ชายคนหนึ่งเกิดในครอบครัวของพรานป่าในโรหณชนบท
เมื่อโตขึ้นมีอาชีพเป็นนายพราน เลี้ยงบุตรและภรรยาด้วยการฆ่า โดยวางกับดักสัตว์ด้วยกับดัก ๑๐๐ คัน บ่วง ๑๐๐ บ่วง รวมทั้งฝังหลาวในหลุม ๑๐๐ หลุม เขาฆ่าสัตว์มากมายเพราะไม่รู้ผลของกรรม คือ มีความเห็นผิดนั่นเอง
วันหนึ่ง เขาฆ่าเนื้อที่ติดบ่วงและนำมาย่างไฟกิน เกิดกระหายน้ำ จึงเดินไปหาน้ำในโรงน้ำดื่มที่วัดคเมณฑวาสีวิหาร
ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง น่าแปลกว่าทั้งที่มีหม้อน้ำที่เติมไว้เต็มแล้วถึง ๑๐ หม้อ แต่เขากลับไม่เห็นน้ำเลยสักหม้อ
เขาจึงเอะอะโวยวายว่า
“อะไรกันนี่ ในวัดนี้ก็มีพระอยู่มาก แต่ไม่มีน้ำดื่มบรรเทากระหายบ้างเลยหรือ”
ขณะนั้น พระเถระชื่อว่าจูฬบิณฑปาติกติสสะได้ยินเสียงโวยวายจึงเดินไปตรวจดูหม้อน้ำทั้ง ๑๐ หม้อ เห็นมีน้ำเต็มทุกหม้อ ท่านคิดว่า
“บุคคลผู้นี้เหมือนเปรต เสวยกรรมทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่”
ท่านจึงพูดขึ้นว่า
“ดูก่อนอุบาสก ถ้ากระหายน้ำก็ดื่มเสียสิ”
ท่านให้เขาแบมือรองน้ำ แล้วท่านก็ยกหม้อ เทน้ำลงบนมือของเขา ทันทีที่นายพรานดื่มน้ำบนมือตนเอง น้ำที่ดื่มเข้าไปก็ระเหยไปหมดเหมือนเทลงบนแผ่นกระเบื้องที่เดือดระอุ ดังนั้นแม้จะดื่มน้ำไปเท่าไรก็ตาม เขาก็ยังกระหายเช่นเดิม เพราะมีวิบากกรรมหนัก
พระเถระเห็นเหตุการณ์นั้นจึงรำพึงขึ้นว่า
“ดูก่อนอุบาสก ท่านทำบาปกรรมหนักแค่ไหนหรือ ถึงเหมือนเปรตที่เสวยกรรมทันตาเห็นอย่างนี้”
เมื่อสิ้นคำของพระเถระ เขาฉุกใจนึกถึงอาชีพบาปของตนทันที เกิดความสังเวชสลดใจเป็นอย่างยิ่ง และกราบเรียนพระเถระถึงอาชีพของเขา แล้วรีบกราบลากลับไปรื้อกับดักและทำลายอาวุธล่าสัตว์ รวมทั้งปล่อยสัตว์ที่ดักจับมาทั้งหมดอีกด้วย
จากนั้นนายพรานก็รีบกลับมาหาพระเถระเพื่อขอบวช
พระเถระกล่าวว่า
“ดูก่อนผู้มีอายุ การบวชเป็นกิจที่ทำได้ยาก ท่านจะบวชได้อย่างไร”
เขาตอบว่า
“ท่านผู้เจริญ กระผมเห็นวิบากกรรมแจ้งประจักษ์ขนาดนี้แล้ว จะไม่บวชได้อย่างไร”
พระเถระจึงรับเป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วบอกกรรมฐานแก่เขา เขามีชื่อหลังจากบวชว่า “พระมาลกติสสะ”
พระใหม่อยู่ในความดูแลของพระเถระอย่างใกล้ชิด
ท่านได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติของพระและเรียนคำสอนพุทธพจน์ด้วย
วันหนึ่ง พระมาลกติสสะได้ฟังข้อความหนึ่งในเทวทูตสูตรจากพระเถระว่า
“ภิกษุทั้งหลาย พวกนายนิรยบาลย่อมจับสัตว์นรกเสวยกองทุกข์ในมหานรกอีก”
ท่านจึงถามพระเถระว่า
“โอ มหานรกนี่ทุกข์หนักนะขอรับ” “ใช่ ทุกข์หนักมาก”
“ผมสามารถมองเห็นได้ไหมขอรับ”
“เธอไม่อาจมองเห็นได้หรอก แต่ฉันจะแสดงอะไรให้ดูเพื่อเป็นข้อพิสูจน์ เธอจงไปชวนพวกสามเณรไปเก็บกิ่งไม้สดมาเยอะ ๆ แล้วนำไปกองรวมกันบนแผ่นหิน”
เมื่อกองไม้สดถูกก่อแล้ว พระเถระก็แสดงฤทธิ์โดยนำสะเก็ดไฟจากนรกขนาดเท่าหิ่งห้อยใส่ลงไปในกองไม้
ปรากฏว่า กองไม้มอดไหม้กลายเป็นเถ้าทันทีเพียงชั่วพริบตา
เมื่อพระมาลกติสสะเห็นอานุภาพ แม้เพียงสะเก็ดไฟนรก ท่านก็พิจารณาโดยแยบคายจนได้ข้อคิด แล้วถามพระเถระว่า
“ธุระในพระศาสนานี้มีเท่าไรขอรับ”
“มี ๒ ประการ คือ วิปัสสนาธุระและคันถธุระ”
“คันถธุระการเรียนปริยัตินั้นเป็นหน้าที่ของผู้มีความจำดี แต่ศรัทธาของกระผมนั้นเกิดจากการได้เห็นกองทุกข์
ดังนั้นกระผมขอบำเพ็ญวิปัสสนาธุระอย่างเดียว
ขอท่านจงบอกกรรมฐานแก่กระผมด้วยขอรับ”
เมื่อพระมาลกติสสะรับกรรมฐานจากพระอุปัชฌาย์แล้ว ท่านก็เริ่มบำเพ็ญสมณธรรมทันที
ขณะเจริญวิปัสสนาหากถูกความง่วงเข้าครอบงำ
ท่านก็จะนำใบไม้ชุ่มน้ำวางบนศีรษะแล้วนั่งห้อยเท้าแช่น้ำ
วันหนึ่งท่านไปที่จิตตลบรรพตวิหาร และทำสมาธิทั้งคืน
พอเริ่มง่วง ในเวลาใกล้สว่าง ท่านก็ได้ยินสามเณรท่อง อรุณวติสูตรอยู่ข้างภูเขาด้านตะวันออกว่า
“จงพากเพียรพยายามบากบั่นในพระพุทธศาสนา จงกำจัดกองทัพของมฤตยูเหมือนกุญชรกำจัดเรือนไม้อ้อฉะนั้น
ผู้ใดไม่ประมาทในพระธรรมวินัยนี้อยู่ จักละชาติสงสาร ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้”
ท่านจึงเกิดปีติไม่มีประมาณว่า
“คำนี้เป็นคำที่พระพุทธเจ้าตรัสโปรดแก่ภิกษุผู้ปรารภความเพียรเช่นกับเรา”
ท่านจึงพากเพียรทำฌานให้บังเกิดขึ้น ทำสมาธิเดินจงกรมจนได้เป็นพระอนาคามี และเพียรพยายามยิ่ง ๆ ขึ้นไป ในที่สุดก็บรรลุเป็นพระอรหันต์
--------------
Cr.ตามรอย ธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น