22 ธันวาคม 2563

#พระมาลกติสสะ

ชายคนหนึ่งเกิดในครอบครัวของพรานป่าในโรหณชนบท 
เมื่อโตขึ้นมีอาชีพเป็นนายพราน เลี้ยงบุตรและภรรยาด้วยการฆ่า โดยวางกับดักสัตว์ด้วยกับดัก ๑๐๐ คัน บ่วง ๑๐๐ บ่วง รวมทั้งฝังหลาวในหลุม ๑๐๐ หลุม เขาฆ่าสัตว์มากมายเพราะไม่รู้ผลของกรรม คือ มีความเห็นผิดนั่นเอง

วันหนึ่ง เขาฆ่าเนื้อที่ติดบ่วงและนำมาย่างไฟกิน เกิดกระหายน้ำ จึงเดินไปหาน้ำในโรงน้ำดื่มที่วัดคเมณฑวาสีวิหาร 
ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง น่าแปลกว่าทั้งที่มีหม้อน้ำที่เติมไว้เต็มแล้วถึง ๑๐ หม้อ แต่เขากลับไม่เห็นน้ำเลยสักหม้อ

 เขาจึงเอะอะโวยวายว่า
 “อะไรกันนี่ ในวัดนี้ก็มีพระอยู่มาก แต่ไม่มีน้ำดื่มบรรเทากระหายบ้างเลยหรือ” 
ขณะนั้น พระเถระชื่อว่าจูฬบิณฑปาติกติสสะได้ยินเสียงโวยวายจึงเดินไปตรวจดูหม้อน้ำทั้ง ๑๐ หม้อ เห็นมีน้ำเต็มทุกหม้อ ท่านคิดว่า
 
“บุคคลผู้นี้เหมือนเปรต เสวยกรรมทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่” 

ท่านจึงพูดขึ้นว่า

 “ดูก่อนอุบาสก ถ้ากระหายน้ำก็ดื่มเสียสิ”

 ท่านให้เขาแบมือรองน้ำ แล้วท่านก็ยกหม้อ เทน้ำลงบนมือของเขา ทันทีที่นายพรานดื่มน้ำบนมือตนเอง น้ำที่ดื่มเข้าไปก็ระเหยไปหมดเหมือนเทลงบนแผ่นกระเบื้องที่เดือดระอุ ดังนั้นแม้จะดื่มน้ำไปเท่าไรก็ตาม เขาก็ยังกระหายเช่นเดิม เพราะมีวิบากกรรมหนัก

พระเถระเห็นเหตุการณ์นั้นจึงรำพึงขึ้นว่า 

“ดูก่อนอุบาสก ท่านทำบาปกรรมหนักแค่ไหนหรือ ถึงเหมือนเปรตที่เสวยกรรมทันตาเห็นอย่างนี้” 

เมื่อสิ้นคำของพระเถระ เขาฉุกใจนึกถึงอาชีพบาปของตนทันที เกิดความสังเวชสลดใจเป็นอย่างยิ่ง และกราบเรียนพระเถระถึงอาชีพของเขา แล้วรีบกราบลากลับไปรื้อกับดักและทำลายอาวุธล่าสัตว์ รวมทั้งปล่อยสัตว์ที่ดักจับมาทั้งหมดอีกด้วย

จากนั้นนายพรานก็รีบกลับมาหาพระเถระเพื่อขอบวช

 พระเถระกล่าวว่า
 
“ดูก่อนผู้มีอายุ การบวชเป็นกิจที่ทำได้ยาก ท่านจะบวชได้อย่างไร”
 เขาตอบว่า

 “ท่านผู้เจริญ กระผมเห็นวิบากกรรมแจ้งประจักษ์ขนาดนี้แล้ว จะไม่บวชได้อย่างไร”

 
พระเถระจึงรับเป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วบอกกรรมฐานแก่เขา เขามีชื่อหลังจากบวชว่า “พระมาลกติสสะ”

พระใหม่อยู่ในความดูแลของพระเถระอย่างใกล้ชิด
 ท่านได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติของพระและเรียนคำสอนพุทธพจน์ด้วย

วันหนึ่ง พระมาลกติสสะได้ฟังข้อความหนึ่งในเทวทูตสูตรจากพระเถระว่า

 “ภิกษุทั้งหลาย พวกนายนิรยบาลย่อมจับสัตว์นรกเสวยกองทุกข์ในมหานรกอีก” 

 ท่านจึงถามพระเถระว่า
 “โอ มหานรกนี่ทุกข์หนักนะขอรับ” “ใช่ ทุกข์หนักมาก”
 “ผมสามารถมองเห็นได้ไหมขอรับ”

 “เธอไม่อาจมองเห็นได้หรอก แต่ฉันจะแสดงอะไรให้ดูเพื่อเป็นข้อพิสูจน์ เธอจงไปชวนพวกสามเณรไปเก็บกิ่งไม้สดมาเยอะ ๆ แล้วนำไปกองรวมกันบนแผ่นหิน”

 เมื่อกองไม้สดถูกก่อแล้ว พระเถระก็แสดงฤทธิ์โดยนำสะเก็ดไฟจากนรกขนาดเท่าหิ่งห้อยใส่ลงไปในกองไม้ 

ปรากฏว่า กองไม้มอดไหม้กลายเป็นเถ้าทันทีเพียงชั่วพริบตา

เมื่อพระมาลกติสสะเห็นอานุภาพ แม้เพียงสะเก็ดไฟนรก ท่านก็พิจารณาโดยแยบคายจนได้ข้อคิด แล้วถามพระเถระว่า

 “ธุระในพระศาสนานี้มีเท่าไรขอรับ”

 “มี ๒ ประการ คือ วิปัสสนาธุระและคันถธุระ” 

“คันถธุระการเรียนปริยัตินั้นเป็นหน้าที่ของผู้มีความจำดี แต่ศรัทธาของกระผมนั้นเกิดจากการได้เห็นกองทุกข์ 
ดังนั้นกระผมขอบำเพ็ญวิปัสสนาธุระอย่างเดียว 

ขอท่านจงบอกกรรมฐานแก่กระผมด้วยขอรับ”

เมื่อพระมาลกติสสะรับกรรมฐานจากพระอุปัชฌาย์แล้ว ท่านก็เริ่มบำเพ็ญสมณธรรมทันที 

ขณะเจริญวิปัสสนาหากถูกความง่วงเข้าครอบงำ
 ท่านก็จะนำใบไม้ชุ่มน้ำวางบนศีรษะแล้วนั่งห้อยเท้าแช่น้ำ
 
วันหนึ่งท่านไปที่จิตตลบรรพตวิหาร และทำสมาธิทั้งคืน
 พอเริ่มง่วง ในเวลาใกล้สว่าง ท่านก็ได้ยินสามเณรท่อง อรุณวติสูตรอยู่ข้างภูเขาด้านตะวันออกว่า

“จงพากเพียรพยายามบากบั่นในพระพุทธศาสนา จงกำจัดกองทัพของมฤตยูเหมือนกุญชรกำจัดเรือนไม้อ้อฉะนั้น

 ผู้ใดไม่ประมาทในพระธรรมวินัยนี้อยู่ จักละชาติสงสาร ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้”

ท่านจึงเกิดปีติไม่มีประมาณว่า 

“คำนี้เป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสโปรดแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรเช่นกับเรา” 

ท่านจึงพากเพียรทำฌานให้บังเกิดขึ้น ทำสมาธิเดินจงกรมจนได้เป็นพระอนาคามี และเพียรพยายามยิ่ง ๆ ขึ้นไป ในที่สุดก็บรรลุเป็นพระอรหันต์

--------------

Cr.ตามรอย ธรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...