07 พฤษภาคม 2563

เรื่อง "เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติเดินได้ ๗ ก้าว"

วิสัชนาโดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต ซึ่งท่านจบวิศวกรรมโยธาจากแคลิฟอร์เนีย เมตตาตอบคำถามเรื่องการวิพากษ์ประวัติของพระพุทธเจ้า ผ่านมุมมองนักบวช นำลงในโอกาส วิสาขบูชา

#เกิดแล้วเดินได้_๗_ก้าว

คำถาม - มีการพูดกันว่า พุทธประวัติตอนที่พระพุทธเจ้าออกบวชเพราะสาเหตุการเมือง และมีวิเคราะห์กันตอนพระพุทธเจ้าประสูติ จะมีทารกที่ไหนก้าวเดินได้ ๗ ก้าว อย่างนี้หมายความว่าอย่างไรครับพระอาจารย์ ? 
 
พระอาจารย์ตอบ - "หมายความว่า พวกหูหนวกตาบอดไม่มีปัญญาเข้าถึงตัวจิต ไม่รู้ว่าพลังของจิตนั้นเป็นอย่างไร คนที่มีพลังจิตทำได้นะ เกิดมาแล้วเดิน ๗ ก้าวไม่ใช่เป็นเรื่องยากเย็นเลย ระดับจิตของพระพุทธเจ้า ระดับพระโพธิสัตว์ เป็นเรื่องง่ายดายมาก
 
แต่ก็พูดแบบคนไม่ปฏิบัติ เรียนอย่างเดียว เรียนแล้วก็เป็นเหมือนตาบอดคลำช้าง แล้วมาทะเลาะกันว่าช้างเป็นเชือกบ้าง เป็นงูบ้าง เป็นฝาผนังบ้าง คือพวกศึกษาแล้วไม่ปฏิบัติ ดังนั้นอย่าสนใจกับพวกใบลานเปล่าที่เต็มไปด้วยกิเลส โมหะ อวิชชายังเต็มอยู่ในหัวใจ ไปฟังหลวงปู่หลวงตาที่ไม่ได้เรียนนักธรรมดีกว่า ฟังพระที่ท่านปฏิบัติเข้าถึงตัวจิตดีกว่า แล้วจะรู้ว่าเป็นอย่างไร 
 
จิตเป็นตัวที่ลึกลับ มหัศจรรย์อย่างยิ่ง มีความรู้ความสามารถที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ ถ้าไม่ปฏิบัติจะเข้าไม่ถึงความจริงอันนี้ ต้องปฏิบัติแล้วจะไม่สงสัยเรื่องความรู้ ความสามารถของพระพุทธเจ้า 
 
สำหรับผู้ไม่ปฏิบัติ มันเป็นอจินไตยมันอยู่เหนือวิสัยที่จะรู้ได้ เรื่องของจิตถ้าไม่ปฏิบัติจะไม่เห็นความสามารถของจิต และจะไม่รู้ว่าจิตนี้เป็นอย่างไร 
 
เรื่องพระพุทธเจ้าอดข้าวถึง ๔๙ วันได้อย่างไร คนธรรมดานี้อดเพียงมื้อเย็นยังอดไม่ได้เลย นับประสาอะไรอดตั้ง ๔๙ วัน จิตของเรากับจิตของท่านมันคนละระดับกัน เราไม่สงสัยเลยเรื่องที่พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วเดินได้ ๗ ก้าว ขนาดวัว ควาย มันออกมายังเดินได้เลย แล้วทำไมคนระดับพระพุทธเจ้าออกมาแล้วจะเดินไม่ได้ ก็เด็กอัจฉริยะมีไม่ใช่หรอ เด็ก ๑๓ ขวบ ๑๔ ขวบ เรียนจบปริญญาก็มี ความรู้เขาระดับปริญญาตรี เพราะจิตของเขามันระดับอัจฉริยะ 
 
จิตนี้ ท่านแบ่งไว้ ๓ ระดับไง จิตที่ฉลาดกว่าพ่อกับแม่ จิตที่ฉลาดเท่ากับพ่อแม่ และจิตที่โง่กว่าพ่อแม่ จิตของพระพุทธเจ้าเป็นอภิชาตจิต อภิชาตบุตร เป็นบุตรที่ฉลาดกว่า เก่งกว่าพ่อแม่ ก็ขนาดเอาครูบาอาจารย์มาสอนพระพุทธเจ้ายังรู้มากกว่าครูบาอาจารย์ที่มาสอนอีก เพราะจิตท่านได้ศึกษามาแล้วนับไม่ถ้วนในอดีตชาติ มันติดมากับจิตไม่ได้หายไปไหน 
 
เราเห็นไหมคนที่เกิดมาแต่ละคน มีความสามารถที่แตกต่างกัน บางคนเก่งเรื่องวาดภาพไม่ต้องมีใครสอน ก็วาดได้อย่างสวยงาม บางคนก็เก่งเรื่องการแต่งเพลงแต่งดนตรี ของพวกนี้เป็นพรที่ติดมากับตนเอง เป็นสิ่งที่เคยทำมาในอดีตชาติ บางคนก็เก่งทางด้านคณิตศาสตร์ บางคนก็เก่งทางด้านวิทยาศาสตร์ ของพวกนี้พ่อแม่สอนไม่ได้ มันไม่ได้มาจากพ่อแม่ มันมาจากกรรมที่เรียกว่าการกระทำในอดีต ท่านถึงบอกว่าเรามีกรรมเป็นผู้ให้กำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นผู้ให้กำเนิดคือการกระทำของเราต่างๆ นานานี่แหละที่จะทำให้เรามีความรู้ความสามารถต่างๆ อย่างชาตินี้เรา กำลังมาสร้างกรรม มาสร้างความรู้ความสามารถให้กับจิตกัน 
 
ลองนั่งสมาธิจนได้ฌาน ชาติหน้าก็นั่งได้อย่างสบาย แต่ชาตินี้ที่นั่งไม่ได้เพราะชาติก่อนมันไม่เคยนั่งกัน ชาติก่อนมันมีแต่นั่งดูละครดูทีวีกัน เข้าใจไหม เรื่องของจิตเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่เหมือนร่างกาย จิตเหมือนร่างกายที่เปลี่ยนเสื้อผ้า ร่างกายนี้เป็นเหมือนเสื้อผ้าของจิต แต่ตัวจิตเป็นตัวเดิม นิสัยเดิม เคยฉลาดก็ฉลาดเหมือนเดิม เคยโง่ก็โง่เหมือนเดิม.."
 
#พุทธประวัติดูเหมือนอภินิหาร

คำถาม - คนที่พูดเรื่องนี้เขาก็เขียนว่า อยากให้มองธรรมะ หรือ พระพุทธเจ้าเป็นเชิงประวัติศาสตร์ อย่ามัวไปหลงงมงายกับอภินิหาร ผมก็อยากเรียนถามพระอาจารย์ เพราะผมอ่านแล้วไม่รู้จะระงับโทสะยังไง ด่าเราไม่ว่า ด่าพระพุทธเจ้า แล้วมีโทสะ ?
 
พระอาจารย์ตอบ - "ก็เรายังมีกิเลสอยู่ ถ้าไม่มีกิเลสเราจะมองด้วยความสมเพชเวทนา ว่ามันหลงได้ยังไง ไม่รู้เรื่องการเจริญพุทธานุสติว่าเจริญเพื่ออะไร เจริญเพื่อให้เราเกิดศรัทธา ที่อยากให้เราปฏิบัติ เหมือนที่ท่านได้ปฏิบัติมา ไปสนใจกับเรื่องการเมือง การบ้าน บ้าบออะไรต่างๆ ทำไม ดูการปฏิบัติที่สวยงามของท่านไม่ดีกว่าหรอ สาเหตุที่ทำให้ท่านต้องออกบวช จะด้วยสาเหตุอะไรก็ช่างปะไร ท่านได้บวชแล้ว ได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทำไมไม่สนใจตรงนั้นกัน ทำไมไม่ดูสิ่งที่เราควรจะดู ท่านฆ่ากิเลสได้ ท่านออกบวช ท่านอยู่ในป่าในเขาได้ 
 
พวกที่มาวิจารณ์พระพุทธเจ้ามันอยู่ในป่าในเขากันหรือเปล่า  หรือมันบวชแล้วมันอยู่ในห้องแอร์ บวชแล้วก็ไม่บิณฑบาตกัน แล้วก็มานั่งวิจารณ์พระพุทธเจ้าว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ มีลูกศิษย์ที่ไหน จะมากล้าวิพากษ์วิจารณ์ครูบาอาจารย์ นอกจากพวกบ้าเท่านั้นแหละ ไม่รู้หรอว่าตัวเองบวชได้เพราะใคร ศาสนานี้เกิดขึ้นได้เพราะใคร ไม่คิดกันบ้าง
 
คนที่วิพากษ์วิจารณ์พระพุทธเจ้า แต่ละรูปแบบไม่รู้ว่าวิพากษ์วิจารณ์ไปทำไม ทำไมไม่ดูในสิ่งที่ควรจะดูกัน ความจริงไม่มีส่วนไหนที่ไม่ดีหรอก ที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปก็พูดแบบไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่รู้จริง ใครเกิดอยู่ในสมัยนั้นกันบ้าง รู้เรื่องการเมือง การบ้านของเขาเป็นยังไงบ้าง ก็พูดกันเป็นตุเป็นตะเป็นเหมือนนิยายละครกัน พวกนิยายละครก็อย่าไปเชื่อมันนะ เขียนเรื่องจิต เรื่องวิญาณ เรื่องผี เรื่องบ้าต่างๆ นี้ มันไม่เคยเจอกันหรอก เขียนกันไปตามจินตนาการทั้งนั้นแหละ ของจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก ถ้าเก่งจริงไปเขียนในป่าช้าดูซิ นั่งเขียนในห้องแอร์ก็เขียนได้สิ จินตนาการไปว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ถ้าอยากรู้ว่าผีเป็นยังไงไปอยู่ในป่าช้าดูซิ ไปคนเดียวนะ แล้วจะเจอผีจริง บนเขา (เขาชีโอน) นี้ก็เหมือนกัน ถ้ากล้าก็มาอยู่ก็ได้ บางคนอยู่ได้แค่ ๒ ทุ่มก็ขอกลับล่ะ เห็นผีเต็มไปหมดเลย 
 
ผีมันไม่ได้อยู่ข้างนอก มันอยู่ในใจเรา ใจเราหลอกเราเอง ยิ่งกลัวมากผียิ่งหลอกเรามาก อย่าไปฟังพวกไม่ปฏิบัติ ฟังครูบาอาจารย์ ฟังพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีเยอะ พวกเรียน เรียนเยอะ แต่ไม่ปฏิบัติ 

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต 
วัดญาณสังวราราม ชลบุรี 
เมตตาตอบคำถามเรื่อง
การวิพากษ์ประวัติของพระพุทธเจ้า 
"ธรรมะบนเขา"
วันที่ 28 กันยายน 2556
 
เพจ Phra Suchart Abhijato 
(พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต)

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...