(โดยคุณจันทร์นวล นาคนิยม)
ประมาณปี 2517 หลวงพ่อได้ยกกองทัพธรรมขึ้นไปทางเหนือสุดที่ จ.เชียงราย หลวงพ่อบอกว่า ประเทศชาติอยู่ในกาลคับขัน เราชาวกองทัพธรรมต้องไปช่วยประเทศชาติในทางธรรมะ เพราะว่าที่เชียงราย เป็นเมืองที่มีพระมหากษัตริย์ที่เป็น “มหาราช” องค์แรกของประเทศไทย
หลวงพ่อก็พากองทัพธรรมไปที่ อ.เชียงแสน ที่นี่มีพระธาตุจอมกิตติ ที่ดอยนี้มีพระธาตุที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระธาตุชำรุดผุพังมาก หลวงพ่อคิดจะบูรณะซ่อมแซม แต่ทางเจ้าอาวาสที่อยู่บนนั้นไม่ยอม หลวงพ่อก็เลยสร้างพระธาตุจำลองขึ้นองค์หนึ่งไม่ใหญ่โตเท่าไร ตั้งไว้ในบริเวณนั้น ต่อมาอีกปีหนึ่ง หลวงพ่อพร้อมกับกองทัพธรรม ก็ขึ้นไปฉลองและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
พระบรมสารีริกธาตุ ที่จะมาบรรจุที่พระธาตุใหม่นี้ ท่านเสด็จมาเอง เสด็จมาอยู่ที่กุฏิที่หลวงพ่อพักอยู่ (กุฏิริมชายน้ำ) พอวันรุ่งขึ้นเช้า หลวงพ่อก็นำพระบรมสารีริกธาตุออกมาจากห้องของหลวงพ่อ มาให้ข้าพเจ้า, คุณนนทา, ย่าเสือ (ย่ายุ้ย หรือ ครูสบสุข ประกอบไวทยกิจ) ดู บอกว่าท่านเสด็จมาเอง
พอข้าพเจ้าเห็นก็คิดว่าเป็น หัวแหวนทับทิมที่เจียระไน หัวใหญ่น้ำสวยมาก เกิดมายังไม่เคยเห็น ซึ่งดูแล้วคล้ายกับทับทิมสยามแต่สีอ่อนกว่า ถ้านับเป็นกะรัตคงไม่ต่ำกว่า 10 กะรัต องค์ท่านใสมาก (ไม่ขุ่นเลย) ถ้าวางบนจานแก้วจะมองเห็นทะลุกระดานเลย
การไปบวงสรวงนี้ ก็มีพวกฟ้อนรำไปด้วยเพื่อไปรำถวายพระธาตุ เวียนเทียนรอบๆ พระธาตุ ปรากฏว่าอยู่ดีๆ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกตัวผิดปกติ แบบครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ออกไปรำถวายองค์พระธาตุกับเขาด้วย โดยไม่รู้ตัวเพราะปกติรำไม่เป็น แต่ว่าวันนั้นคนอื่นบอกข้าพเจ้ารำได้นาน และต่างพูดว่าข้าพเจ้ารำได้สวย
แต่ตัวข้าพเจ้าเองกลับไม่รู้ว่าตนเองได้ทำอะไรลงไปบ้าง เพราะมีความรู้สึกคล้ายกับว่า ตนเองอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น มารู้ตัวตอนหลังเมื่อมีคนเล่าว่า รำสวยหาที่ติมิได้ รำแบบรำดาบอ้อมข้ามหัวเอี้ยวตัวไปข้างหลัง แล้วกลับมาข้างหน้า ซึ่งปกติข้าพเจ้าเป็นโรคหืดหอบทำไม่ได้หรอก
หลวงพ่อบอกว่า ท่านย่าท่านมาเอง จับให้รำ ท่านย่าชื่อ "อินทิรา" ย่าใหญ่เป็นแม่ของพระเจ้าพังคราช เป็นย่าของพระเจ้าพรหมมหาราช ทุกคนไปที่นั่นในวันนั้น ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย ไม่ว่าเด็กเล็ก ร้องไห้กันทุกคน ยกเว้นหลวงพ่อองค์เดียวที่ไม่ร้องไห้
คุณอรอนงค์ (นิด) คุณะเกษม พูดกับ พล.ต.ศรีพันธุ์ วิชพันธุ์ (หรือพี่แดง) (ยศปัจจุบัน) ว่าเรา 2 คนปรารถนาพุทธภูมิ เราไม่ร้องๆๆๆ ปรากฏว่าพล.ต.ศรีพันธุ์ เดินอ้อมไปหลังพระพุทธรูป แล้วร้องอื้อๆๆๆ ดังลั่นกว่าเพื่อน
ที่ต้องร้องไห้กันนั้นเพราะเหตุไร ?
หลวงพ่อบอกให้ฟังว่า ท่านได้บอกพรหม เทวดาว่าจะทำอย่างไร เพื่อจะแสดงให้พวกลูกหลานรู้ว่า เหล่าพรหมเทวดาก็พากันมาร่วมพิธีกับพวกเราเยอะแยะ ควรทำปรากฏการณ์อะไรสักอย่างหนึ่งให้เขาเชื่อ
ปรากฏว่าร้องไห้กันทุกคน (ยกเว้นหลวงพ่อ) ส่วนข้าพเจ้านี่ท่านย่ามาเข้าทรง บังคับให้ข้าพเจ้าพูด แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรไปบ้าง เขาเล่าให้ฟังภายหลังว่า (ตอนท่านย่ามาเข้าทรงข้าพเจ้า) ได้พูดว่า
“ตอนสมัยนั้น (อดีต) ลำบากมากต้องต่อสู้กับขอมดำ ผู้หญิงก็ต้องออกรบร่วมกับพวกผู้ชาย ไหนผู้หญิงยังต้องเลี้ยงลูก ทำกับข้าวอีก มือก็ไกว (เปล) ดาบก็แกว่ง ต้องลำบากกว่าจะได้แผ่นดินมาแต่ละฝ่ามือต้องเอาเลือดล้างทุกตารางนิ้ว
ตอนที่แพ้ขอม ขอมก็ไล่ไป ต้องหนีไปซุกตัวอยู่ตามป่าตามเขาที่รกร้าง แล้วไปสร้างเมืองกันใหม่ และต้องส่งส่วยทุกปี”
พอทุกคนได้ยินท่านย่าเล่าให้ฟังเช่นนั้น ก็ยิ่งพากันร้องไห้หนักเข้าไปอีก คิดถึงคนที่ทรยศแผ่นดิน กว่าจะได้แผ่นดินคืนแต่ละตารางนิ้ว ต้องแลกด้วยเลือด แล้วยังมีคนคิดทรยศต่อชาติอีก
พอร้องไห้ก็พากันทำบุญกับท่านย่ากันเป็นแถว ให้เอาเงินนี้บูรณะพระธาตุจอมกิตติ คนเล่าให้ฟังว่าท่านย่า (คือตัวร่างทรงของข้าพเจ้าเอง) ก็เดินงกๆแบบคนแก่ นำปัจจัยที่ข้าพเจ้ารับมาไปถวายหลวงพ่อ นี่ก็จบเรื่องพระธาตุจอมกิตติ
#อานุภาพมหาพิชัยสงคราม
ตำราทำธงมหาพิชัยสงคราม เป็นตำราของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เมื่อหลวงปู่ปานมรณภาพ ตำราก็เก็บไว้ที่นั่น
หลวงพ่อเล่าว่า ถ้าใครเอาตำราไปใช้ต่อ คนนั้นต้องรำดาบเข้าไปในที่ๆไว้ตำรา และจะต้องมีปรากฏการณ์เกิดขึ้น คือฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ฝนตก แล้วจึงจะเอาไปใช้เป็นตำราได้ จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีใครมีความสามารถที่จะไปเอาตำรามาได้ จนประเทศชาติมีภัยคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้น
หลวงปู่ปานมาบอกให้หลวงพ่อไปเอาตำรานี้ เพื่อมาทำแจกพวกทหารตำรวจ ที่รักษาประเทศตามชายแดนได้ใช้กัน สำหรับพระสงฆ์ถือดาบเข้าไป ไม่ต้องรำดาบ
หลวงพ่อก็ยกพวกไป มีข้าพเจ้า, ป้าอาด, คุณพวง, คุณดำรง นุตาลัย ยกขบวนไปกันเยอะ ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้หมด ไปถึงไปกินข้าวกินปลาเสร็จ
พอตกบ่ายหลวงพ่อก็ถือดาบเข้าไป ตอนนั้นท้องฟ้ายังอยู่ในสภาพปกติยังไม่ผ่า พอหลวงพ่อถือดาบฟ้าก็ร้อง ฟ้าผ่า ลมแรง ฝนตกใหญ่ พอตอนกลับลงเรือฝนก็ตก ฟ้าร้อง ลมแรง มาตลอดทางที่นั่งเรือกลับมาวัดท่าซุง
เมื่อได้ตำรามาแล้ว หลวงพ่อก็ทำผ้ายันต์ (แดง) พิชัยสงคราม ออกแจกทหารและตำรวจชายแดนตามภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคใต้ แต่มีที่ภาคใต้พวกนับถือศาสนาอิสลามหลายคน เขาไม่ขอรับแจก ต่อมาพวกนายทหารออกตรวจเยี่ยมลูกน้อง ก็ถูกคอมมิวนิสต์ยิงรถ ก็ต่อสู้กัน พวกก่อการร้ายก็หนีเข้าป่า
พวกที่นับถือศาสนาอิสลามที่ไม่ยอมรับธงพิชัยสงครามตาย ส่วนพวกมีธงพิชัยสงครามรอดตัวไม่เป็นไร
หลวงพ่อบอกว่า ใครได้ธงนี้ไป ถ้าคิดคดทรยศต่อชาติ จะมีอันเป็นไปภายใน 3 วันหรือ 7 วัน หรือทำให้สมองเสื่อม คิดไม่ออก นี่คืออานุภาพธงพิชัยสงคราม
เหตุการณ์ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้ ข้าพเจ้าประสบมาด้วยตนเองทั้งสิ้น ข้าพเจ้ามีความเคารพ และมีความเชื่อมั่นในคำสั่งสอน ตลอดจนปฏิปทาของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าเล่าถวายเป็นการบูชาคุณครูบาอาจารย์ คือหลวงพ่อที่ข้าพเจ้าเคารพเป็นอย่างยิ่ง
(คัดลอกบางส่วนจากเรื่อง "บูชาพระคุณหลวงพ่อ" หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 หน้า 31-33 ,36)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น