.... "คำสอนที่พระพุทธโคตมะ(สิทธัตถะ) ได้สอนด้วยพระองค์เองไม่ซ้ำใคร นั่นคือเรื่อง "อนัตตา" หรือ "สุญญตา"...
..... เราอาจจะอวดอ้างได้ว่า ในประวัติศาสตร์ของโลกเท่าที่ปรากฏชัดอยู่ ตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมาจนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีใครสอนเรื่อง "อนัตตา" หรือเรื่อง "สุญญตา"...
.... นี่หมายความว่า เราพูดกันอย่างสิทธิอันชอบธรรมที่จะกล่าวอ้างว่า นี่เป็นของพุทธศาสนาแท้ ไม่มีในศาสนาอื่นหรือของคนอื่น เมื่อยกเอา Authority คือสิทธิของความเป็นเจ้าของในหลักวิชาขึ้นมากล่าวกันแล้ว ก็มีแต่เรื่อง"อนัตตา" หรือเรื่อง "สุญญตา" เท่านั้นที่เราจะกล่าวได้เต็มปากว่าเป็นของพุทธโดยแท้ คนอื่นจะมาแย่งสิทธิอันนี้ไม่มีทางที่จะทำได้ เพราะเขาไม่ได้สอนอย่างนี้
.... จะเห็นได้ว่าแคบถึงที่สุดแล้วระบุชัดลงมาถึงที่สุดแล้ว มีสอนเพียงประโยคเดียวว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ว่างจากตัวตน ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" นี่คือพุทธศาสนาทั้งหมด."
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายอบรมผู้พิพากษา ปี ๒๕๐๑ หัวข้อเรื่อง"ความหมายของพุทธะ"
จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า "ตุลาการิกธรรม ๒"
---------------------------------------------
.
…. “ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ประโยคนี้เป็นภาษาบาลีก็มีว่า “สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย” ตามตัวพยัญชนะก็แปลว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆไม่ควรเพื่อเข้าไปยึดมั่นถือมั่น” หรือตามพยัญชนะจริงๆก็ว่า “ไม่ควรเพื่อจะฝังตัวเข้าไป” โดยอาศัยคำว่า “อภินิเวส” เป็นหลัก ซึ่งแปลว่า เข้าไปอย่างยิ่ง อย่างที่เราเรียกกันในภาษาไทยธรรมดาว่า ฝังจิตฝังใจ ฝังเนื้อเข้าไปในสิ่งนั้นๆจนหมดสิ้น นั่นแหละคืออาการที่เรียกว่า ความยึดมั่น คือมีจิตฝังเข้าไปยึดมั่นถือมั่น หรือว่ายึดมั่นด้วยการฝังจิตเข้าไป ด้วยความสำคัญมั่นหมายว่า “นี้ตัวเรา นี้ของเรา” ซึ่งกล่าวอย่างง่ายๆก็ได้แก่ ความรู้สึกว่า “ตัวกู-ของกู” ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง
.
…. คำกล่าวประโยคนี้ ควรจะถือว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนา เพราะมีเรื่องราวกล่าวอยู่ในบาลีว่า เมื่อมีผู้มาทูลขอให้พระพุทธองค์ทรงประมวลคำสอนทั้งสิ้นให้เหลือเพียงประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียว พระองค์ก็ทรงทำดังนี้ และได้ตรัสประโยคที่ว่า “สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย” และทรงยืนยันว่า ถ้าได้ฟังคำนี้ก็คือได้ฟังทั้งหมด ถ้าได้ปฏิบัติในข้อนี้ ก็คือได้ปฏิบัติทั้งหมด ถ้าได้รับผลจากการปฏิบัติข้อนี้ ก็คือได้รับผลจากการปฏิบัติทั้งหมด ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ดังนั้น จึงกล่าวว่า เป็นหัวใจของพุทธศาสนา.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยายเรื่อง "สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" เมื่อ วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๐๔
-----------------------------------
.
สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย
ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น
( สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น )
.
…. “ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของมิคารมาตา ณ บุพพาราม เขตกรุงสาวัตถี ท้าวสักกะจอมเทพได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า
…. “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้หลุดพ้นแล้วด้วยธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จสูงสุด มีความเกษมจากโยคะสูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”
…. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “จอมเทพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่า “ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น” ถ้าข้อนั้นภิกษุได้สดับแล้วอย่างนี้ว่า “ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น” ภิกษุนั้นย่อมรู้ยิ่งธรรมทั้งปวง ครั้นรู้ยิ่งธรรมทั้งปวงแล้ว...( แล้วทรงตรัสถึงผลหรืออานิสงส์ของข้อปฏิบัตินี้เป็นลำดับๆไป )
…. จอมเทพ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้ ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้หลุดพ้นแล้วด้วยธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จสูงสุด มีความเกษมจากโยคะสูงสุด ประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุด มีที่สุดอันสูงสุด เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย”
.
จูฬตัณหาสังขยสูตร
พระไตรปิฎกภาษาไทย (มจร.)
ม. มู. ๑๒/๓๙๐/๔๒๐
# ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. #
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น