#เรื่องเล่าขานจากหลวงปู่ใหญ่เนื่องด้วยวันวิสาขบูชา
ลูกหลานทั้งหลายเอ๊ย ฯ:
หลวงปู่ใหญ่จักเล่าขานถึงปัจฉิมกาลก่อนพระตถาคตเจ้าจักเสด็จดับขันธปรินิพพาน ดังต่อไปนี้.....
ภายใต้อนันตจักรวาลอันไพศาลหาขอบเขตมิได้นี้ ประกอบไปด้วย "โลกธาตุ" จำนวนมหาศาลสุดจะนับประมาณได้
สำหรับโลกธาตุอันเป็นที่เกิดที่อาศัยของมนุษย์อันเป็นสัตว์มีสติปัญญาบริบูรณ์ มีจำนวน 10 โลกธาตุด้วยกัน
เทพยดาแห่ง 10 โลกธาตุนั้น เป็นผู้มีบุญญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์
ครั้นเมื่อเทวดาแห่ง10โลกธาตุนั้น ได้ทราบว่า "ชมพูทวีป" อันเป็นโลกธาตุเดียวเท่านั้นในอนันตจักรวาลที่จักมีพระพุทธเจ้ามา ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน..
เทพเหล่านั้นย่อมหมายจักมาร่วมสักการะบูชาพระพุทธเจ้า ในเหตุการณ์สำคัญ คือ กาลที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ๆ ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน นั่นเอง
การมาของเหล่าเทพทั้ง 10 โลกธาตุ เพื่อรวมตัวกัน ณ ชมพูทวีปนั้น นับเป็นสภาวะทิพย์วิเศษอันยิ่งใหญ่สุดพรรณนา
ณ ควงไม้สาละทั้งคู่ คือ ต้นสาละอันเกิดเป็นลำต้นคู่พิเศษสำหรับเป็นจุดที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
ฤดูนั้น แม้มิใช่กาลที่สาละจักผลิดอกได้ แต่ต้นสาละทั้งคู่กลับผลิดอกสะพรั่ง ร่วงหล่นโปรยปรายลงต้องพระสรีระพระตถาคตเจ้า
แม้ดอกมณฑารพแห่งสรวงสวรรค์อันเป็นทิพย์...
แม้จุรณแห่งจันทน์อันเป็นทิพย์...
ก็ร่วงหล่นจากนภากาศ มาต้องพระสรีระ เพื่อบูชาพระพระพุทธเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย
ดนตรีทิพยสังคีตแห่งเทพพรหมทุกชั้นฟ้า ก็บรรเลงสืบต่อกันมาในทุกท้องนภาลัย เพื่อบูชาไว้อาลัยต่อพระพุทธองค์
เพลานั้น พระอรหันต์มหาเถระรูปหนึ่ง นามว่า "พระอุปวาณะ" ทำหน้าที่ถวายงานพัดพระพุทธเจ้าอยู่
พระพุทธเจ้าดำรัสแก่พระอุปวาณะว่า "ภิกษุ เธอจงหลีกออกไปเถิด อย่าได้ยืนขวางเตียงตั่งตรงหน้าตถาคตเลย"
พระอานนท์เถระ แม้อยู่ในอาการโศกเศร้าสุดประมาณ แต่ก็ได้เอ่ยถามพระพุทธเจ้าไปเพื่อหมายบันทึกเหตุการณ์สำคัญนั้นไว้ให้บริบูรณ์ ว่า "พระพุทธเจ้าข้า เหตุใดพระองค์จึงทรงตรัสดังนั้น ด้วยพระอุปวาณะนี้ก็เป็นพระอุปัฏฐากใกล้ชิดพระผู้มีพระภาครูปหนึ่งมานานแสนนาน ไฉนจึงให้หลีกพระองค์ออกไปเสีย ?"
พระพุทธเจ้าตรัสตอบพระอานนท์ว่า
"อานนท์ เทพโดยมากใน 10 โลกธาตุมาประชุมกันเพื่อจะเยี่ยมตถาคต ณ สวนสาละวันของพวกเจ้ามัลละ อันเป็นทางเข้ากรุงกุสินาราแห่งนี้ ซึ่งมีเนื้อที่ 12 โยชน์โดยรอบ
พวกเทพผู้มีศักดิ์ใหญ่มีจำนวนมหาศาล เบียดเสียดกันอยู่เท่าปลายขนเนื้อทรายจรดลง พวกเทพทั้งหลายจักโทษว่า.. พวกเรามาไกลก็เพื่อจักได้สักการะพระตถาคตในปัจฉิมกาลนี้ มีเพียงครั้งคราวที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลก
ในปัจฉิมยามแห่งราตรีวันนี้ ตถาคตจักปรินิพพาน
ภิกษุผู้มีศักดิ์ใหญ่รูปนี้ยืนบังอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ทำให้เหล่าเทพทั้งหลายเกรงใจไม่สามารถเข้าเฝ้าพระตถาคตในปัจฉิมมกาลนี้ได้"
ท่านพระอานนท์ทูลถามต่อว่า "พวกเทวดาทั้งหลายเป็นอย่างไร ? คิดกันอย่างไร ? พระพุทธเจ้าข้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
"อานนท์เอย มีเทวดาบางพวก กระทำปาฏิหาริย์กำหนดแผ่นดินขึ้นมาบนชั้นอากาศ แล้วสยายผม ประคองแขน ร้องไห้คร่ำครวญ ล้มกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนคนเท้าขาด เพ้อรำพันว่าพระผู้มีพระภาคด่วนปรินิพพาน พระสุคตด่วนปรินิพพานเสียแล้ว จักษุของโลกจักด่วนอันตรธานไปแล้ว
มีเทวดาบางพวก กระทำปาฏิหาริย์กำหนดแผ่นดินขึ้นบนแผ่นดิน แล้วสยายผม ประคองแขนร้องไห้คร่ำครวญ ล้มกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนคนเท้าขาด เพ้อรำพันว่า พระผู้มีพระภาคด่วนปรินิพพาน พระสุคตด่วนปรินิพพานเสียแล้ว จักษุของโลก จักด่วนอันตรธานไปแล้ว
ส่วนพวกเทวดาที่ไม่มีราคะ มีสติสัมปชัญญะ อดกลั้นได้ ก็คิดว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เหล่าสัตว์จักพึงหาได้อะไรจากที่ไหนในสังขารนี้"
พระตถาคตทรงมีพระดำรัสต่อไปอีก ว่า...
" อานนท์เอย ตถาคตนี้จักชื่อว่ามีแต่มนุษย์พุทธบริษัท ๔ สักการะบูชา ก็หาไม่ ทิพยโลกทั้งหลายก็นอบน้อมบูชา ด้วยการเกิดแห่งตถาคตนี้เป็นความพิเศษ ยากยิ่งจักมีได้ ในห้วงกาลเทศะอันยาวนานหลายกัปกัลป์
แต่อันการบูชาสักการะต่อตถาคตนั้น สิ่งใดจักเสมอด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม หามีไม่
ฉะนั้น อานนท์แลมนุษย์พุทธบริษัททั้งหลาย พึงสำเหนียกอย่างนี้เถิดว่า เราจักเป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบตามธรรมอยู่ โดยมีศีลเป็นต้น มีโลกุตรธรรมเป็นที่หมาย นั้นแล คือการสักการะบูชาตถาคตที่ดีที่สุด"
--------------------
ที่มา
#ธรรมเทศนาหลวงปู่เทพโลกอุดร
#หลวงปู่เทพโลกอุดร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น