อานาปานสติเป็นยอดมงกุฎของกรรมฐาน ทั้งหลายอยู่แล้ว ศาสนาอื่น ๆ นอกจากพุทธศาสนาแล้ว
ไม่ได้เอามาสั่งสอนให้หัดปฏิบัติ
เพราะกรรมฐานอันนี้
บริบูรณ์พร้อมทั้งสติปัฏฐาน ๔. ไปในตัวด้วย
และเป็นแม่เหล็ก ที่มีกำลังดึงกรรมฐานอื่น ๆ
ให้เข้ามาเป็นเมืองขึ้น ของตัวได้
เช่น พระมหาอนัตตคุณของพุทโธ ธัมโม สังโฆ
สีโล จาโค แก่ เจ็บ ตาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเหล่านี้ เป็นต้น
ย่อมมีอยู่...จริงอยู่
พร้อมทุกลมหายใจออก-เข้าแล้ว แปดหมื่นสี่พัน-
พระธรรมขันธ์ย่อมจริง ย่อมมีอยู่ ทุกลมหายใจออก-เข้าแล้ว ไม่ต้องไปค้น ไปหา ไปจด ไปจำ ไปบ่น ไปท่อง ทางอื่น ก็ได้
ถ้าไม่หลงลมเข้า-ออกแล้ว
โมหะ อวิชชา วัฏจักร มันจะรวมพลมาจากโลกหน่วยไหนล่ะ
หลงลมเข้า-ออก ก็หลงหนังเหมือนกัน
ถ้าไม่หลงหนัง ก็ไม่หลงลมเข้า-ออก โดยนัยเดียวกัน
ดูโลก ก็ดูทุกข์
ดูทุกข์ ก็ดูโลก
ดูสังขาร ก็ดูทุกข์
ดูทุกข์ ก็ดูสังขาร
พ้นโลก ก็พ้นทุกข์
พ้นทุกข์ ก็พ้นโลก
พ้นสังขาร ก็พ้นทุกข์
พ้นทุกข์ ก็พ้นสังขาร
มีความหมายอันเดียวกันทั้งนั้น ไม่ผิด
รู้ลมออก-เข้า ในปัจจุบัน
รู้ลมออก-เข้า ในอดีต
รู้ลมออก-เข้า ในอนาคต
รู้ ผู้รู้ ในปัจจุบัน
รู้ ผู้รู้ ในอดีต
รู้ ผู้รู้ ในอนาคต
แล้วไม่ติดข้อง อยู่...ในผู้รู้ ทั้งสามกาล
ผู้นั้น...
ก็ดับรอบแล้ว ในโลกทั้งสามด้วยในตัว
อวิชชา
และสังขาร เป็นต้น ก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง
ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ก็ดับไป ณ ที่นั้นเอง."
โอวาทธรรมหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น