ครั้งนึงขณะธุดงค์อยู่หลวงปู่มั่น ท่านก็ถามว่า
“วิริยังค์ ทำไมจึงมาบวช”
พระอาจารย์วิริยังค์ ตอบว่า “เพราะภาวนาเห็นทุกข์”
หลวงปู่มั่น ท่านถามว่า “ใครสอนให้ครั้งแรก”
พระอาจารย์วิริยังค์ ตอบว่า “ไม่มีใครครับ”
หลวงปู่มั่น ท่านก็ถามว่า “ทำยังไงจึงเป็นสมาธิ”
พระอาจารย์วิริยังค์ ตอบว่า “เป็นขึ้นมาเองครับกระผม วันหนึ่งเพื่อนกระผม ชวนไปวัด เพราะจะบวช กระผมเองไม่อยากไป แต่ก็จำใจ วันนั้นต้องอยู่ถึงเที่ยงคืน กระผมก็กลับบ้านคนเดียวไม่ได้เพราะกลัวผี จำเป็นต้องอยู่ อยู่ไปนั่งไป นึกในใจอย่างเดียวว่า (ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่มาอีกแล้ว ๆ ๆ ) อย่างนี้ ไม่ช้าเท่าไรปรากฏว่า ตัวของกระผมหายไปเลย เบาไปหมด...ถึงกับอุทานออกมาเองว่า คุณของพระพุทธศาสนา มีถึงเพียงนี้เทียวหรือ”
หลวงปู่มั่น ก็ได้พูดว่า “มันแม่นแล้ว เธอมีความเป็นต่าง ๆ มีบารมีพอสมควร มิฉะนั้นจะได้บวชหรือ”
“..ร่างกายอันนี้เกิดมา ร่างกายอันนี้แก่ ร่างกายอันนี้เจ็บ ร่างกายอันนี้ตาย ทีนี้คนที่จะหลงรักหลงชังกันก็ต้องมีร่างกายนี้เป็นสื่อสัมพันธ์ มองเห็นตา มองเห็นศีรษะ แขน ขา มองเห็นร่างกายต่างๆ แล้วเกิดความชอบ หรือเรียกว่าเกิดความพอใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายอันนี้ก็เป็นตัวสำคัญที่จะต้องจัดการในอันดับแรกของวิปัสสนา จัดการอันดับแรกก็คือ หั่นร่างกายนี้ออกมาเป็นชิ้นๆ ให้เห็นว่าร่างกายนี้เป็นเพียงธาตุทั้ง ๔ ถ้าหากว่าพลังจิตเพียงพอนั้น พิจารณาเห็นได้ ถ้าพลังจิตไม่เพียงพอนั้น มองเข้าไปเท่าไหร่ มันก็ไม่เห็น คือมันเห็นเหมือนกัน แต่มันเห็นไปด้วยอำนาจกิเลส แต่ถ้าพลังจิตเพียงพอนั้นมองเข้าไปแล้วก็เห็นชัดว่า อันนี้เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เกิดอะไรขึ้น เมื่อมองเห็นชัดเจนขึ้นมา เมื่อมองเห็นชัดเจนขึ้นมาก็เกิดนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่าย มันน่าเบื่อหน่ายจริงๆ อย่างนี้..”
โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่วิริยังค์ สิรินฺธโร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น