๕ ปีบ้าง ๑๐ ปีบ้าง ๕๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง หรือยิ่งกว่านั้นบ้าง ดังนี้พอจักหาได้ แต่สัตว์ที่จะยืนยันถึงความไม่มีโรคทางใจ แม้ชั่วเวลาเพียงครู่เดียว เว้นพระขีณาสพแล้ว นับว่าหาได้ยากในโลก.

 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !... โรคของบรรพชิต มี ๔ อย่าง คือ

๑. ภิกษุเป็นผู้มักมาก มีความร้อนใจเพราะความมักมากอยู่เสมอ ไม่รู้จักพอ ด้วยผ้านุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่และยา ตามมีตามได้

๒. ภิกษุนั้น เมื่อเป็นเช่นกล่าวแล้ว ย่อมตั้งความปรารถนาลามก เพื่อจะได้ความนับถือ เพื่อจะได้ลาภ สักการะและสรรเสริญ

๓. เมื่อตั้งความปรารถนาลามกเช่นนั้นแล้ว ย่อมวิ่งเต้นขวนขวายพยายาม เพื่อจะได้ความนับถือ เพื่อจะได้ลาภ สักการะและสรรเสริญ

๔ .เธอย่อมเข้าสู่สกุลเพื่อให้เขานับถือ ย่อมนั่งในสกุลเพื่อให้เขานับถือ ย่อมกล่าวธรรมในสกุลเพื่อให้เขานับถือ ย่อมกลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ คลุกคลีอยู่ในสกุลเพื่อให้เขานับถือ

 นี่แล ภิกษุทั้งหลาย!!! โรคบรรพชิต ๔ อย่าง เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกว่า จักไม่เป็นเช่นนั้น

เหตุแห่งคำตรัส : ภิกษุทั้งหลาย
 เหตุแห่งคำตรัสข้างต้น เกิดจากพระองคุลิมาลถูกก้อนหินและท่อนไม้ตกใส่จนศรีษะแตกร้าวลึกเลือดโทรมกาย เดินอย่างสงบเข้ามากราบพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นที่น่าเวทนา พระพุทธองค์ทรงตรัสปลอบประโลมใจและชี้ให้เห็นว่า กรรมได้ตามสนองแล้ว จะสิ้นเวรสิ้นกรรมในชาตินี้
 จากนั้นพระพุทธเจ้าก็ให้เรียกประชุมหมู่ภิกษุ ณ ลานที่พระมูลคันธกุฎี วัดเชตะวันวิหาร กรุงสาวัตถี ทรงตรัสถึงโรคอันเกิดกับคน และโรคอันเกิดกับภิกษุทั้งหลาย ดังคำกล่าวข้างต้น

#โรคของบรรพชิต
#โรคทางกายทางใจ
#ลาภสักการะ
#สรรเสริญ

แอดมิน/...

7 กฎธรรมชาติในจักรวาล

กฎ...
1,กฎแห่งกรรม...อดีตชาติปัจจุบันอนาคตชาติ

2.กฎเครื่องแลก...1ไป1 หรือ1ไป10...ตามนักเบาแห่งกำลัง

3.กฎสะท้อนกลับ...ธรรมอธรรมธรรมชาติ...มีผลย้อนกลับ

4.กฎทะแยง...ผู้เข้าใจกฎ...ผู้รู้กฎ...ผู้บังคับกฎ..ใช้โยงเพื่อทดรอบความถี่

5.กฎจักรกล...สร้างทำลายล้าง...ปรับค่าสมดุลหรืออภิวัฒน์...

6.กฎจักรวาล...เชื่อมโยง...เยี่ยวยา...รักษา...ซ่อมสร้าง...สร้างสรรค์...สีสัน...รากทุกฐาน

7.กฎพลังงาน...ทุกสิ่ง...ทุก
รอบ...ทุกมิติ...ทุกกฎ...ทุกบัญญัติ..ทุกสว่าง...ทุกมืด...ทุกโค้ช...ทุกรหัส...ทุกการเกิดดับ...ทุกรูปนาม...ทุกเครื่องอาศัย...ทุกดวงจิต...ทุกดวงใจ...ทุกตัวรู้...ทุกตัวว่าง...ทุกตัวตน...ทุกไร้ตัวตน...ทุกสหภพ...ทุกจักรกล...ทุกจักรวาล...ทุกมิติ...ทุกต้นกลางปลายไร้ต้นกลางปลาย...ทุกสิ้นสุด...ทุกการตั้งรอบ...ทุกมวลกล่าวถึงแลมิถึง อื่นๆ...


ที่มา
จาก...กลับบ้านรวมเป็นหนึ่ง...ในความหมายองคฺ์ความรู้จากองค์พระผู้สร้าง

เหตุเกิดและดับแห่งขันธ์ ๕

ปัญหา พระพุทธพจน์ที่ว่า ภิกษุมีจิตเป็นสมาธิแล้วย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง หมายความว่ารู้อะไร?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความจริงแห่งรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ?
“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลในโลกนี้ย่อมเพลิดเพลินหลงใหล ดื่มด่ำอยู่ในรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ เมื่อเพลิดเพลินหลงใหล ดื่มด่ำอยู่ในรูป (เป็นต้น) ความยินดีพอใจก็เกิดขึ้น ความยินดีพอใจในรูป (เป็นต้นนั้น) เป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพระภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีความแก่ ความตาย ความโศก ความคร่ำครวญ ความทุกข์ ความขัดเคือง ความตรอมตรมใจ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

“.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความดับแห่งรูป...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ?
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่หลงใหล ไม่ดื่มด่ำใน รูป(เป็นต้น) เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่หลงใหล....... ความยินดีในรูป(เป็นต้นนั้น) ย่อมดับไป เพราะความยินดีของภิกษุนั้นดับไป อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ความแก่ ความตาย ความโศก ความคร่ำครวญ... จึงดับไป ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวล ย่อมมีด้วยประการฉะนี้”

สมาธิสูตร ขันธ. สํ. (๒๗-๒๙)
ตบ. ๑๗ : ๑๗-๑๙ ตท. ๑๗ : ๑๕-๑๖
ตอ. K.S. ๓ : ๑๕-๑๖

พุทโธ เข้าไว้ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

🌻"จำไว้ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทำอะไรๆ ก็พุทโธ กลัวก็พุทโธ ใจไม่ดีก็พุทโธ ขี้เกียจก็พุทโธ"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

"ให้พากันทำเอา ในชาตินี้"

" .. การทำทาน การรักษาศีล การเมตตาภาวนา การที่อบรมสมาธิ มันติดไปหลายภพหลายชาติ จึงเป็นไปเพื่อความเจริญก้าวหน้า มิใช่ว่า เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตายหลายภพหลายชาติ แล้วมันจะเจริญงอกงาม มันจะเจริญงอกงามขึ้นมาเองหามิได้ 

ไม่ทำดี มันจะดีได้อย่างไร มิหนำซ้ำยิ่งชั่วเลวทรามไปอีก ตายไปเกิดเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรตอสุรกาย สามารถไปเกิดได้ทุกแห่ง 

อันนิสัยที่เราอบรมฝึกฝนไว้ดี ๆ นั่น มันติดนิสัยอันนั้นแหละ ค่อยดีขึ้น ค่อยดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เกิดขึ้นมาในโลกนี้นานนักหนา มันเป็นกัปป์เป็นกัลป์ 

โอ๊ย .. กว่าจะพ้นทุกข์ได้ แล้วจะไปนอนคอยท่าให้มันเจริญเติบโตด้วยคุณธรรม มันไม่ได้หรอก พากันรีบเร่งขวนขวายทำเสียในชาตินี้ ในเมื่อเราได้ยินได้ฟัง ในเมื่อเรามีศรัทธา จงพยายามทำเสีย 

นี่จึงว่า พุทธมามกะ มีการรักษาศีล มีการทำความเพียรภาวนา ทำสมาธิ มีการเจริญปัญญา ด้วยประการอย่างนี้ .. " 

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

29 ธันวาคม 2563

อียิปต์ "ความลับเหนือโลก” ของ “กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ” ใน “จารึกคัมภีร์มรกต”

เมื่อหลายพันปีมาแล้วในอียิปต์  "ความลับเหนือโลก” ของ 
“กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ” ได้จารึกอยู่ใน “จารึกคัมภีร์มรกต” ถือเป็นสิ่งต้องห้ามมาช้านาน ด้วยพวกชนชั้นปกครองส่วนใหญ่ไม่อยากให้แนวคิดในจารึกนี้เผยแพร่ออกไป เพราะจะทำให้ยากแก่การปกครองครอบงำความคิดของ
มหาชน นับตั้งแต่แอตแลนติสมาถึงพระของอียิปต์โบราณมาจนถึงวัดในยุคกลาง พวกผู้นำศาสนาต่างสั่งห้ามไม่ให้พูดถึงจารึกคัมภีร์มรกตเลย ใครหลุดปากออกมาแม้แต่คำ
เดียวก็จะถูกข้อหาว่าเป็นพวกนอกรีตหรือแม่มดทันที และโทษก็คือแขวนคอหรือตัดหัว คัมภีร์และกฏนี้ บรรจุความลับจักรวาลอะไรไว้

“กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ” ก็คือ

กฎแห่งมโนนิยม
 
กฎแห่งจักรวาลข้อแรกบอกเราว่า ทุกสิ่งก็คือ"จิต" ดังนั้น ขั้นตอนของการเปลี่ยนสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ก็มาจากพลังทางจิตของเรานั่นเอง เพราะจักรวาลเป็นเรื่องที่อยู่ภายใน เราจึงสามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตเราได้อย่างสมบูรณ์ 
       ดังนั้น เราจึงต้องใส่ใจจริงจังที่จะสังเกตความฝันของเรา เพราะบ่อยครั้งความฝันก็บอกถึงสิ่งที่เราขาดไปในชีวิต และจะบอกใบ้ให้รู้วิธีที่จะเติมเต็มประสบการณ์ของเราให้เข้มข้นยิ่งขึ้น บางครั้งความฝันก็เป็นพื้นฐานของสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้นจริง ในชีวิตที่เราปรารถนา จักรวาลนั้นอยู่ภายในตัวเรานี่เอง! เพราะ

 “ภายในเป็นอย่างไร ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น”

กฎแห่งการสั่นสะเทือน

กฎจักรวาลข้อที่สองช่วยให้เราเข้าใจว่า เราเป็นยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตที่ผูกติดอยู่กับ"เวลาและสถานที่"ที่เราอยู่ เรามายังที่นี้เพื่อใช้ชีวิตและเรียนรู้บทเรียนอันทรงคุณค่า แต่ประสบการณ์ชีวิตนั้นมีหลายด้าน เนื่องจากเรามีชีวิตสามด้าน นั่นคือ 
"ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ" การจะมีชีวิตที่มีสุขและสมดุลได้ เราจะต้องทะนุบำรุงชีวิตทั้งสามด้านนั้นให้สอดประสานกันเสมือนกับวงดนตรีประสานเสียง ทั้งสามด้านจะต้องทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน
      ทุกสิ่งล้วนแต่สั่นสะเทือน กฎจักรวาลข้อที่สองนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่า การสั่นสะเทือนนั้นจำเป็นต่อชีวิต ถ้าเราปล่อยให้
"การสั่นสะเทือนลดต่ำ"เกินไป เราจะล้มป่วยหรือซึมเศร้าหดหู่ และร่างกายเราจะทุกข์ทรมาน "ความรักเป็นวิธีที่จะช่วยรักษาการสั่นสะเทือนให้อยู่ในระดับสูง" 
     ความรักเป็นผลมาจากการรู้คุณค่าและซาบซึ้งในตัวบุคคลอื่น 
"เมื่อเรารู้สึกรัก เราจะเชื่อมโยงสัมพันธ์กับโลกและทุกสิ่งทุกอย่างในโลก"
 เราสะท้อนรับเอาแรงสั่นสะเทือนจากสรรพสิ่ง เมื่อเราเรียนรู้บทเรียนเหล่านี้และส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อๆ ไป เราจะยกระดับการสั่นสะเทือนของมนุษยชาติด้วยการเชื่อมโยงสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และด้วยความเข้าใจในโลก

กฎแห่งขั้วตรงข้าม

กฎแห่งจักรวาลข้อนี้สอนเราว่า ทุกสิ่งนั้นมีขั้วตรงข้ามกัน แต่
"ขั้วตรงข้ามนั้นแท้จริงก็เป็นเพียงสิ่งเดียวกันที่ “ต่างระดับกัน”" นั่นเอง และรอคอยจะเชื่อมประสาน
กัน เมื่อเราเข้าใจตรงนี้ เราก็จะสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นและรับมือกับสถาน
การณ์ในชีวิตได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเข้าใจกฎแห่งขั้วตรงข้ามแล้ว เราก็จะสามารถหาหนทางเพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการได้ และเทคนิคนี้ใช้ได้ดีโดยเฉพาะเมื่อเราต้องรับมือกับอารมณ์ต่างๆ ความเศร้าสามารถเปลี่ยนเป็นความสุข ความเกลียด
เปลี่ยนเป็นความรัก และความเจ็บปวดก็เปลี่ยนเป็นความสุขได้

กฎแห่งจังหวะ

กฎแห่งจังหวะเตือนให้เราระลึกว่า ขณะที่ลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งไปยังด้านหนึ่ง
มันก็ต้องแกว่งกลับไปยังด้านตรงข้ามเท่าๆ กัน เพื่อเป็นการชดเชยถ่วงดุล 
"ผู้ที่ประสบกับความขมขื่นเหลือแสน ก็ย่อมรู้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ด้วย"        เพราะการที่จะรู้ถึงคุณค่าแท้จริงของสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความรัก และความสงบ เราต้องรู้ถึงขั้วตรงข้ามของมันด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อเราได้ประสบกับสิ่งเหล่านี้แล้ว เราจะสามารถแยกตัวเองออกมาได้ ก็โดยการก้าวถอยหลังเมื่อลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งไปยังด้านที่เราไม่ชอบ และบอกตัวเองว่าไม่ช้ามันจะแกว่ง
กลับไปยังด้านที่เราชอบมากกว่าเอง ถ้าเราพลิ้วไปกับกระแส แม้ในยามที่ดูมืดมนสิ้นหวัง เราก็ยังยอมรับได้ว่า แม้นั่นไม่ใช่สิ่งที่เรามุ่งหวัง แต่ก็ยังทำใจให้ผ่อนคลายโดยไม่กังวลได้ เพราะกฎแห่งจังหวะทำให้เรารู้ว่าอะไรที่กำลังจะตามมา

กฎแห่งเพศ

ทุกคน ทุกสถานที่ และทุกสิ่งต่างก็มีทั้งลักษณะที่เป็นทั้งเพศชายและเพศหญิงซึ่งทำงานสอดประสานกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา โดย
"พลังเพศชายนั้นอยู่ภายนอก อันเป็นสิ่งที่ถูกส่งออกไปสู่จักรวาล ขณะที่พลังเพศหญิงนั้นอยู่ภายใน"
ด้วยเหตุนี้ พลังเพศชายและหญิงจึงทำงานร่วมกันเหมือนสายพ่วงแบตเตอรี่ เพศชายคือสายขั้วบวก ก็จะผลักออกเสมอ ส่วนเพศหญิงหรรือสายขั้วลบก็จะดึงดูดเสมอ(พลังเพศชาย คือ ศิวลึงค์ ปิรามิดหัวตั้ง  ประจุไฟฟ้าที่ถูกผลักออกสู่วงนอก พลังเพศหญิง คือ โยนีลึงค์ คือ ปิรามิดหัวกลับ คือ อนุภาคที่ดึงดูดถูกยุบเข้าสู่ศูนย์กลาง ของโมเลกุล ปฏิกิริยาทั้งสองเมื่อเกิดพร้อมกันคือ ปฏิกิริยานิวเคลีย fusion&fission กลายเป็นสนามแม่เหล็กพลังจิตวิญญาณในสมองมนุษย์) ว่าตามวิทยาศาสตร์แล้ว ขั้วบวกไม่ใช่หมายถึงสิ่งที่ดี และขั้วลบก็ไม่ได้หมายถึงสิ่งไม่ดี ต่างเป็นแค่คำเรียกสมดุลการไหลของพลังงาน สภาพเพศหญิงจึงหมายถึงเส้นทางขั้วลบของพลัง เพราะเป็นจุดเกิดแห่งการสร้าง 
เช่นเดียวกับที่ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมา
           กฎจักรวาลข้อนี้ช่วยให้เราเอาชนะความไม่มั่นใจในตัวเองและการผัดวันประกันพรุ่งได้
 "พลังของหญิงและชายนั้นต่างทำงานประสานกันเสมอ เว้นแต่จะถูกปิดกั้นด้วยอคติหรือความคิดเชิงลบอันเกิดมาจากความกลัว"
 วิธีที่ดีอย่างหนึ่งใน
การเปิดรับพลังงานที่สมดุลคือ การมีส่วนร่วมในการให้และรับทุกๆ วัน

กฏแห่งเหตุและผล

หลักแห่งเหตุและผลเป็นกฎแห่งจักรวาลที่รู้จักกันดีที่สุดข้อหนึ่ง พวกเราหลายคนต่างเคยได้ศึกษากฎนี้มาแล้วตอนเรียนวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือ “ทุกๆ แรงกระทำจะมีแรงปฏิกิริยาตรงข้ามที่เท่าๆ กัน”
       ไม่มีสิ่งใดหลีกพ้นกฎแห่งเหตุและผลไปได้ แต่เราสามารถใช้กฎจักรวาลข้อนี้เพื่อเอาชนะกฎแห่งชีวิตประจำวันซึ่งอยู่ภายใต้กฎจักรวาลอีกที เมื่อเราใช้กฎจักรวาลเพื่อดึงเอาสิ่งที่เราต้องการผ่านทางการคิดหรือการกระทำเชิงบวก 
เมื่อเรายกระดับการสั่นสะเทือน และเมื่อเราตระหนักถึงความสมดุลระหว่างเพศ เมื่อนั้นเราก็กำลังปฏิบัติการอยู่ในเครื่องบินลำที่อยู่สูงขึ้นไป เราจะไม่ถูกพัดพาไปกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตอีกต่อไป

กฎแห่งความสอดคล้องกัน

กฎแห่งจักรวาลข้อนี้ทำให้เราตระหนักว่า แม้ตัวเราอาจเป็นเพียงสิ่งเล็กกระจ้อยร่อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับจักรวาล แต่กฎแห่งความสอดคล้องกันก็บอกว่าเรามี
 “เครื่องช่วย” อยู่ในตัว ที่จะช่วยให้เราทุกคนเข้าใจมันได้อยู่แล้วด้วย
นั่นก็เป็นเพราะ ไม่ว่าสิ่งที่เราพยายามทำความเข้าใจนั้นจะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะเข้าใจมันได้ทั้งหมด หรือเล็กเกินกว่าจะมองเห็นด้วยตาเปล่าเพียงใดก็ตาม ไม่ว่ามันจะอยู่ในโลกด้านไหน ทุกสิ่งก็สร้างขึ้นจากเนื้อแท้อย่างเดียวกัน 
จาก “สรรพสิ่ง” นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งจึงสะท้อนถึงหรือจำลองแบบ
มาจากสิ่งอื่นๆ
            กฎข้อนี้ยังทำให้เราเข้าใจแจ่มชัดว่า “ทำอย่างไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น” หากเราปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่ดี พวกเขาก็ย่อมทำแบบเดียวกัน แต่ความดีจะเอาชนะความชั่วได้ หากเราควบคุมชีวิตและชะตากรรมของเราเอง โดยใช้วิธีคิดและการกระทำในทางที่ดี ตามกฎแห่งความสอดคล้องต้องกันนี้

กฎแห่งมโนนิยม กฎแห่งขั้วตรงข้าม กฎแห่งเหตุและผล กฎแห่งเพศ กฎแห่ง
การสั่นสะเทือน กฎแห่งความสอดคล้องกัน และกฎแห่งจังหวะ 
        กฎทั้งหลายนี้รวมกันในลักษณะและระดับต่างๆ จนทำให้เราประสบสัมผัสกับกฎแห่งแรงดึงดูดอันหลีกเลี่ยงไม่ได้

          เราต้องเรียนรู้วิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความคิดเชิงลบเกิดขึ้นในสมอง และเรียนรู้ที่จะเติมความคิดด้วยพลังภายในจากกฎจักรวาล แล้วเราก็จะก้าวเข้าสู่วิถีชีวิตที่สูงส่งกว่าเดิม สงบกว่าเดิม และดีกว่าเดิม ส่วนหนึ่งของขั้นตอนที่ว่านี้ก็คือ เราจะได้ตระหนักถึงปัจจุบันขณะ เมื่อเราตระหนักถึงตัวเอง เมื่อใส่ใจกับคนที่เรารักหรืองานที่กำลังทำอยู่ ชีวิตก็จะชัดเจนและแจ่มกระจ่างมากขึ้น สิ่งดีๆ ทั้งหลายก็จะไหลพลิ้วเข้ามาหาอย่างนิ่มนวล และเป็นไปอย่าง่ายดายสำหรับเรา ตามกฎแห่งแรงดึงดูดนี่เอง
          เราสามารถทำให้ชีวิตมีความสุขและความมหัศจรรย์ เกินกว่าที่เราเคยคิดว่าจะเป็นไปได้ โดยอาศัยกฎจักรวาลทั้ง 7 ข้อนี้ 

มหาเทพธอท
ปล.คัดลอกเขามาอีกที

28 ธันวาคม 2563

"เมื่อนาคอยากเป็นมนุษย์จึงรักษาอุโบสถศีล"

เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าเสวยนาคราชสมบัติอยู่ในนาคพิภพนั้น ในเวลาต่อมาก็เกิดวิปฏิสาร คิดว่าประโยชน์อะไรด้วยกำเนิดดิรัจฉานนี้แก่เรา เราจักอยู่รักษาอุโบสถกรรม พ้นจากอัตภาพนี้ไปสู่ดินแดนมนุษย์ จักได้แทงตลอดสัจธรรม กระทำที่สุดแห่งทุกข์ดังนี้ นับจำเดิมแต่นั้น ก็ทรงรักษาอุโบสถกรรมอยู่ในปราสาทนั้นทีเดียว พวกนางมาณวิกาตกแต่งกายงดงามพากันไปยังสำนักของพระมหาสัตว์นั้น ศีลของพระมหาสัตว์ก็วิบัติทำลายอยู่เนือง ๆ 

จำเดิมแต่นั้นพระมหาสัตว์เจ้าจึงออกจากปราสาท ไปสู่พระอุทยาน นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นก็ติดตามไปแม้ในพระอุทยาน อุโบสถศีลของพระมหาสัตว์ก็แตกทำลายอยู่ร่ำไป ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าทรงจินตนาการว่าควรที่เราจะออกจากนาคพิภพนี้ไปยังมนุษยโลกอยู่รักษาอุโบสถ นับแต่นั้นมาเมื่อถึงวันอุโบสถ พระองค์ก็ออกจากนาคพิภพไปยังมนุษยโลก ทรงประกาศสละร่างกาย ในทานว่า “ใครจะมีความต้องการอวัยวะของเรามีหนังเป็นต้นจงถือเอาเถิด ใครต้องการจะทำให้เราเล่นกีฬางูก็จงกระทำเถิด” แล้วคู้ขดขนดกายนอนรักษาอุโบสถอยู่ที่ยอดจอมปลวกใกล้มรรคาแถบปัจจันตชนบทแห่งหนึ่ง ชนทั้งหลายเดินผ่านไปมา ในหนทางใหญ่เห็นพระโพธิสัตว์เจ้าแล้วพากันบูชาด้วยเครื่องสักการะมีของหอมเป็นต้นแล้วหลีกไป ชาวปัจจันตชนบทไปพบแล้วคิดว่าคงจักเป็นนาคราชผู้มีมหิทธานุภาพ จึงจัดทำมณฑปขึ้นเบื้องบน ช่วยกันเกลี่ยทรายรอบบริเวณ แล้วบูชาด้วยสักการะมีของหอมเป็นต้นจำเดิมแต่นั้นมา มนุษย์ทั้งหลายก็เลื่อมใสในพระมหาสัตว์เจ้า ทำการบูชาปรารถนาบุตรบ้าง ปรารถนาธิดาบ้าง แม้พระมหาสัตว์เจ้าทรงรักษาอุโบสถกรรมถึงวันจาตุททสีและปัณณรสี ดิถี 14 ค่ำ 15 ค่ำ ก็มานอนอยู่เหนือจอมปลวก ต่อในวันปาฏิบทแรมค่ำหนึ่ง จึงกลับไปสู่นาคพิภพ เมื่อพระมหาสัตว์เจ้ารักษาอุโบสถอยู่อย่างนี้เวลาล่วงไปเนิ่นนาน อยู่มาวันหนึ่งนางสุมนาอัครมเหสีทูลถามพระมหาสัตว์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระองค์เสด็จไปยังมนุษยโลกเข้าอยู่รักษาอุโบสถศีลนั้น ความจริง มนุษยโลกน่ารังเกียจ มีภัยรอบด้าน หากว่าภัยจะพึงบังเกิดแก่พระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกหม่อมฉันจะพึงรู้ได้ด้วยนิมิตอย่างไร ขอพระองค์จงตรัสบอกนิมิตอย่างนั้นแก่พวกหม่อมฉันด้วยเถิด พระมหาสัตว์จึงนำนางสุมนาเทวีไปยังขอบสระมงคลโบกขรณีแล้วตรัสว่า ดูก่อนพระนางผู้เจริญ ถ้าหากใคร ๆ จักประหารทำให้เราลำบากไซร้ น้ำในสระโบกขรณีนี้จักขุ่นมัว ถ้าพญาครุฑจับเอาไปน้ำจักเดือดพลุ่งขึ้นมา ถ้าหมองูจับเอาไปน้ำจักมีสีแดงเหมือนโลหิต พระโพธิสัตว์ตรัสบอกนิมิต 3 ประการ แก่นางสุมนาเทวีอย่างนี้แล้ว ทรงอธิษฐานจาตุททสีอุโบสถเสด็จออกจากนาคพิภพไปมนุษยโลก นอนเหนือจอมปลวก ยังจอมปลวกให้งดงามด้วยรัศมีแห่งสรีรกาย แม้สรีรกายของพระมหาสัตว์นั้นก็ปรากฏขาวสะอาดผุดผาดดังพวงเงิน ท่อนพระเศียรเบื้องบนคล้ายคลุมไว้ด้วยผ้ากัมพลแดง 

อนึ่งในชาดกนี้สรีรกายของพระโพธิสัตว์มีขนาดเท่าศีรษะคันไถ ในภูริทัตตชาดก มีขนาดเท่าลำขา ในสังขปาลชาดก มีขนาดเท่าเรือโกลนลำหนึ่ง 

ในกาลครั้งนั้น มีมาณพชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่งไปเมืองตักกศิลาเรียนอาลัมภายนมนต์ ในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เดินทางกลับบ้านของตนโดยผ่านมรรคานั้นเห็นพระมหาสัตว์เจ้าแล้วคิดว่า เราจักจับงูนี้บังคับให้เล่นกีฬาในคามนิคมราชธานีทั้งหลายยังทรัพย์ให้เกิดขึ้น จึงหยิบทิพโอสถ ร่ายทิพมนต์ ไปยังสำนักของพระมหาสัตว์เจ้า จำเดิมแต่พระมหาสัตว์เจ้าสดับทิพมนต์แล้วเกิดอาการเหมือนซี่เหล็กร้อนยอนเข้าไปในพระกรรณทั้งสอง เบื้องพระเศียรปวดร้าวราวกะถูกเหล็กสว่านไช พระมหาสัตว์เจ้าทรงรำพึงว่านี่อย่างไรกันหนอจึงยกพระเศียรขึ้นจากวงภายในขนดแลไป ได้เห็นหมองูแล้วดำริว่าพิษของเรามากมาย ถ้าเราโกรธแล้วพ่นลมจมูกออกไป สรีระของหมองูนี้จักย่อยแหลกไปเหมือนกองเถ้า แต่เมื่อทำเช่นนั้นศีลของเราก็จักด่างพร้อย เราจักไม่แลดูหมองูนั้น ท้าวเธอจึงหลับพระเนตรทั้งสอง ทอดพระเศียรไว้ภายในขนด พราหมณ์หมองูเคี้ยวโอสถแล้วร่ายมนต์พ่นน้ำลาย ลงที่สรีรกายของพระมหาสัตว์ด้วยอานุภาพแห่งโอสถและมนต์ เรือนร่างของพระมหาสัตว์ในที่ซึ่งถูกน้ำลายรดแล้ว ๆ ปรากฏเป็นเสมือนพองบวมขึ้น ครั้งนั้นพราหมณ์หมองู จึงฉุดหางพระมหาสัตว์ลากลงมาให้นอนเหยียดยาว บีบตัวด้วยไม้กีบแพะทำให้ทุพพลภาพ จับศีรษะให้มั่นแล้วบีบเค้น พระมหาสัตว์จึงอ้าปากออก ทีนั้นพราหมณ์หมองูจึงพ่นน้ำลายเข้าไปในปากของพระมหาสัตว์ แล้วจัดการพ่นโอสถและมนต์ ทำลายพระทนต์จนหลุดถอน ปากของมหาสัตว์เต็มไปด้วยโลหิต พระมหาสัตว์สู้อดกลั้นทุกขเวทนาเห็นปานนี้ เพราะกลัวศีลของตัวจะแตกทำลาย ทรงหลับพระเนตรนิ่งมิได้ทำการเหลียวมองดู

พราหมณ์หมองูคิดว่าเราจักทํานาคราชให้ทุพพลภาพ จึงขึ้นเหยียบย่ำร่างกายของพระมหาสัตว์ตั้งแต่หางขึ้นไปคล้ายกับจะทำให้กระดูกแหลกละเอียดไป แล้วม้วนพับอย่างผืนผ้า ขยี้กระดูกให้ขยายเช่นอย่างกลายเส้นด้ายให้กระจาย จับหางทบทุบเช่นอย่างทุบผ้า สกลสรีรกายของพระมหาสัตว์แปดเปื้อนไปด้วยโลหิต พระมหาสัตว์นั้นสู้อดกลั้นมหาทุกขเวทนาไว้ ครั้นพราหมณ์หมองูรู้ว่าพระมหาสัตว์อ่อนกำลังลงแล้วจึงเอาเถาวัลย์มาถักทำเป็นกระโปรง ใส่พระมหาสัตว์ลงไปในกระโปรงนั้นแล้วนำไปสู่ปัจจันตคามให้เล่นท่ามกลางมหาชน พราหมณ์หมองูปรารถนาจะให้แสดงท่วงทีอย่างใด ๆ ในประเภทสีมีสีเขียวเป็นต้น และสัณฐานทรวดทรงกลมหรือสี่เหลี่ยมเป็นต้น หรือขนาดเล็กใหญ่เป็นต้น พระมหาสัตว์เจ้าก็กระทำท่วงทีนั้น ๆ ทุกอย่าง ฟ้อนรำทำพังพานได้ตั้งร้อยอย่าง พันอย่าง มหาชนดูแล้วชอบใจ ให้ทรัพย์แก่พราหมณ์เป็นอันมาก เพียงวันเดียวเท่านั้นได้ทรัพย์ตั้งพัน และเครื่องบริขารราคานับเป็นพัน แต่ชั้นแรกพราหมณ์หมองูคิดไว้ว่า เราได้ทรัพย์สักพันหนึ่งแล้วก็จักปล่อยไป แต่ครั้นได้ทรัพย์จำนวนเท่านั้นแล้วคิดเสียว่า ในปัจจันตคามแห่งเดียวเรายังได้ทรัพย์ถึงขนาดนี้ ในสำนักพระราชาและมหาอำมาตย์ คงจักได้ทรัพย์มากมาย จึงซื้อเกวียนเล่มหนึ่งกับยานสำหรับนั่งสบายเล่มหนึ่ง บรรทุกของลงในเกวียนแล้วนั่งบนยานน้อยพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก บังคับพระมหาสัตว์ให้เล่นในบ้านและนิคมเป็นต้นโดยลำดับไป แล้วคิดว่าเราจักให้นาคราชเล่นถวายในสำนักของพระเจ้าอุคคเสนแล้วก็จักปล่อยดังนี้ แล้วก็เดินทางต่อไป พราหมณ์หมองูฆ่ากบนำมาให้นาคราชกินเป็นอาหาร 

นาคราชรำพึงว่าพราหมณ์หมองูนี้ฆ่ากบอยู่บ่อย ๆ เพราะอาศัยเราเป็นเหตุ เราจักไม่บริโภคกบนั้น แล้วไม่ยอมบริโภค เมื่อพราหมณ์หมอดูรู้ดังนั้น ได้ให้ข้าวตอกเคล้าน้ำผึ้งแก่พระมหาสัตว์ พระมหาสัตว์คิดว่าถ้าหากเราจักถือเอาอาหารนี้ไซร้ เราคงจักตายภายในกระโปรงเป็นมั่นคง จึงมิได้บริโภคอาหารแม้เหล่านั้น พราหมณ์หมองูไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว ให้พระมหาสัตว์เล่นให้คนดู ที่ใกล้ประตูเมืองได้ทรัพย์สินอีกเป็นจำนวนมาก แม้พระราชาก็ตรัสสั่งให้พราหมณ์หมองูเข้าเฝ้าแล้วตรัสว่าเจ้าจงให้งูเล่นให้เราดูบ้าง เขาทูลสนองพระราชโองการว่าได้พะย่ะค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าจักให้เล่นถวายพระองค์ ในวันปัณณรสี พรุ่งนี้ 

พระราชาตรัสสั่งให้พนักงานเภรีตีกลองประกาศว่า พรุ่งนี้นาคราชจักฟ้อนรำที่หน้าชานชาลาหลวง มหาชนจงมาประชุมกันดูเถิด แล้วในวันรุ่งขึ้น ตรัสสั่งให้ประดับตกแต่งชานชาลาหลวง และตรัสสั่งให้พราหมณ์หมองูมาเฝ้า พราหมณ์หมองู นำพระมหาสัตว์มาด้วยกระโปรงแก้ว ตั้งกระโปรงไว้ที่พื้นลาดอันวิจิตรนั่งคอยอยู่ ฝ่ายพระราชาเสด็จลงจากปราสาทแวดล้อมด้วยหมู่มหาชนประทับนั่งเหนือพระราชอาสน์ พราหมณ์หมองูนำพระมหาสัตว์ออกมาแล้วให้ฟ้อนรำถวาย มหาชนพากันดีใจไม่อาจดำรงตนอยู่ได้ตามปกติ พากันปรบมือ โบกธงโบกผ้า แสดงความรื่นเริงนับด้วยหมื่นแสน ฝนรัตนะเจ็ดประการก็ตกลงมาตรงเบื้องบนพระโพธิสัตว์ เมื่อพระมหาสัตว์ถูกจับมานั้นครบหนึ่งเดือนเต็มบริบูรณ์ ตลอดเวลาเหล่านี้พระมหาสัตว์สู้ทนมิได้บริโภคอาหารเลย

คลิกเพื่ออ่าน

https://www.baanjomyut.com/library_3/extension-5/dragon_and_buddha/03.html

"พญานาคที่ปรากฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถา"

พญานาคมีปรากฎหลายแห่งทั้งในพระไตรปิฎกอันเป็นคัมภีร์สำคัญของพระพุทธศาสนาเถรวาทและอรรถกถาดังต่อไปนี้ ในวินัยปิฎก มหาวรรค (4/5/7) กล่าวถึงมุจจลินทนาคราช ความว่าครั้นล่วง 7 วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากควงไม้อชปาลนิโครธ เข้าไปยังต้นไม้มุจจลินท์ แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้มุจจลินท์ตลอด 7 วัน ครั้งนั้น เมฆใหญ่ในสมัยมิใช่ฤดูกาลตั้งขึ้นแล้ว ฝนตกพรำเจือด้วยลมหนาว ตลอด 7 วัน มุจจลินทนาคราชออกจากที่อยู่ของตน ได้แวดวงพระกายพระผู้มีพระภาคด้วยขนด 7 รอบ ได้แผ่พังพานใหญ่เหนือพระเศียรสถิตอยู่ด้วยหวังใจว่า ความหนาว ความร้อนอย่าเบียดเบียนพระผู้มีพระภาค สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน อย่าเบียดเบียนพระผู้มีพระภาค ครั้นล่วง 7 วัน มุจจลินทนาคราชรู้ว่า อากาศปลอดโปร่งปราศจากฝนแล้ว จึงคลายขนดจากพระกายของพระผู้มีพระภาค จำแลงรูปของตนเป็นเพศมาณพ ได้ยืนประคองอัญชลีถวายมนัสการพระผู้มีพระภาค ทางเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค 

ในอรรถกถาพระวินัย สมันตปาสาทิกา มหาวิภังควรรณนา หน้า 202 ในการอรรถาธิบายพระพุทธคุณบทว่า “ปุริสทมฺมสารถิ” พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นที่ทรงพระนามว่า ปุริสทมฺมสารถิ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่ายังบุรุษผู้พอจะฝึกได้ให้แล่นไป มีอธิบายไว้ว่าย่อมฝึก คือแนะนำ สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ก็ดี มนุษย์ผู้ชายก็ดี อมนุษย์ผู้ชายก็ดี ผู้ที่ยังมิได้ฝึก ควรเพื่อจะฝึกได้ ชื่อว่าปุริสทัมมา ในคำว่าปุริสทมฺมสารถินั้น แม้สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้มีอาทิอย่างนี้ คือ อปลาลนาคราช จุโฬทรนาคราช มโหทรนาคราช อัคคิสิขนาคราช ธูมสิขนาคราช อาลวาฬนาคราช ช้างชื่อธนบาลก์ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกแล้วคือทรงทำให้สิ้นพยศแล้วให้ตั้งอยู่ในสรณะและศีลทั้งหลาย 

อรรถกถาปาสราสิสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 1 ภาค 2 หน้าที่ 456 ได้กล่าวถึงพญานาคไว้ว่า เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราแล้ววางถาดทองไว้ริมฝั่งลงสรงน้ำเสด็จขึ้นแล้ว ทรงปั้นข้าวมธุปายาสจำนวน 49 ก้อน เสวยข้าวมธุปายาสแล้วทรงเสี่ยงทายว่า ถ้าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าวันนี้ ขอถาดจงลอยทวนกระแสน้ำดังนี้แล้วทรงเหวี่ยงถาดไป ถาดก็ลอยทวนกระแสน้ำแล้วหยุดหน่อยหนึ่ง เข้าไปสู่ภพของท้าวกาฬนาคราช วางทับถาดของพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ 

อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม 3 ภาค 1 หน้าที่ 115 

กล่าวไว้ทำนองเดียวกันว่า พระโพธิสัตว์ครั้นเสวยข้าวข้าวปายาสนั้นแล้ว จับถาดทองทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้ไซร้ ถาดของเราใบนี้จงลอยทวนกระแสน้ำไป ถ้าจักไม่ได้เป็นจงลอยไปตามกระแสน้ำ ครั้นทรงอธิษฐานแล้วได้ลอยถาดไป ถาดนั้นลอยตัดกระแสน้ำไปถึงกลางแม่น้ำ ณ ที่ตรงกลางแม่น้ำนั่นแลได้ลอยทวนกระแสน้ำไปสิ้นสถานที่ประมาณ 80 ศอก เปรียบเหมือนม้าซึ่งเพียบพร้อมด้วยฝีเท้าอันเร็วไวฉะนั้น แล้วจมลงที่น้ำวนแห่งหนึ่งจมลงไปถึงภพของกาลนาคราช กระทบถาดเครื่องบริโภคของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ มีเสียงดังกริ๊ก ๆ แล้วได้วางรองอยู่ใต้ถาดเหล่านั้น กาลนาคราชครั้นได้สดับเสียงนั้นแล้ว กล่าวว่า เมื่อวานนี้พระพุทธเจ้าทรงบังเกิดแล้วองค์หนึ่ง วันนี้บังเกิดอีกองค์หนึ่ง จึงได้ยืนกล่าวสดุดีด้วยบทหลายร้อยบท ได้ยินว่า เวลาที่มหาปฐพีงอกขึ้นเต็มท้องฟ้าประมาณหนึ่งโยชน์สามคาวุต ได้เป็นเสมือนวันนี้ หรือวันพรุ่งนี้แก่กาลนาคราชนั้น อายุของกาลนาคราชยืนยาวมากเพราะหากถือตามนี้หนึ่งพุทธันดรเท่ากับ 1 วันของพญานาค 

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม 1 ภาค 2 ตอน 1 หน้าที่ 119 บรรยายไว้ว่า เวลาเย็นทรงรับหญ้าที่นายโสตถิยะถวาย มีพระคุณอันพระยากาฬนาคราชชมเชยแล้ว เสด็จสู่ควงไม้โพธิ ปฏิญญาว่า"เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้ ตลอดเวลาที่จิตของเราจักยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายด้วยการไม่เข้าไปถือมั่น" 

อรรถกถารัฏฐปาลสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม 2 ภาค 2 หน้าที่ 48 ได้กล่าวถึงพญานาคเคยถวายทานแด่พระพุทธเจ้าว่า ครั้งนั้นกุฏุมพีทั้งสองนั้นทำการบำรุงดาบสเหล่านั้นจนตลอดชีวิต เมื่อเหล่าดาบสบริโภค แล้วอนุโมทนา รูปหนึ่งกล่าว พรรณนาคุณของภพท้าวสักกะ รูปหนึ่งพรรณนาคุณภพของนาคราช เจ้าแผ่นดิน

บรรดากุฏุมพีทั้งสอง คนหนึ่งปรารถนาภพท้าวสักกะ ก็บังเกิดเป็นท้าวสักกะ คนหนึ่งปรารถนาภพนาคก็เป็นนาคราชชื่อปาลิตะ ท้าวสักกะเห็นนาคนั้นมายังที่บำรุงของตน จึงถามว่า ท่านยังยินดียิ่งในกำเนิดนาคอยู่หรือ ปาลิตะนาคราชนั้นตอบว่า เราไม่ยินดีดอกท้าวสักกะบอกว่าถ้าอย่างนั้นท่านจงถวายทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระสิ แล้วทำความปรารถนาจะอยู่ในที่นี้ เราทั้งสองจะอยู่เป็นสุข นาคราชนิมนต์พระศาสดามาถวายมหาทาน 7 วันแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งมี ภิกษุ 100,000 รูป เป็นบริวาร เห็นสามเณรโอรสของพระปทุมุตตรทศพลชื่ออุปเรวตะ วันที่ 7 ถวายผ้าทิพย์แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขจึงปรารถนาตำแหน่งของสามเณร 

อรรถกถาปุณโณวาทสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค 2 หน้าที่449 พระพุทธเจ้าเคยเสด็จไปแม่น้ำชื่อ นิมมทา ได้เสด็จไปถึงฝั่งของแม่น้ำนั้น นิมมทานาคราชถวายการต้อนรับ พระศาสดาทูลเสด็จเข้าสู่ภพนาคได้กระทำสักการะพระรัตนตรัยแล้ว พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่นาคราชนั้นแล้ว ก็เสด็จออกจากภพนาค นาคราชนั้นกราบทูลขอว่าได้โปรดประทานสิ่งที่พึงบำเรอแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแสดงบทเจดีย์ รอยพระบาท ไว้ที่ฝั่งแม่น้ำนิมมทา รอยพระบาทนั้นเมื่อคลื่นซัดมาก็ถูกปิด เมื่อคลื่นเลยไปแล้วก็ถูกเปิด กลายเป็นรอยพระบาทที่ถึงสักการะอย่างใหญ่ เมื่อพระศาสดาทรงออกจากนั้นแล้วก็เสด็จถึงภูเขาสัจจพันธ์ ตรัสกับพระสัจจพันธ์ว่ามหาชนถูกเธอทำให้จมลงในทางอบาย เธอต้องอยู่ในที่นี้แหละ แก้ลัทธิของพวกคนเหล่านี้เสีย แล้วให้พวกเขาดำรงอยู่ในทางพระนิพพาน แม้ท่านพระสัจจพันธ์นั้น ก็ทูลชื่อสิ่งที่จะต้องบำรุง พระศาสดาก็ทรงแสดงรอยพระบาทไว้บนหลังแผ่นหินทึบเหมือนประทับตราไว้บนก้อนดินเหนียวสด ๆ ฉะนั้นต่อจากนั้นก็เสด็จไปถึงพระเชตวัน (เราอาจจะเคยได้ยินชื่อแม่น้ำว่าแม่น้ำนัมมทานที แต่ในอรรถกถาปปัญจสูทนี ฉบับภาษาบาลี หน้า 882 เขียนเป็น "นิมมทานที" อาจจะฟังแปลกหูไปบ้าง ผู้เรียบเรียงจึงใช้ตามที่ปรากฎในอรรถกถาฉบับบาลีและฉบับแปล ขอผู้รู้ใคร่ครวญพิจารณาว่า "นิมมทานที กับ "นัมมทานที" มีที่มาอย่างไร) 

ในรัตนสูตร ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม 1 ภาค 1 หน้าที่ 225 กล่าวถึงการต้อนรับของพญานาคว่าครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงทำเรือขนาน 2 ลำแล้วสร้างมณฑปประดับด้วยพวงดอกไม้ ปูลาดพุทธอาสน์ทำด้วยรัตนะล้วน ณ มณฑปนั้น ที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์นั้น แม้ภิกษุ 500 รูปก็ลงเรือนั่งกันตามสมควร พระราชาส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าลงน้ำประมาณแต่พระศอกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักอยู่กันริมฝั่งแม่น้ำคงคานี้นี่แหละจนกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จกลับมา แล้วก็เสด็จกลับ เทวดาเบื้องบนจนถึงอกนิษฐภพได้พากันทำการบูชานาคราชทั้งหลายมีกัมพลนาคและอัสสตรนาคเป็นต้น ซึ่งอาศัยอยู่ใต้แม่น้ำคงคา ก็พากันทำการบูชาด้วยการบูชาใหญ่อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปทางแม่น้ำคงคาสิ้นระยะทางไกลประมาณโยชน์หนึ่ง ก็เข้าเขตแดนของพวกเจ้าลิจฉวีกรุงเวสาลี 

ในอรรถกถาชาดก เอกนิบาต ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม 3 ภาค 1 หน้าที่ 58 กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเคยเป็นพญานาคว่า ในกาลนั้นพระมหาสัตว์ได้เป็นนาคราชนามว่า อตุละมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก พระยานาคนั้นได้ยินว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว มีหมู่ญาติห้อมล้อมแล้ว ออกจากนาคพิภพ ให้กระทำการบรรเลงถวายด้วยทิพยดนตรี แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์บริวารแสนโกฎิถวายผ้าคู่เฉพาะองค์แล้วตั้งอยู่ในสรณะ พระศาสดาแม้นั้นก็ทรงพยากรณ์เขาว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ชื่อเมขลา พระราชาทรงพระนามว่า สุทัตตะ เป็นพระราชบิดาพระราชมารดาทรงพระนามว่าสิริมา พระอัครสาวกสององค์คือสรณะและภาวิตัตตะ พระอุปราชนามว่าอุเทนะ พระอัครสาวิกาสององค์นามว่า โสณาและอุปโสณา และต้นนาคพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ 90 ศอก ประมาณพระชนมายุได้ 90,000 ปี ด้วยประการฉะนี้

ตรวจตนเองว่า กำลังเดินไปนรกหรือไม่

ตรวจตนเองว่า กำลังเดินไปเกิดในอบาย​ ทุคติ วินิบาต 
และนรกเพราะไม่ประพฤติธรรมไหม
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ความประพฤติไม่ เรียบร้อย คือ

ความไม่ประพฤติธรรม ทางกาย มี ๓ อย่าง!

(ความไม่ประพฤติธรรม) ทางวาจามี ๔ อย่าง!

(ความไม่ประพฤติธรรม) ทางใจ มี ๓ อย่าง!

ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
ความไม่ประพฤติ ธรรมทางกาย ๓ อย่าง เป็นไฉน?

(๑) บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ฆ่าสัตว์ คือ
เป็นคนเหี้ยมโหด 
มีมือเปื้อนเลือด
พอใจในการประหารและการฆ่า 
ไม่มีความละอาย
ไม่ถึงความเอ็นดูในสัตว์ทั้งปวง

(๒) เป็นผู้ถือเอาทรัพย์ที่เขามิได้ให้ คือ
ลักทรัพย์เป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของบุคคลอื่น
ที่อยู่ในบ้าน หรือที่อยู่ในป่า
ที่เจ้าของมิได้ให้ 
ซึ่งนับว่าเป็นขโมย

(๓) เป็นผู้ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย คือ
ถึงความสมสู่ในพวกหญิง
ที่มารดารักษา ที่บิดารักษา
ที่มารดาและบิดารักษา
ที่พี่ชายรักษา ที่พี่สาวรักษา
ที่ญาติรักษา ที่มีสามี
ที่อิสรชนหวงห้าม
ที่สุดแม้หญิงที่เขาคล้องแล้ว
ด้วยพวงมาลัย (หญิงที่เขาหมั้นไว้)

ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
ความประพฤติธรรมทางกาย ๓ อย่าง เป็นอย่างนี้แล!

ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ก็ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือความไม่ประพฤติ ธรรมทางวาจา ๔ อย่าง เป็นไฉน?

(๔) บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้กล่าวเท็จคือ
ไปในที่ประชุม 
หรือไปในหมู่ชน
หรือไปในท่ามกลางญาติ
หรือไปในท่ามกลางขุนนาง
หรือไปในท่ามกลางราชสกุล
หรือถูกนำไปเป็นพยาน ถูกถามว่า

แน่ะบุรุษผู้เจริญ! เชิญเถิด!
ท่านรู้เรื่องใด ก็จงบอก เรื่องนั้น

เขาเมื่อไม่รู้ก็บอกว่า รู้บ้าง!
เมื่อรู้บอกว่า ไม่รู้บ้าง!
เมื่อไม่เห็น ก็บอกว่าเห็นบ้าง!
เมื่อเห็นก็บอกว่า ไม่เห็นบ้าง!
เป็นผู้กล่าวคำเท็จทั้งรู้อยู่!

เพราะเหตุตนบ้าง
เพราะเหตุผู้อื่นบ้าง
เพราะเหตุเห็นแก่สิ่งเล็กน้อยบ้าง

(๕) เป็นผู้ส่อเสียด คือ
ได้ฟังข้างนี้แล้ว นำไปบอกข้างโน้น!
เพื่อทำลายพวกข้างนี้บ้าง!

หรือฟังข้างโน้นแล้ว นำไปบอกข้างนี้!
เพื่อทำลายพวกข้างโน้นบ้าง!

ยุพวกที่พร้อมเพรียงกันให้แตกกันไปบ้าง!
ส่งเสริมพวกที่แตกกันบ้าง!

ส่งเสริมพวกที่แตกกันแล้วบ้าง!

ชอบใจในคนที่แตกกันเป็นพวก!

ยินดีในความแตกกันเป็นพวก!

ชื่นชมในพวกที่แตกกัน
และกล่าววาจาที่ทำให้แตกกันเป็นพวก!

(๖) เป็นผู้มีวาจาหยาบ คือ
กล่าววาจาที่เป็นโทษหยาบ
อันเผ็ดร้อนแก่ผู้อื่น
อันขัดใจผู้อื่น
อันใกล้ต่อความโกรธ
ไม่เป็นไปเพื่อความสงบจิต

(๗) เป็นผู้กล่าวคำเพ้อเจ้อ คือ
พูดในเวลาไม่ควรพูด
พูดเรื่องที่ไม่เป็นจริง
พูดไม่เป็นประโยชน์
พูดไม่เป็นธรรม
พูดไม่เป็นวินัย
กล่าววาจา ไม่มีหลักฐาน
ไม่มีที่อ้าง ไม่มีที่สุด
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 
โดยกาลไม่สมควร

ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ​ ความไม่ประพฤติธรรมทางวาจา ๔ อย่างเป็นอย่างนี้แล!

ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ก็ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
ความไม่ประพฤติธรรมทางใจ ๓ อย่าง เป็นไฉน?

(๘) บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความโลภมาก คือ
เพ่งเล็งทรัพย์อันเป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของผู้อื่นว่า

ขอของผู้อื่นพึงเป็นของเราเถิด ดังนี้!

(๙) เป็นผู้มีจิตพยาบาท คือ
มีความดำริในใจอันชั่วช้าว่า

ขอสัตว์เหล่านี้
จงถูกฆ่าบ้าง
จงถูกทำลายบ้าง
จงขาดสูญบ้าง
อย่าได้มีแล้วบ้าง ดังนี้!

(๑๐) เป็นผู้มีความเห็นผิด คือ
มีความเห็นวิปริตว่า

ผลแห่งทานที่ให้แล้ว ไม่มี

ผลแห่งการบูชา ไม่มี

ผลแห่งการเซ่นสรวง ไม่มี

ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่ว ไม่มี

โลกนี้ ไม่มี โลกหน้า ไม่มี

มารดา ไม่มี บิดา ไม่มี

สัตว์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาติกะ ไม่มี

สมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย!
ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ
ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัด
ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง 
แล้วสั่งสอนให้ผู้อื่นรู้ 
ไม่มีอยู่ในโลก ดังนี้!

ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
ความไม่ประพฤติธรรมทางใจ ๓ อย่าง เป็นอย่างนี้แล!

ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
สัตว์บางพวกในโลกนี้
เข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต และนรก
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เพราะเหตุประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
ไม่ประพฤติธรรม อย่างนี้แล!

พระไตรปิฎก(ฉบับหลวง)
เล่ม ๑๒ หน้า ๓๖๕
[๔๘๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

การแก้อาถรรพ์


เมื่อกี้ท่านท้าวเวสสุวัณให้มาบอกว่า  ถ้าลูกหลานคนใดไปที่วัดให้เอาขนมปังไปคนละปอนด์  แล้วไปวางที่หน้าโบสถ์เป็นการแก้วิชาและอาถรรพ์  ถามท่านว่า "ทำที่อื่นไม่ได้หรือ?"  ท่านท้าวเวสสุวัณก็บอกว่า  เขาทำที่วัดแก้ที่อื่นมันก็ไม่ได้

ไอ้วิชาและอาถรรพ์นี่เขาทำให้ซวย  ให้ทุกคนหากินยาก  มีความเป็นอยู่ยาก  มีการป่วยไข้ไม่สบาย  ตัวตนจริง ๆ ก็คือฉัน เขาต้องการให้ตาย  นี่บังเอิญไม่ตาย  ถ้าตายจะมีความสุขมาก  

ก็รวมความว่าเขาทำมามาก  เขาทำมาจริง ๆ ตั้งแต่ปี 17  แล้วก็ทำเพิ่มเติมทุกปี  ทุกครั้งที่มีงานวัด  พวกนักไสยศาสตร์เขาไปทุกเที่ยว  ฉันรู้หมดทำที่ไหนก็ทราบ  แต่ว่าที่ไม่พูดเพราะอะไร  เพราะเกรงว่าพวกเราบางคนจะเข้าตารางไป  เอาแน่  เพียงแค่ได้ยินข่าวยังเอาเลย  ไม่งั้นก็ขยี้ตายไปเลย  

เพราะเห็นว่าอันตรายมันไม่มีมาก  และต่อมาเมื่อวานซืนนี้  มีเทวดาองค์หนึ่งเป็นเทวดาของท้าวเวสสุวัณ  ฉันก็นอนภาวนารอเวลารับแขก  ก่อนจะรับแขกไม่รู้จะทำอะไรก็นอนภาวนาเรื่อย ๆ ไป  เสียงท่านพูดดัง ๆ ว่า  "นี่...เอาขนมปังไปวางที่หน้าโบสถ์สักปอนด์ไม่ได้หรือ?"

ก็นึกว่าเสียงใครวะ  เราอยู่คนเดียวนี่  แล้วท่านก็พูดอีก "นี่..เอาขนมปังไปวางที่หน้าโบสถ์ 1 ปอนด์ไม่ได้หรือ?"  พอเหลียวไปดูก็เจอเทวดาลูกศิษย์ของท้าวเวสสุวัณ  บอกว่า  "ผมอยู่ป้องกันอันตรายที่วัดนี้ประมาณ 1,000 องค์เศษ "

ท่านก็เลยบอกว่า  "วิชาก็ดี  อาถรรพ์ก็ดี  เขาทำมามากแล้ว  เขาต้องการอย่างน้อยที่สุดให้ท่านขยับตัวไม่ได้  คล้ายคนเป็นอัมพาต  แล้วก็ประการที่ 2 เขาต้องการให้ตาย  แล้วท่านก็ให้ดูทุกจุดว่าวิชาก็ดี  อาถรรพ์ก็ดี  เขาทำอะไรบ้าง

ก็เลยบอกว่า "ทั้งหมดนี่ทราบทุกครั้งที่ทำ"  ท่านก็เลยบอกว่า "ท่านเองก็ทราบว่าตัวท่านไม่เป็นไร  มันเข้าไม่ได้  และลูกศิษย์ของท่านคนที่เคารพยันต์เกราะเพชรจริง ๆ มันเข้าไม่ได้เช่นกัน  

ท่านอธิบายต่อไปว่า  "สมมุติเป็นไฟกองใหญ่  ถ้าเขาเอาท่านไปเผาได้ท่านก็ไหม้แต่เผอิญพวกท่านไม่ได้เข้ากองไฟ  พวกผมกันไว้  และเปลวไฟที่แลบออกมาก็ไม่ถึงตัวท่าน  แต่อย่าลืมว่าสถานที่เดียวกันไอร้อนมันมีละออง  คือไอร้อนทีละน้อย ๆ มันก็สะสมในตัว  อย่างนี้ก็ทำให้การคล่องตัวไม่มี  อาการที่ป่วยไข้ของท่านก็ด้วยเหตุนี้เช่นกัน"

นี่ละอองนะไม่ใช่เนื้อแท้  ปีนี้ลูกหลานทุกคนที่มีความเป็นอยู่ไม่ปกติ  ก็เป็นด้วยเหตุนี้เหมือนกัน  เป็นละออง

เมื่อกี้ท่านท้าวเวสสุวัณก็เลยบอกตอนบวงสรวง  บอกว่า  "ให้บอกลูกหลานทุกคนถ้าไปวัดเอาขนมปัง 1 ปอนด์วางที่หน้าโบสถ์"  ตอนที่เทวดามาบอกท่านย้ำว่าหน้าโบสถ์นะไม่ใช่ข้างโบสถ์  ก็เลยบอกว่าที่หน้าโบสถ์วางบนพื้นสูงด้านหน้าได้ไหม?  ท่านบอกว่า "นั่นมันบนโบสถ์"  ดุด้วยนะ  เขาว่าเทวดาไม่ดุ  ไม่จริง  

แต่เทวดาชั้นจาตุมหาราชเสียงท่านห้าวหาญ  ไม่ใช่ดุนะ  เลยถามว่า "ตรงไหนล่ะ?" ท่านบอก "ตรงไหนก็ได้ไม่ใช่ข้างโบสถ์"  ก็ถามว่า  "เวลาวางต้องทำแท่นต้องทำที่ไหม?"  ท่านบอก "ผมไม่ได้บอกนี่"

ถามว่าเวลาวางทำยังไง  ท่านบอกว่าเวลาวางทุกคนให้ว่าตามนี้นะ  "วิชาและอาถรรพ์จงพินาศไป"  เท่านี้...ถ้าเราเคารพในท่านก็จุดธูปบอกเสียหน่อยนะ  ท่านบอกผมว่าหลังจากนั้นต่อไปเป็นหน้าที่ของผม  

ต่อมาเวลา 18:00 น. ก็นอนทำกรรมฐานอยู่   ฉันหากินนอนมากกว่านั่ง  ก็เห็นลูกศิษย์ของท้าวเวสสุวัณท่านมา  ท้าวเวสสุวัณท่านบอกว่าเวลาที่เขาจะทำใช้เวลานาน  ลูกน้องผมและลูกน้องท้าวมหาราชทั้งหมด 1,000 องค์เศษคุมวัดอยู่  ท่านรอโอกาสนี้มานานแล้ว  รอโอกาสที่อกุศลกรรมเปิดทางให้"

พระราชพรหมยาน  ธัมมวิโมกข์ (2560),439,19-20

(ภาพ ขนมปังที่คนมาแก้อารรพ์ เมื่อหลายปีก่อน ที่หน้าโบสถ์วัดท่าซุง)
Z

วิธีเจริญพุทธานุสติ

วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 248    
วิธีเจริญพุทธานุสติ

ในอนุสติ ๑๐ มีประการดังกล่าวมานี้ พระโยคาวจรผู้กอปรด้วยความเลื่อมใสมั่น ใคร่จะเจริญพุทธานุสสติเป็นอันดับแรก พึงเป็นผู้ไปในที่ลับ (คน) เร้นอยู่ในเสนาสนะอันสมควรแล้ว ระลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า (โดยอนุสสรณปาฐะ) 

อย่างนี้ว่า อิติปิ  โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควา

(ต่อไป) นี้เป็นนัยในการระลึกในพระพุทธคุณเหล่านั้น (คือ) ระลึก (ประกอบ อิติปิ ไว้ทุกบท) ว่า โส ภควา อิติปิ  อรหํ (แม้เพราะเหตุนี้พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์) ฯ เป ฯ โส ภควา อิติปิ ภควา (แม้เพราะเหตุนี้  พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระภควา) (คำ อิติปิ นั้น) มีอธิบายว่า "เพราะเหตุนี้ๆ"  

แก้อรรถบท อรหํ ๕ นัย

บัณฑิตย่อมระลึกว่า ในบทเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นได้พระนามว่า อรหํ เพราะเหตุ (๕ นัย) นี้ก่อน คือ

อารกตฺตา เพราะความเป็นอารกะ (ผู้ไกล) (๑)

อรีนํ อรานญฺจ หตตฺตา เพราะความที่ทรงกำจัดอริ (ข้าศึก) ทั้งหลายเสียได้ (๑)

และเพราะทรงทำลายอระ (ซี่กำ) ทั้งหลายเสียได้ (๑)

ปจฺจยาทีนํ อรหตฺตา เพราะความเป็นอรหะ (ผู้ควร) ทักขิณาวัตถุทั้งหลายมีปัจจัย ๔ เป็นต้น (๑)

ปาปกรเณ รหาภาวา เพราะความไม่มีรหะ (ที่ลับ) ในอันที่จะทำบาป (๑) ฯลฯ 

เมื่อพระโยคาวจรนั้น ระลึกถึงพระพุทธคุณว่า "เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นพระอรหํ ฯลฯ เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นพระภควา " ดังนี้อยู่ 

ในสมัยนั้น จิตของเธอย่อมไม่เป็นจิตที่ราคะกลุ้มรุม ไม่เป็นจิตที่โทสะกลุ้มรุม ไม่เป็นจิตที่โมหะกลุ้มรุมเลยทีเดียว ในสมัยนั้น จิตของเธอย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงแน่ว ปรารภ (คุณ) พระตถาคตเจ้า เมื่อเธอข่มนิวรณ์ได้โดยที่ไม่มีปริยุฏฐานกิเลสมีราคะเป็นอาทิอย่างนั้นชื่อว่ามีจิตดำเนินไปตรง เพราะความที่มีจิตมุ่งต่อพระกรรมฐานอยู่ ฉะนี้ 

วิตกและวิจารอันโน้มไปในพระพุทธคุณย่อมเป็นไป เมื่อตรึกเมื่อตรองพระพุทธคุณร่ำไปๆ ปีติย่อมเกิดขึ้นความกระวนกระวายกายจิตของเธอผู้มีใจกอปร  ด้วยปีติย่อมระงับ โดยปัสสัทธิอันมีปีติเป็นปทัฏฐาน สุขทั้งทางกายทั้งทางจิต ย่อมเกิดแก่เธอผู้มีความกระวนกระวายอันระงับแล้ว จิตของเธอผู้มีสุข เป็นจิตมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ ย่อมเป็นสมาธิ องค์ฌานย่อมเกิดขึ้นโดยลำดับในขณะเดียว ดังกล่าวมาฉะนี้ แต่เพราะความที่พระพุทธคุณทั้งหลายเป็นอารมณ์ลึกซึ้ง หรือเพราะความที่จิตน้อมไปในการระลึกถึงพระคุณมีประการต่างๆ ฌานนี้จึงเป็นฌานที่ไม่ถึงอัปปนา ถึงเพียงอุปจารเท่านั้น (และ) ฌานนี้ก็ถึงซึ่งความนับ (คือได้ชื่อ) ว่าพุทธานุสสตินั่นเอง

เพราะเป็นฌานที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจการระลึกถึงพระพุทธคุณ  ฯลฯ

"จงอย่าหมิ่นบุคคล แค่เพียงดูภายนอก ที่อยู่ในเพศฆราวาส พลาดพลั้ง อาจจะยังให้ลงสู่มหานรก โดยไม่รู้ตัว!! "

"จงอย่าตัดสิน หรือหมิ่นบุคคล แค่เพียงดูแต่เครื่องแบบภายนอก ที่อยู่ในเพศฆราวาส พลาดพลั้ง อาจจะยังให้ลงสู่มหานรก โดยไม่รู้ตัว!! "

....คำเทศน์สอน ของท่านหลวงพ่อปาน โสนันโท องค์พระสุปฏิปัณโณพระอริยสงฆเจ้า องค์ผู้เป็นองค์ครูบาอาจารย์ แห่งท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

"....อย่าลืมนะว่า อันอภิญญาโลกียวิสัยนั้น ยังสามารถมีผัว มีเมียได้นะ ไม่ใช่ว่านักเจริญพระกรรมฐาน จะต้องเลิกจากผัว จะต้องเลิกจากเมีย มันไม่ใช่อย่างนั้น!!...ถ้าเรื่องของศีลเขาไม่ขาดละก็ เขาทำของเขาได้ นับแต่พระโสดาบัน สกิทาคามี เขายังครองเรือนได้ ยังมีลูกเต้าได้.."

"....แต่สำหรับพระอนาคามีเท่านั้นแหละ ถึงแม้จะอยู่บ้าน ก็อยู่อย่างไม่มีความหมาย เพราะความรู้สึกทางเพศไม่มี นี่ส่วนที่เป็นฆราวาส อย่าว่าแต่โลกียเลย แม้แต่พวกที่ได้โลกุตตระ คือเป็นพระอริยเจ้า ยังอยู่ได้ ถึงพระอนาคามี..."

"....นี่บรรดาลูกหลานทั้งหลายที่ฟัง อาจจะสงสัยว่า คนที่ได้ฌานโลกียะ ได้กสิณ ได้อภิญญาแล้ว ทำไมจะมามีลูกมีเมียเป็นฆราวาสอยู่...ทำไมไม่ออกบวช....เรื่องของการบวชนั้นเป็นเรื่องของสมณวิสัย มันคนละเรื่องกัน..ฉันว่ามีความจำเป็นน้อย คนที่เป็นชาวบ้านจะทำความดีนี่ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นพระ!! เครื่องแบบชาวบ้านก็ทำความดีได้!!...แต่งกายแบบชาวบ้านก็สามารถเป็นพระอริยเจ้าได้!! อย่าว่าแต่แค่ฌานโลกียวิสัยเลย...ที่ใส่เครื่องแบบฆราวาสที่เป็นอริยเจ้าก็มีอยู่ถมเถไป..."

".......สมัยเมื่อพระพุทธองค์ยังมีพระชนมชีพอยู่ พระภิกษุไปเจริญพระกรรมฐานอยู่ในป่าทึบ มีความอดอยาก บางวันท่านคิดว่า พรุ่งนี้ถ้าเราได้กินข้าวต้มสักนิดก็จะดี...ก็ปรากฏว่ามีโยมผู้หญิงคนหนึ่งได้นำข้าวต้มมาถวายแต่เช้า...บางวันท่านคิดว่า...พรุ่งนี้มีอะไรสักหน่อยหนึ่ง ที่ท่านชอบได้ขบฉันสักหน่อยก็จะดี ปรากฏว่าโยมสตรีนั้น ก็นำมาถวายให้แต่เช้า!!...พระท่านก็สงสัย ถามโยมแก แกก็ไม่ตอบ.."

".......ต่อมาเมื่อกลับมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ก็ได้ถามข้อสงสัยกับพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ ได้ทรงตอบว่า...นางผู้นั้นได้สำเร็จ"อนาคามีผล"..เป็นพระอริยบุคคลแล้วและก็เป็นขั้นปฏิสัมภิทาญาณ เสียด้วย (จึงได้เจโตปริยญาณ รู้ใจภิกษุรูปนั้น)...."

".....นี่จะว่าพระจะดีกว่าฆราวาสเสมอไปไม่แน่นักนะ!!...นั่นพระยังเป็นโลกียชน แล้วคนๆนั้นเขาเป็นพระอริยเจ้าขั้น"อนาคามีบุคคล"เชียวละ พระทันเขาที่ไหน"

หลวงพ่อปาน โสนันโท
วัดบางนมโค
ที่มา คัดลอกจาก 
Facebook ตามหลวงพ่อไปนิพพาน

26 ธันวาคม 2563

มาร

ไอ้ตัวมารมันเข้ามาตัดทอนความดี เราคิดอยากจะด่าพระ อยากจะด่าเจ้า อยากจะด่าพระพุทธเจ้า อันนี้มี เรารู้สึกตัวก็ข่มใจ ไอ้นี่มารเข้าแทรกจิตนะ เข้าใจไหม "มาร แปลว่า ผู้ฆ่า" ที่เขาเรียก "กิเลสมาร" คืออารมณ์ชั่ว  

อารมณ์ที่เป็นอกุศลเข้ามันเศร้าหมอง ที่เราจะชนะมัน มันก็หาทางแกล้งไม่ให้ชนะมัน ถึงเวลาเผลออารมณ์มันเป็นอย่างนั้นนะ ใช่ไหม ค่อย ๆ ข่มมันนะ นี่แสดงว่าจิตละเอียดลง  

ถ้ามาถึงจุดนี้แสดงว่าจิตละเอียด เราจะเริ่มชนะมัน มันจะเอาลงนรกไม่ได้ มาหาทางแกล้งให้เราเผลอ นึกด่าพระ อยากจะด่าเจ้า บางทีคิดอยากจะด่าพระพุทธเจ้า ปัดโธ่ ! ฉันเคยเป็นมา ก็เป็นกันหลายคน  

จะสังเกตได้ว่าเวลาที่เราจะอารมณ์ใจละเอียดขึ้น จะดีขึ้นน่ะ โดยเฉพาะชนะจิตได้ หมายความว่าอารมณ์มันสูงไปมันดึงลงไม่ได้แล้ว คือถึงที่สุดเขาแล้ว

ตามปกติมารแปลว่าผู้ฆ่า มีกิเลสมาร และเทวปุตตมาร ขันธมาร คือร่างกาย เวลาที่เราจะทำความดีให้เกิดขึ้นมันจะป่วยไข้ไม่สบาย บีบ ปวดโน่นเจ็บนี่ มันหาทางกลั่นแกล้งเรื่อยนี่  

พระท่านบอกว่าอกุศลเก่า ตัวอกุศลเดิม ไอ้ตัวอกุศลนี่มันจะดึงเราลงนรกให้ได้ ไอ้ความดีนี่เขาจะต้องดึงขึ้นสูงให้ได้ ก็แย่งกัน  

พอเข้าช่วงกลางมันทำอะไรไม่ได้แล้วนี่ เหลืออย่างเดียวหาทางด่าพระถึงจะลงนรกได้ ในเมื่อเรารู้สึกขึ้นมา เราก็ขออภัยพระ ใช่ไหม หลวงพ่อเคยเป็น เอา 3 ปี ทั้ง ๆ ที่เป็นพระนี่แหละ ก็นึกว่าเป็นแต่ฉัน ที่ไหนได้...บานเลย (หัวเราะ)  

ก็เลยจับได้ว่า ถ้าอารมณ์นี้มาก็ถือว่า ถ้าตัดอารมณ์นี้ได้แล้ว ถ้าพ้นไปแล้วมันต้องทนนะ เรารู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อไรก็ขอขมาพระเมื่อนั้น เมื่อเวลามันสิงเข้าไปได้เราก็เคลิ้มไปตามมันเป็นเรื่องของมัน  

แต่ว่าถ้าเราชนะไอ้ตัวนี้ได้แล้วมันดึงเราลงนรกไม่ได้แน่ นี่แหละมันช่วงสุดท้ายของมัน ถือว่ามันเป็นอันดับสุดท้าย เขาเรียกอะไร...เทกระเป๋า สงครามเทกระเป๋าใช่ไหม

พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2538),166,31

(ภาพนี้ หลวงพ่อบวงสรวงที่หัวเรือ จามะเทวี ที่จะใช้ในการแจกสิ่งของทางน้ำ
ของงานศูนย์สงเคราะห์ฯ)

ตำแหน่งจุดระเบิดของบิ๊กแบงก์นั้น ความจริงมันเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในเอกภพ

นักวิทยาศาสตร์บนโลกมนุษย์มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "ตำแหน่งจุดระเบิดของบิ๊กแบงก์
นั้น ความจริงมันเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในเอกภพภายในเศษเสี้ยวของวินาทีต่างหาก ไม่ใช่
มีจุดกำเนิดจากจุดๆ เดียวเท่านั้น" ?....

มนุษย์เราอาศัยอยู่ในเอกภพ 4 มิติลักษณะเป็น "ไฮเปอร์สเฟียร์" (hyperspsere) ไม่มีจุด
ศูนย์กลาง ไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรอยู่นอกขอบเขตนั้น...ทำไมแกแลคซี่จึงดูเหมือนกับจะวิ่งหนีห่างออกจากเรา?.....

เป็นเพราะไฮเปอร์สเฟียร์มันกำลังขยายตัวออก เสมือนลูกโป่ง 4 มิติ กำลังถูกเป่าให้พองลม ก่อให้เกิดอากาศเพิ่มมากชึ้นในทั่วทุกทิศทางภายในเอกภพ บรรดาแกแลคซี่ต่างๆ ได้
รวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ และกำลังเคลื่อนตัวออกไปตามการขยายตัวของไฮเปอร์สเฟียร์
หมายถึงลูกทรงกลม 4 มิติ 

ถ้าในแกแลคซี่ต่างๆ ต่างก็มีนักดาราศาสตร์อาศัยอยู่ และแสงสว่างจากแกแลคซี่ต่างก็
ติดอยู่ในความโค้งของผิวของไฮเปอร์สเฟียร์เมื่อมีการขยายตัว นักดาราศาสตร์ในแต่ละ
แกแลคซี่ก็จะเห็นว่าแกแลคซี่อื่นๆ กำลังเคลื่อนหนีห่างออกไปจากแกแลคซี่ของตน

แกแลคซี่อันไหนอยู่ไกลมาก ก็จะเห็นว่ามันกำลังเคลื่อนที่ห่างออกไปเร็วมาก..แต่ความจริงแล้ว แกแลคซี่ไม่ได้เคลื่อนที่หากแต่เป็นตัวไฮเปอร์สเฟียร์ต่างหากที่กำลังขยายตัว
ใหญ่ขึ้น และพาเอาแกแลคซี่ติดไปด้วย...

และแล้วก็มาถึงคำถามที่ว่า..เราจะบอกตำแหน่งในอวกาศปัจจุบันนี้ได้ไหมว่า..บริเวณใด
ที่เป็นบริเวณต้นกำเนิดของบิ๊กแบงก์?..เราก็จะได้คำตอบที่ถูกต้องว่า..ตำแหน่งจุดระเบิด
ของบิ๊กแบงก์นั้นอยู่ที่ทุกหนทุกแห่งในเอกภพ"..

ถ้าในเอกภพมีปริมาณมวลสารไม่มากพอที่จะยับยั้งการขยายตัวของเอกภพลงได้ การ
ขยายตัวของเอกภพก็จะเป็นชั่วนิรันดร์ เอกภพก็จะมีสภาพเป็น "ทรงกลมเปิด" (open
spsere) ความโค้งของอวกาศก็จะมีสภาพเหมือน "อานม้า หรือ อานรถจักรยาน" คือมี
พื้นที่ผิวความโค้งแอ่นขึ้นและแอ่นลงพุ่งไปสู่จุดอนันต์ในมิติที่ 3 ทั้งด้านแอ่นขึ้นและแอ่น
ลง..

ด้วยเหตุนี้เองจักรวาลจึงต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตที่มีความตระหนักรู้สูงในมิติต่างๆ ขับเคลื่อน
พลังงานความรักและแสงสว่างเพื่อหมุนกงล้อของจักรวาลให้ไม่มีที่สิ้นสุดชั่วกัลปวสาน

และจักรวาลประกอบไปด้วยมิติทางกายภาพย่อยๆมากมาย 356 มิติ และมิติต่างๆ จะสอด
ประสานเข้าด้วยกัน คลื่นพลังงานของระดับการสั่นสะเทือนจะปนคลุกเคล้ากับคลื่นพลัง
งานซึ่งจะไหลอยู่รอบตัวเรา ดูเหมือนกับว่าเอาของเหลวและแก๊สไปใส่ไว้ในขวดเพียงครึ่งขวด

ปิดฝาให้สนิทของเหลวเปรียบเหมือนแรงสั่นสะเทือนระดับกายหยาบจะอยู่ด้านล่าง ส่วน
แก๊สเปรียบเหมือนแรงสั่นสะเทือนระดับกายละเอียด ไม่เพียงแต่อยู่ด้านบนเท่านั้น แต่
มันยังแทรกอยู่ในอะตอมของๆ เหลวในด้านล่างขวดด้วย

ในทำนองเดียวกัน มิติของพลังงานที่ละเอียดกว่าของจิตวิญญาณจะอยู่เหนือและปนอยู่
ภายในมิติพลังงานของกายหยาบ พลังของมิติกายหยาบจะไม่เข้าไปปนในมิติของจิตวิญญาณที่อยู่สูงกว่าละเอียดกว่า แต่พลังงานของจิตวิญญาณจะเข้าแทรกซึมและมี
อิทธิพลต่อกายหยาบ ดังนั้นเท่ากับการ "นั่งสมาธิจิต" จึงเป็นสิ่งที่ช่วยทักทอประสาน
สมาธิจิตของเราให้เข้ากับพลังงาน "คอสมิค" จากจักรวาล...

ข้อความต่างมิติผ่านผู้นำสาส์น...

แสงสว่าง มองการไกล...ผู้รับสาส์น....

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...