เมื่อหลายพันปีมาแล้วในอียิปต์ "ความลับเหนือโลก” ของ
“กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ” ได้จารึกอยู่ใน “จารึกคัมภีร์มรกต” ถือเป็นสิ่งต้องห้ามมาช้านาน ด้วยพวกชนชั้นปกครองส่วนใหญ่ไม่อยากให้แนวคิดในจารึกนี้เผยแพร่ออกไป เพราะจะทำให้ยากแก่การปกครองครอบงำความคิดของ
มหาชน นับตั้งแต่แอตแลนติสมาถึงพระของอียิปต์โบราณมาจนถึงวัดในยุคกลาง พวกผู้นำศาสนาต่างสั่งห้ามไม่ให้พูดถึงจารึกคัมภีร์มรกตเลย ใครหลุดปากออกมาแม้แต่คำ
เดียวก็จะถูกข้อหาว่าเป็นพวกนอกรีตหรือแม่มดทันที และโทษก็คือแขวนคอหรือตัดหัว คัมภีร์และกฏนี้ บรรจุความลับจักรวาลอะไรไว้
“กฎแห่งจักรวาล 7 ข้อ” ก็คือ
กฎแห่งมโนนิยม
กฎแห่งจักรวาลข้อแรกบอกเราว่า ทุกสิ่งก็คือ"จิต" ดังนั้น ขั้นตอนของการเปลี่ยนสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ก็มาจากพลังทางจิตของเรานั่นเอง เพราะจักรวาลเป็นเรื่องที่อยู่ภายใน เราจึงสามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตเราได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้น เราจึงต้องใส่ใจจริงจังที่จะสังเกตความฝันของเรา เพราะบ่อยครั้งความฝันก็บอกถึงสิ่งที่เราขาดไปในชีวิต และจะบอกใบ้ให้รู้วิธีที่จะเติมเต็มประสบการณ์ของเราให้เข้มข้นยิ่งขึ้น บางครั้งความฝันก็เป็นพื้นฐานของสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้นจริง ในชีวิตที่เราปรารถนา จักรวาลนั้นอยู่ภายในตัวเรานี่เอง! เพราะ
“ภายในเป็นอย่างไร ภายนอกก็เป็นอย่างนั้น”
กฎแห่งการสั่นสะเทือน
กฎจักรวาลข้อที่สองช่วยให้เราเข้าใจว่า เราเป็นยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตที่ผูกติดอยู่กับ"เวลาและสถานที่"ที่เราอยู่ เรามายังที่นี้เพื่อใช้ชีวิตและเรียนรู้บทเรียนอันทรงคุณค่า แต่ประสบการณ์ชีวิตนั้นมีหลายด้าน เนื่องจากเรามีชีวิตสามด้าน นั่นคือ
"ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ" การจะมีชีวิตที่มีสุขและสมดุลได้ เราจะต้องทะนุบำรุงชีวิตทั้งสามด้านนั้นให้สอดประสานกันเสมือนกับวงดนตรีประสานเสียง ทั้งสามด้านจะต้องทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน
ทุกสิ่งล้วนแต่สั่นสะเทือน กฎจักรวาลข้อที่สองนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่า การสั่นสะเทือนนั้นจำเป็นต่อชีวิต ถ้าเราปล่อยให้
"การสั่นสะเทือนลดต่ำ"เกินไป เราจะล้มป่วยหรือซึมเศร้าหดหู่ และร่างกายเราจะทุกข์ทรมาน "ความรักเป็นวิธีที่จะช่วยรักษาการสั่นสะเทือนให้อยู่ในระดับสูง"
ความรักเป็นผลมาจากการรู้คุณค่าและซาบซึ้งในตัวบุคคลอื่น
"เมื่อเรารู้สึกรัก เราจะเชื่อมโยงสัมพันธ์กับโลกและทุกสิ่งทุกอย่างในโลก"
เราสะท้อนรับเอาแรงสั่นสะเทือนจากสรรพสิ่ง เมื่อเราเรียนรู้บทเรียนเหล่านี้และส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อๆ ไป เราจะยกระดับการสั่นสะเทือนของมนุษยชาติด้วยการเชื่อมโยงสัมพันธ์กับคนอื่นๆ และด้วยความเข้าใจในโลก
กฎแห่งขั้วตรงข้าม
กฎแห่งจักรวาลข้อนี้สอนเราว่า ทุกสิ่งนั้นมีขั้วตรงข้ามกัน แต่
"ขั้วตรงข้ามนั้นแท้จริงก็เป็นเพียงสิ่งเดียวกันที่ “ต่างระดับกัน”" นั่นเอง และรอคอยจะเชื่อมประสาน
กัน เมื่อเราเข้าใจตรงนี้ เราก็จะสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นและรับมือกับสถาน
การณ์ในชีวิตได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเข้าใจกฎแห่งขั้วตรงข้ามแล้ว เราก็จะสามารถหาหนทางเพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการได้ และเทคนิคนี้ใช้ได้ดีโดยเฉพาะเมื่อเราต้องรับมือกับอารมณ์ต่างๆ ความเศร้าสามารถเปลี่ยนเป็นความสุข ความเกลียด
เปลี่ยนเป็นความรัก และความเจ็บปวดก็เปลี่ยนเป็นความสุขได้
กฎแห่งจังหวะ
กฎแห่งจังหวะเตือนให้เราระลึกว่า ขณะที่ลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งไปยังด้านหนึ่ง
มันก็ต้องแกว่งกลับไปยังด้านตรงข้ามเท่าๆ กัน เพื่อเป็นการชดเชยถ่วงดุล
"ผู้ที่ประสบกับความขมขื่นเหลือแสน ก็ย่อมรู้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ด้วย" เพราะการที่จะรู้ถึงคุณค่าแท้จริงของสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความรัก และความสงบ เราต้องรู้ถึงขั้วตรงข้ามของมันด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อเราได้ประสบกับสิ่งเหล่านี้แล้ว เราจะสามารถแยกตัวเองออกมาได้ ก็โดยการก้าวถอยหลังเมื่อลูกตุ้มนาฬิกาแกว่งไปยังด้านที่เราไม่ชอบ และบอกตัวเองว่าไม่ช้ามันจะแกว่ง
กลับไปยังด้านที่เราชอบมากกว่าเอง ถ้าเราพลิ้วไปกับกระแส แม้ในยามที่ดูมืดมนสิ้นหวัง เราก็ยังยอมรับได้ว่า แม้นั่นไม่ใช่สิ่งที่เรามุ่งหวัง แต่ก็ยังทำใจให้ผ่อนคลายโดยไม่กังวลได้ เพราะกฎแห่งจังหวะทำให้เรารู้ว่าอะไรที่กำลังจะตามมา
กฎแห่งเพศ
ทุกคน ทุกสถานที่ และทุกสิ่งต่างก็มีทั้งลักษณะที่เป็นทั้งเพศชายและเพศหญิงซึ่งทำงานสอดประสานกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา โดย
"พลังเพศชายนั้นอยู่ภายนอก อันเป็นสิ่งที่ถูกส่งออกไปสู่จักรวาล ขณะที่พลังเพศหญิงนั้นอยู่ภายใน"
ด้วยเหตุนี้ พลังเพศชายและหญิงจึงทำงานร่วมกันเหมือนสายพ่วงแบตเตอรี่ เพศชายคือสายขั้วบวก ก็จะผลักออกเสมอ ส่วนเพศหญิงหรรือสายขั้วลบก็จะดึงดูดเสมอ(พลังเพศชาย คือ ศิวลึงค์ ปิรามิดหัวตั้ง ประจุไฟฟ้าที่ถูกผลักออกสู่วงนอก พลังเพศหญิง คือ โยนีลึงค์ คือ ปิรามิดหัวกลับ คือ อนุภาคที่ดึงดูดถูกยุบเข้าสู่ศูนย์กลาง ของโมเลกุล ปฏิกิริยาทั้งสองเมื่อเกิดพร้อมกันคือ ปฏิกิริยานิวเคลีย fusion&fission กลายเป็นสนามแม่เหล็กพลังจิตวิญญาณในสมองมนุษย์) ว่าตามวิทยาศาสตร์แล้ว ขั้วบวกไม่ใช่หมายถึงสิ่งที่ดี และขั้วลบก็ไม่ได้หมายถึงสิ่งไม่ดี ต่างเป็นแค่คำเรียกสมดุลการไหลของพลังงาน สภาพเพศหญิงจึงหมายถึงเส้นทางขั้วลบของพลัง เพราะเป็นจุดเกิดแห่งการสร้าง
เช่นเดียวกับที่ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมา
กฎจักรวาลข้อนี้ช่วยให้เราเอาชนะความไม่มั่นใจในตัวเองและการผัดวันประกันพรุ่งได้
"พลังของหญิงและชายนั้นต่างทำงานประสานกันเสมอ เว้นแต่จะถูกปิดกั้นด้วยอคติหรือความคิดเชิงลบอันเกิดมาจากความกลัว"
วิธีที่ดีอย่างหนึ่งใน
การเปิดรับพลังงานที่สมดุลคือ การมีส่วนร่วมในการให้และรับทุกๆ วัน
กฏแห่งเหตุและผล
หลักแห่งเหตุและผลเป็นกฎแห่งจักรวาลที่รู้จักกันดีที่สุดข้อหนึ่ง พวกเราหลายคนต่างเคยได้ศึกษากฎนี้มาแล้วตอนเรียนวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือ “ทุกๆ แรงกระทำจะมีแรงปฏิกิริยาตรงข้ามที่เท่าๆ กัน”
ไม่มีสิ่งใดหลีกพ้นกฎแห่งเหตุและผลไปได้ แต่เราสามารถใช้กฎจักรวาลข้อนี้เพื่อเอาชนะกฎแห่งชีวิตประจำวันซึ่งอยู่ภายใต้กฎจักรวาลอีกที เมื่อเราใช้กฎจักรวาลเพื่อดึงเอาสิ่งที่เราต้องการผ่านทางการคิดหรือการกระทำเชิงบวก
เมื่อเรายกระดับการสั่นสะเทือน และเมื่อเราตระหนักถึงความสมดุลระหว่างเพศ เมื่อนั้นเราก็กำลังปฏิบัติการอยู่ในเครื่องบินลำที่อยู่สูงขึ้นไป เราจะไม่ถูกพัดพาไปกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตอีกต่อไป
กฎแห่งความสอดคล้องกัน
กฎแห่งจักรวาลข้อนี้ทำให้เราตระหนักว่า แม้ตัวเราอาจเป็นเพียงสิ่งเล็กกระจ้อยร่อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับจักรวาล แต่กฎแห่งความสอดคล้องกันก็บอกว่าเรามี
“เครื่องช่วย” อยู่ในตัว ที่จะช่วยให้เราทุกคนเข้าใจมันได้อยู่แล้วด้วย
นั่นก็เป็นเพราะ ไม่ว่าสิ่งที่เราพยายามทำความเข้าใจนั้นจะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะเข้าใจมันได้ทั้งหมด หรือเล็กเกินกว่าจะมองเห็นด้วยตาเปล่าเพียงใดก็ตาม ไม่ว่ามันจะอยู่ในโลกด้านไหน ทุกสิ่งก็สร้างขึ้นจากเนื้อแท้อย่างเดียวกัน
จาก “สรรพสิ่ง” นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งจึงสะท้อนถึงหรือจำลองแบบ
มาจากสิ่งอื่นๆ
กฎข้อนี้ยังทำให้เราเข้าใจแจ่มชัดว่า “ทำอย่างไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น” หากเราปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่ดี พวกเขาก็ย่อมทำแบบเดียวกัน แต่ความดีจะเอาชนะความชั่วได้ หากเราควบคุมชีวิตและชะตากรรมของเราเอง โดยใช้วิธีคิดและการกระทำในทางที่ดี ตามกฎแห่งความสอดคล้องต้องกันนี้
กฎแห่งมโนนิยม กฎแห่งขั้วตรงข้าม กฎแห่งเหตุและผล กฎแห่งเพศ กฎแห่ง
การสั่นสะเทือน กฎแห่งความสอดคล้องกัน และกฎแห่งจังหวะ
กฎทั้งหลายนี้รวมกันในลักษณะและระดับต่างๆ จนทำให้เราประสบสัมผัสกับกฎแห่งแรงดึงดูดอันหลีกเลี่ยงไม่ได้
เราต้องเรียนรู้วิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความคิดเชิงลบเกิดขึ้นในสมอง และเรียนรู้ที่จะเติมความคิดด้วยพลังภายในจากกฎจักรวาล แล้วเราก็จะก้าวเข้าสู่วิถีชีวิตที่สูงส่งกว่าเดิม สงบกว่าเดิม และดีกว่าเดิม ส่วนหนึ่งของขั้นตอนที่ว่านี้ก็คือ เราจะได้ตระหนักถึงปัจจุบันขณะ เมื่อเราตระหนักถึงตัวเอง เมื่อใส่ใจกับคนที่เรารักหรืองานที่กำลังทำอยู่ ชีวิตก็จะชัดเจนและแจ่มกระจ่างมากขึ้น สิ่งดีๆ ทั้งหลายก็จะไหลพลิ้วเข้ามาหาอย่างนิ่มนวล และเป็นไปอย่าง่ายดายสำหรับเรา ตามกฎแห่งแรงดึงดูดนี่เอง
เราสามารถทำให้ชีวิตมีความสุขและความมหัศจรรย์ เกินกว่าที่เราเคยคิดว่าจะเป็นไปได้ โดยอาศัยกฎจักรวาลทั้ง 7 ข้อนี้
มหาเทพธอท
ปล.คัดลอกเขามาอีกที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น