ขณะนี้โลกของเรากำลังอยู่ในช่วงทางแยกที่สำคัญ โลกกำลังเลือกว่าจะไปสู่ความหายนะหรือความศิวิไลซ์ โดยตัวแปรสำคัญของการเลือกครั้งนี้คือตัวมนุษย์ที่กำลังยืนอยู่บนโลกทุกคน เพราะพวกเขาคือผู้กำหนดชะตา นี่คือจุดผลิกผันบนทางเลือกเสรี ไม่มีใครสามารถบังคับใครได้ ทุกคนมีสิทธิ์ในการเลือก เพียงแต่ต้องยอมรับผลของมันให้ได้หากตัดสินใจเลือกไปแล้ว เพราะโลกคือมนุษย์,มนุษย์คือโลก ซึ่งแน่นอนสมการของจำนวนมนุษย์ที่เลือกด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้นที่เป็นตัวชี้วัดว่าโลกจะเดินไปทางไหน หากจำนวนมนุษย์ที่มีความเห็นแบบเดิม(มนุษย์สายพันธ์เก่า)มีจำนวนมากกว่า เราคงจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าจุดจบของโลกจะเป็นเช่นไร แต่ถ้าจำนวนของผู้ที่มีความเห็นแบบใหม่(มนุษย์สายพันธุ์ใหม่)มีมากกว่า โลกก็พร้อมที่จะพลิกไปสู่ยุคใหม่ที่เป็นดั่งสรวงสวรรค์ดั่งแดนสุขาวดีได้ทันที เพราะปัจจัยทุกด้านได้ถูกเตรียมการไว้พร้อมแล้ว นี่คงจะเป็นข่าวดีหากจำนวนผู้คนที่ได้รับรู้ข่าวสารนี้มีมากพอ โดยสามารถพร้อมใจกันเปลี่ยนความเห็นได้ทันเวลา
…
หากจุดมุ่งหมายสูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์“ทุกคน”คือการบรรลุเป้าหมายอะไรสักอย่างเพื่อเข้าสู่สภาวะใดสภาวะหนึ่ง ซึ่งสภาวะที่ว่านั้นอาจจะเปรียบเสมือนเป็น“หน้าที่”ที่คนทุกคนต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งนิยามของสภาวะนั้นอาจจะมีการเรียกที่หลากหลายขึ้นอยู่กับความเชื่อเช่น นิพพาน, อาตมัน, กลับสู่พระเจ้า, เป็นหนึ่งเดียว, กลับบ้าน, หลุดพ้น, บรรลุสัจธรรม ฯลฯ ไม่ว่าการตีความของนิยามเหล่านี้จะเป็นเช่นไร ทั้งหมดก็ล้วนมีองค์ประกอบและความหมายเดียวกันทั้งสิ้น แต่ปัญหาใหญ่คือเราไม่อาจแน่ใจได้ว่าวิธีการไหนสามารถทำให้เราเข้าสู่ภาวะนั้นได้จริง
…
ศาสตร์บนโลกใบนี้ประกอบไปด้วยหลักสูตรต่างๆมากมายเพราะมีหลายสำนักหลายลัทธิหลายศาสนา ซึ่งการจะเลือกเอามาใช้เป็นแนวทางจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณและมีหลักเกณท์ในการตัดสินใจ จึงขอสรุปเพื่อใช้ประกอบการเลือกไว้ 3 ประการดังต่อไปนี้
1.) ต้องชำระพันธสัญญาเก่าให้หมดสิ้นและไม่สร้างพันธสัญญาใหม่เพิ่มขึ้น
สำหรับชาวพุทธจะเรียกสิ่งนี้ว่า“กรรม”หรือ“ภาระกรรม” ซึ่งเป็นทั้งภาระกรรมที่ตัวเองเขียนขึ้นมาเองตั้งแต่ก่อนจะมามีประสบการณ์บนโลกใบนี้ และเป็นภาระกรรมที่สร้างขึ้นใหม่ภายหลังการเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วตัดสินใจผิดพลาดในภพชาติต่างๆ ซึ่งการจะแก้ไขภาระกรรมเหล่านี้ให้สิ้นซากก็มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือ “การรักและการมอบความปรารถนาดีได้อย่างไม่มีเงื่อนไข” ไม่ว่าจะกับใครทั้งสิ้น กับผู้ที่ด้อยกว่า, กับผู้ที่มีสถานภาพเสมอกัน, กับผู้ที่มีสถานภาพสูงกว่าและสุดท้ายกับผู้ที่เปรียบเหมือนเป็นศัตรู เมื่อเรามีความรักที่มั่นคงแข็งแรงและบริสุทธิ์ใจโดยไม่มีสิ่งใดแอบแฝงแล้ว ภาระกรรมก็จะได้รับการชำระไปที่ละเรื่องๆ จนในที่สุดดวงจิตดวงนั้นก็จะเข้าสู่สภาวะหนึ่งที่เรียกว่า“บริสุทธิ์”แต่ไม่ใช่ความบริสุทธิ์แบบนั่งหลับตาโดยไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เป็นความบริสุทธิ์ที่เกิดจากการลงมือ(การปฏิบัติ)ทำบางสิ่งบางอย่างด้วยความรักและความปรารถนาดีเพื่อให้พลังงาน(กรรม)เปลี่ยนเป็นอีกด้านหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ได้คือจิตจะใสพิสุทธิ์ ไม่มีเงื่อนไขใดมาทำให้ดวงจิตดวงนั้นเกิดความขุ่นมัวได้อีกต่อไป
…
2.) ต้องเข้าถึงปัญญาญาณให้ได้
มนุษย์ที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบจะต้องเป็นผู้มี“ปัญญา” แต่ปัญญาที่แท้จริงจะต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากตัวเองหรือ“การรู้”ที่เกิดจากจิตวิญญาณภายในของตัวเองเท่านั้น หรือเรียกสั้นๆว่า“ปัญญาญาณ”แบบไม่ใช่ปัญญาจากภายนอก(ความรู้) ซึ่งการจะเข้าถึงปัญญาญาณให้ได้นั้นปัจจัยสำคัญที่สุดคือ ผู้นั้นจะต้องเป็นความรักเป็นความปรารถนาดีได้แบบบริสุทธ์ิใจ เพราะขณะที่จิตมีความรักมีความปรารถนาดีต่อผู้อื่นอยู่นั้น จิตของเขาจะไม่นึกถึงตัวเอง เมื่อไม่ได้นึกถึงตัวเองสภาวะของความไม่มีตัวตน(อัตตา)ก็จะเกิดขึ้น เมื่อจิตไม่มีอัตตาจิตที่เป็นจิตวิญญาณภายในก็จะปรากฎขึ้น และวินาทีนั้นเองเท่ากับเราได้อนุญาตให้จิตวิญญาณภายในเข้ามามีบทบาทในการคิดและตัดสินใจร่วมกับเรา มันจะทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง มีความมั่นคงทางอารมณ์ ไม่เผลอไผลไปสร้างภาระกรรมใหม่ และผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดคือจะทำให้เราสามารถเข้าถึง“การรู้” ที่มาจากธาตุรู้ที่เป็นต้นกำเนิดแห่งจักรวาล
…
3.) ต้องทำภารกิจทางจิตวิญญาณให้สำเร็จ
มนุษย์ทุกคนที่อาสามาเกิดบนโลกมนุษย์ล้วนต้องมาพร้อมกับความตั้งใจที่จะมามีประสบการณ์อันแสนวิเศษอย่างน้อยหนึ่งประสบการณ์ และหนึ่งในประสบการณ์เหล่านั้นก็คือ การได้ทำบางสิ่งบางอย่างบนโลกอย่างสร้างสรรค์,มีคุณค่า,เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองต่อผู้อื่นและต่อโลก แต่ปัญหาที่มนุษย์ต้องเผชิญอยู่ในขณะนี้คือการต้องจำใจต้องทำ(งาน)เพื่อความอยู่รอด, ทำเพื่อให้ได้เงิน ไม่ได้ทำด้วยความรักหรือด้วยแรงบันดาลใจ ฯลฯ ดังนั้นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่เลือกทำจึงทำเพื่อต้องการบางสิ่งบางอย่าง(ส่วนใหญ่เป้าหมายคือเงิน)เพื่อนำไปแลกกับความสุขอีกที ซึ่งการทำงานด้วยเป้าหมายแบบนี้จึงไม่สอดคล้องกับวิถีของปัญญาญาณที่ต้องเป็นความรักความปรารถนาดีต่อผู้อื่น แต่มันกลายเป็นการทำเพื่อตัวเอง ทั้งที่จริงแล้วเราน่าจะทำมันด้วยความรักที่“ได้ทำ”(คล้ายการทำงานอดิเรก) เมื่อทำด้วยความรักผลลัพธ์ในภายหลังจะได้เงินหรือไม่ได้เงินนั้นจึงไม่สำคัญเพราะความสุขมันเกิดขึ้นระหว่างการทำอยู่แล้ว คนส่วนใหญ่จึงขาดโอกาสในการค้นพบภารกิจหรือหน้าที่ทางจิตวิญญาณของตัวเอง
…
ไม่มีมนุษย์คนไหนจะสามารถผ่านเข้าไปสู่สภาวะสูงสุดที่กล่าวมาในตอนต้นได้หากไม่สามารถบรรลุหลักการ3ประการนี้ ฉันกำลังตามหาเพื่อนที่รู้สึกว่าตัวเองมีภารกิจ เพื่อนที่รู้สึกว่าตัวเองมีหน้าที่ เพื่อนที่เห็นว่าโลกกำลังต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่ยุคพลังใหม่,ยุคแห่งความรุ่งเรืองทางจิตวิญญาณ,ยุคแห่งความศิวิไลซ์ และนี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด บัดนี้โลกได้รับการปรับโครงสร้างใหม่แล้ว สิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ก็จะเป็นไปได้ โลกกำลังรอ“การเลือก”จากเราทุกคน และโลกกำลังรอบุคลากรที่มี“ความเห็น”ใหม่ ที่จะมาดำเนินการให้โลกใบนี้ยังคงดำรงอยู่ต่อไปในจักรวาล
…
อารียา เมตายา
31.12.2020
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น