พอดีได้ยินกิตติศัพท์อาจารย์คณาจารย์ที่ปฏิบัติด้วยกันมีมากในสมัยนั้น ได้ยินกิตติศัพท์ว่า พระ ก. เป็นอาจารย์สอนปฏิบัติ คนไปฟังธรรมมาก ก็มานั่งคิด เออ เผื่อองค์นี้จะถูก ก็ไปฟังเทศน์ท่าน ไปปฏิบัติกับท่านแล้วก็เอามาปฏิบัติอยู่องค์เดียว บางสิ่งก็เหมือนกับตัวเรา บางอย่างก็ไม่เหมือนกัน ความสงสัยก็เกิดขึ้นเรื่อยไม่หยุด
อยู่ไปอีกก็มีอาจารย์ ข. ข่าวว่าท่านปฏิบัติดีด้วย เก่งด้วย เกิดความสงสัยก็ไปอีก ไปฟังได้ความแล้วเอามาปฏิบัติ เทียบองค์นี้กับองค์นั้นก็ไม่เหมือนกัน แปลกไปเรื่อยความสงสัยก็ยิ่งมากขึ้น
อยู่ไปได้ข่าวอีก พระ ค. เก่งเหมือนกันเขาร่ำลือมา อดไม่ได้อยากจะไปอีก ไปปฏิบัติกับท่าน ท่านจะเทศน์ยังไง ปฏิบัติยังไง ก็ไปฟังธรรมะท่าน เหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้าง เอามาคิด องค์นั้นทำไมทำอย่างนั้นองค์นี้ทำไมทำอย่างนี้ รวมความเห็นของอาจารย์เข้าด้วยกัน แล้วมารวมความเห็นของเราไปกันคนละอย่างเลยไม่เป็นสมาธิ ความฟุ้งซ่านยิ่งเกิดขึ้น ก็ยิ่งทำให้หมดกำลัง ไม่สบาย สงสัยไม่หาย
วันหลังมาได้ข่าวว่าพระศาสดาพระโคดมเกิดขึ้นในโลก ยิ่งหนักใหญ่เลยทีนี้ อดไม่ได้อีก ไปอีก ไปกราบท่าน ไปฟังธรรมะท่าน ท่านก็เทศน์ให้ฟัง ท่านว่า ไปทำความเข้าใจกับคนอื่นให้หายความสงสัยนั้นไม่ได้ ยิ่งฟังยิ่งสงสัย ยิ่งฟังก็ยิ่งแปลก พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ความสงสัยไม่ใช่ว่าจะให้คนอื่นตัดให้เรา ไม่ใช่คนอื่นจะแก้ความสงสัยให้เรา องค์อื่นก็อธิบายเรื่องความสงสัยเท่านั้นแหละ เราก็จับมาปฏิบัติให้มันรู้เองเห็นเอง ท่านบอกว่า "อยู่ในกายของเรานี่แหละ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันนี้เป็นอาจารย์ของเรา ให้ความเห็นของเราอยู่แล้ว" แต่เราขาดการภาวนา ขาดการพิจารณา
ท่านบอกว่า จะระงับความสงสัยให้พิจารณากายกับใจของตัวเองเท่านั้นแหละ อดีตก็ให้ทิ้ง อนาคตก็ให้ทิ้ง ให้รู้ทิ้ง ให้รู้ รู้แล้วทิ้ง ไม่ใช่ไม่รู้
พระธรรมเทศนา เรื่อง ธุดงค์ - ทุกข์ดง
น้อมกราบหลวงพ่อชา สุภทฺโท
ด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ 🌻🙇🙇🙇🌻
กราบของพระคุณที่มา: คัดลอกจากหนังสือ ๔๘ พระธรรมเทศนา
พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
หน้า ๓๑๕-๓๑๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น