คติความเชื่อเรื่องเปรตถือกันแพร่หลาย พุทธศาสนาถือว่าผู้ไปเกิดในเปรตวิสัยภูมิ คือแดนแห่งเปรตเพราะบาปกรรมที่ทำกันไว้ เปรตบางจำพวก ข้างแรมเป็นเปรต ข้างขึ้นเป็นเทวดา บางจำพวกข้างขึ้นเป็นเปรต ข้างแรมเป็นเทวดา บางจำพวกเป็นเปรตตลอดกาล
ในบรรดาสัตว์โลกนั้น ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต พระพุทธองค์ทรงแบ่งไว้เป็น ๔ ประเภท เรียกว่า “กำเนิด ๔” ดังนี้
๑. ชลาพุชะ =เกิดในมดลูก (ชำแรกไส้มาเกิด)
๒. อัณฑชะ =เกิดในไข่
๓. สังเสทชะ =เกิดในเถ้าไคลที่ชุ่มชื้น (อุจาระของเน่า เช่นหนอนแมลงวันต่างๆ) เกิดในยางเหนียว ในเกสรดอกไม้
๔. โอปปาติกะ =เกิดในอากาศโดยเติบโตทันที (อุบัติแล้วโตเต็มวัยทันที) เปรต จัดอยู่ในประเภทนี้
ส่วนภพภูมินั้น เรียก “ภูมิ ๓๑” ประกอบด้วย
อรูปภูมิ ๔ เป็นชั้นพรหม ชั้นสูง มีแต่จิตไม่มีตัวตน
รูปภูมิ ๑๖ เป็นชั้นพหรมรองลงมา
เทวภูมิ ๖ คือสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น (ชั้นที่ ๗ ไม่มีนะครับ คนเราเอามาพูดกันเอง)
มนุษยภูมิ ๑ คือภพภูมิของมนุษย์มี ๑ เดียวเท่านั้นครับ และ
สุดท้าย อบายภูมิ ๔ ประกอบด้วย
๑. นรกภูมิ
๒. เปรตภูมิ เปรตอยู่ในภพภูมินี้ครับ
๓. อสุรกายภูมิ
๔. ดิรัจฉานภูมิ
คติความเชื่อเรื่องเปรตถือกันแพร่หลาย พุทธศาสนาถือว่าผู้ไปเกิดในเปรตวิสัยภูมิ คือแดนแห่งเปรตเพราะบาปกรรมที่ทำกันไว้ เปรตบางจำพวก ข้างแรมเป็นเปรต ข้างขึ้นเป็นเทวดา บางจำพวกข้างขึ้นเป็นเปรต ข้างแรมเป็นเทวดา บางจำพวกเป็นเปรตตลอดกาล บางจำพวกอยู่ในปราสาท
บางจำพวกมีช้าง ม้า ข้าทาส มียวดยานคานหามทองที่เที่ยวไปในอากาศ บางพวกอายุยืน ๑๐๐ ปี บางจำพวก ๑,๐๐๐ ปี บางพวกมีอายุชั่วพุทธันดรกัลป์หนึ่ง ไม่ได้กินข้าวแม้สักเม็ด น้ำแม้สักหยดหนึ่งเลย
ดังนั้นพอจะอธิบายได้ว่า เปรตคือผู้ที่ทำกรรมมาชนิดหนึ่ง ซึ่งต้องรับกรรมด้วยความทุกข์ทรมาน เช่นหิวโหยอดอยาก ร้อนหรือหนาวอย่างที่สุด เจ็บปวดอย่างที่สุด และรับความทุกข์ทรมานอย่างที่สุด โดยแบ่งตามชนิดของเปรตได้หลากหลายดังนี้
แบ่งตาม เปตวัตถุอรรถกถา แบ่งได้ ๔ ประเภท
* ปรทัตตุปชีวิกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ จากอาหารที่มีมนุษย์ให้ เช่น การเซ่นไหว้ เป็นต้น
* ขุปปีปาสิกเปรต คือ เปรตที่อดอยาก ทุกข์จากความหิวโหยอยู่เป็นนิจ
* นิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
* กาลกัญจิกเปรต คือ เปรตในจำพวกอสุรกาย
แบ่งตาม คัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์ และ ฉคติทีปนีปกรณ์ แบ่งได้ ๑๒ ประเภท(ตระกูล)
๑. วันตาสเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินน้ำลาย เสมหะ อาเจียน เป็นอาหาร
๒. กุณปาสเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินซากศพคนหรือสัตว์ เป็นอาหาร
๓. คูถขาทกเปรต คือ เปรตที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินอุจจาระต่าง ๆ เป็นอาหาร
๔. อัคคิชาลมุขเปรต คือ เปรตที่มีเปลวไฟลุกทั่วในปากตลอดเวลา
๕. สุจิมุขเปรต คือ เปรตที่มีปากเท่าเล็กขนาดเท่ารูเข็ม
๖. ตัณหัฏฏิตเปรต คือ เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนจนเกิดทุกข์จากความหิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ
๗. สุนิชฌามกเปรต คือ เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่ถูกเผา
๘. สุตตังคเปรต คือ เปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้ายาวและคมราวกับมีด
๙. ปัพพตังคเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าขนาดของภูเขา
๑๐. อชครังคเปรต คือ เปรตที่มีร่างกายราวกับงูเหลือม
๑๑. เวมานิกเปรต คือ เปรตที่ต้องเสวยทุกข์เฉพาะในเวลากลางวัน แต่ในเวลากลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน
๑๒. มหิทธิกเปรต คือ เปรตที่มีฤทธิ์มาก
.
แล้วทำกรรมอันใดจึงต้องเป็นเปรต
#อกุศลกรรมที่เป็นเหตุให้ไปจุติเป็นเปรต
๑. ผู้มักอิจฉาริษยาผู้อื่น คิดอยากได้ทรัพย์สินของเขา ไม่ให้ทาน ตลอดจนโกงทรัพย์สินของสงฆ์มาเป็นของตน ตายไปเกิดเป็นเปรตตัวใหญ่ ปากเท่ารูเข็ม มีแต่กระดูก ตัวเหม็นสาป ผมรุ่ยร่ายลงมาคลุมปาก เสวยทุกขเวทนาทั้งกายใจ ร้องไห้คร่ำครวญนานนับพันปี
๒. ผู้บวชเป็นสมณชีพราหมณ์ มักดูถูก กล่าวร้าย ติเตียนครูอาจารย์และคณะสงฆ์ ตายไปเกิดเป็นเปรตมีกายงามดังทอง มีปากเหมือนหมู ปากนั้นเหม็นหนักหนา มีหนองเต็มปาก หนอนเจาะกินปากหน้าตาและเนื้อตัวเขา
๓. หมอหญิงให้ยาหญิงมีครรภ์กินเพื่อให้แท้งลูก ตายไปเกิดเป็นเปรตผู้หญิง เปลือยกาย ตัวเน่าเหม็น มีแมลงวันตอมจำนวนมาก ร่างกายมีแต่เส้นเอ็นและหนังหุ้มกระดูก กินเนื้อลูกน้อยตนตลอดเวลา
๔. หญิงเห็นสามีถวายข้าว น้ำ และผ้าแก่คณะสงฆ์ กลับโกรธเคืองด่าทอสามี ตายไปเกิดเป็นเปรตผู้หญิงเปลือย อดอยาก เห็นข้าวน้ำอยู่ตรงหน้าก็จะหยิบมากิน แต่ข้าวน้ำนั้นกลายเป็นอาจม เป็นเลือด เป็นหนอง เห็นผ้าจะหยิบมานุ่งห่ม ผ้านั้นกลายเป็นแผ่นเหล็กแดงลุกไหม้ตลอดตัว
๕. ผู้มักตระหนี่ไม่เคยทำบุญให้ทาน เห็นคนอื่นทำบุญให้ทานก็ห้ามปราม ตายไปเกิดเป็นเปรตร่างสูงใหญ่เท่าต้นตาล เส้นผมหยาบ ตัวเหม็นมาก อดอยากยากไร้นักหนา
๖. ผู้เอาข้าวลีบปนข้าวดีแล้วไปหลอกขาย ตายไปเกิดเป็นเปรตเอามือกอบข้าวลีบลุกเป็นไฟใส่ศรีษะของตนตลอดเวลา ต้องทุกข์ทรมานมากมายหลายพันปีในนรก
๗. ผู้ที่ตีศรีษะมารดาบิดาด้วยมือ ไม้ และเชือก ตายไปเกิดเป็นเปรตเอาฆ้อนเหล็กแดงตีศรีษะตนเอง
๘. ผู้ที่มีคนมาขอข้าว ข้าวมีแต่หลอกว่าไม่มี ตายไปเกิดเป็นเปรต กินแต่ลามกอาจมปนหนองเน่าเหม็นนักหนา
๙. ผู้เป็นข้าราชการ รับสินบนผู้ผิด ตัดสินความผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด ตายไปเกิดเป็นเปรตมีวิมาน มีบริวารนางฟ้า แต่เอาเล็บมือคมดังมีดกรด ขูดเนื้อหนังตัวเองกินต่างอาหาร
๑๐. ผู้ด่าทอ กล่าวเท็จต่อพระสงฆ์ ผู้ใหญ่ผู้มีศีล ตายไปเกิดเป็นเปรตมีเปลวไฟพุ่งออกจากปาก อกและลิ้นแล้วลามไหม้ทั่วตัวเขา
๑๑. ผู้มักข่มเหงรังแกคนยากไร้เข็ญใจอย่างไร้กรุณาปราณี เอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตน และใส่ความผู้ไม่มีความผิด ตายไปเกิดเป็นเปรตผอม อดอยากมาก เห็นน้ำใสเอามือกอบจะกิน น้ำนั้นกลายเป็นไฟไหม้เขาทั้งตัว เขากลิ้งเกลือกตายในไฟนั้น
๑๒. ผู้เผาป่า สรรพสัตว์หนีไม่ทันถูกไฟป่าคลอกตาย ตายไปเกิดเป็นเปรตผอม ตัวเปื่อยเน่ามือเน่า ตีนเปื่อยหลังโก่ง เขาเอาไฟคลอกตัวเองตลอดเวลา
๑๓. ข้าราชการตัดสินความโดยไม่ชอบธรรม ไม่วางตัวเป็นกลาง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ขูดรีดชาวบ้าน ตายไปเกิดเป็นเปรต ตัวใหญ่เท่าภูเขา มีขน เล็บตีนเล็บมือใหญ่ยาว คมดังมีดกรดและหอกดาบ ลุกเป็นเปลวไฟแทงตัวเขาตลอดเวลา
.
ที่มา: http://www.banloktip.com/webboard/index.php?topic=411.0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น