21 พฤษภาคม 2566

"ว่าด้วยเรื่อง เทวดาสาธุการ และไม่สาธุการ"

"ว่าด้วยเรื่อง เทวดาสาธุการ และไม่สาธุการ"
        พวกเทวดาไม่ให้สาธุการแก่เทศนาของภิกษุ ๒ รูป               
               บรรดาภิกษุ ๒ องค์นั้น พระเถระผู้ทรงพระไตรปิฎกองค์หนึ่งสวดธรรม, องค์หนึ่งกล่าวธรรม. เทวดาแม้องค์หนึ่งก็มิได้ให้สาธุการ.
               ภิกษุเหล่านั้นจึงพูดกันว่า "ท่านผู้มีอายุ ท่านกล่าวว่า ‘ในวันฟังธรรม พวกเทวดาในราวไพรนี้ ย่อมให้สาธุการด้วยเสียงดัง’ นี่ชื่ออะไรกัน?"
               พระเอกุทาน. ในวันอื่นๆ เป็นอย่างนั้น ขอรับ, แต่วันนี้กระผมไม่ทราบว่า "นี่เป็นเรื่องอะไร."
               พวกภิกษุ. ผู้มีอายุ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงกล่าวธรรมดูก่อน.
               ท่านจับพัดวีชนีนั่งบนอาสนะแล้ว กล่าวคาถานั้นนั่นแล.
               เทวดาทั้งหลายได้ให้สาธุการด้วยเสียงอันดัง.

               พวกภิกษุติเตียนเทวดา               
               ครั้งนั้น ภิกษุที่เป็นบริวารของพระเถระทั้งสองยกโทษว่า "เทวดาในราวไพรนี้ ให้สาธุการด้วยเห็นแก่หน้ากัน, เมื่อภิกษุผู้ทรงพระไตรปิฎก แม้กล่าวอยู่ประมาณเท่านี้ ก็ไม่กล่าวแม้สักว่าความสรรเสริญอะไรๆ, เมื่อพระเถระแก่องค์เดียวกล่าวคาถาหนึ่งแล้ว พากันให้สาธุการด้วยเสียงอันดัง."
               ภิกษุเหล่านั้นแม้ไปถึงวิหารแล้ว กราบทูลความนั้นแด่พระศาสดา.

               ลักษณะผู้ทรงธรรมและไม่ทรงธรรม               
               พระศาสดาตรัสว่า..

"#ภิกษุทั้งหลายเราไม่เรียกผู้เรียนมากหรือพูดมากว่าเป็นผู้ทรงธรรม"

#ส่วนผู้ใดเรียนคาถาแม้คาถาเดียวแล้วแทงตลอดสัจจะทั้งหลายผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม"

               ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
                         ๓. น ตาวตา ธมฺมธโร ยาวตา พหุ ภาสติ
                          โย จ อปฺปมฺปิ สุตฺวาน ธมฺมํ กาเยน ปสฺสติ
                          ส เว ธมฺมธโร โหติ โย ธมฺมํ นปฺปมชฺชติ.
                          บุคคลไม่ชื่อว่าทรงธรรม เพราะเหตุที่พูดมาก;
                          ส่วนบุคคลใด ฟังแม้นิดหน่อย ย่อมเห็นธรรมด้วยนามกาย,
                          บุคคลใด ไม่ประมาทธรรม, บุคคลนั้นแล เป็นผู้ทรงธรรม.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาวตา เป็นต้น ความว่า บุคคลไม่ชื่อว่าผู้ทรงธรรม เพราะเหตุที่พูดมาก ด้วยเหตุมีการเรียน และการทรงจำและบอกเป็นต้น. แต่ชื่อว่าตามรักษาวงศ์ รักษาประเพณี.
               บทว่า อปฺปมฺปิ เป็นต้น ความว่า ส่วนผู้ใดฟังธรรมแม้มีประมาณน้อย อาศัยธรรมะ อาศัยอรรถะ เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม กำหนดรู้สัจจะมีทุกข์เป็นต้น ชื่อว่าย่อมเห็นสัจธรรม ๔ ด้วยนามกาย, ผู้นั้นแล ชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม.
               บาทพระคาถาว่า โย ธมฺมํ นปฺปมชฺชติ ความว่า แม้ผู้ใดเป็นผู้มีความเพียรปรารภแล้ว หวังการแทงตลอดอยู่ว่า "(เราจักแทงตลอด) ในวันนี้ๆ แล" ชื่อว่าย่อมไม่ประมาทธรรม แม้ผู้นี้ก็ชื่อว่าผู้ทรงธรรมเหมือนกัน.
               ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

               เรื่องพระเอกุทานเถระ

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...