"..พระธรรมนี่พระสงฆ์นำมาแนะนำแก่บรรดาท่าน
พุทธบริษัท ถ้ายอมรับนับถือเป็นส่วนตัวก็สามารถ
จะพ้นนรกได้แน่นอนชาตินี้ แต่ชาติต่อไปเราก็ไม่แน่
แล้วการที่จะคิดว่าชาติต่อไปเราอาจจะเกิดเป็นคน
เราจะยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า หรือพระอริยสงฆ์
ต่อไปนี่ไม่แน่นอนนักเพราะการเกิดแต่ละชาติ
เราไม่ได้รับแต่ผลของความดีฝ่ายเดียว เป็นการรับ
ผลทั้งความดีและความชั่ว จะเห็นว่าคนที่เกิดมา
แล้วนี้ไม่ใช่มีความสุขอย่างเดียว อารมณ์ที่ทำให้เกิด
เป็นทุกข์ก็มีอยู่หรือไม่ได้มีแต่ความทุกข์อย่างเดียว
อารมณ์ที่เป็นสุขก็มีอยู่
ขณะใดที่อารมณ์ความเป็นสุขเกิดขึ้น ขณะนั้นถือว่า
รับผลของกุศลเก่า คือบุญเก่าที่เราทำไว้แล้วในชาติ
ก่อนๆ มาสนองเราเราก็มีความสุข
ผลของทานเป็นปัจจัยให้ได้ลาภสักการะ
ผลของการรักษาศีลให้เกิดความสุขหลายๆ ประการ
ผลของการเจริญภาวนาและศึกษาธรรม เป็นเหตุ
ให้เกิดปัญญามีความฉลาด
ถ้าผลของความทุกข์ ผลของปาณาติบาต ทำให้คน
มีอายุสั้นพลันตาย
ผลของอทินนาทาน ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ผลของกาเมสุมิจฉาจาร ทำให้ลูกหรือบุคคลใน
ปกครองว่ายากสอนยาก ไม่อยู่ในโอวาท แนะนำ
อย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง
ผลของมุสาวาท เกิดมาชาตินี้ในระหว่างนั้นให้ผล
พูดดีเท่าไรก็ไม่มีคนอยากรับฟัง
ผลของการดื่มสุราเมรัย ทำให้เป็นโรคปวดศีรษะ
ไม่หายหรือเป็นโรคเส้นประสาทหรือว่าเป็นโรคบ้า
ทั้งหมดตามที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นผลจากความดีหรือ
ความชั่วในชาติก่อน ที่ยังตามมาสนองเรา ถ้าบังเอิญ
เกิดในชาตินั้นยามจะตาย ผลของอกุศลก็ครอบงำจิต
พอดี เราก็ลืมพระพุทธเจ้า ลืมพระอริยสงฆ์ ทั้งนี้เพราะ
ความมั่นคงของจิตไม่มี ถ้าความมั่นคงของจิตมีต้อง
ปฏิบัติในธรรม ให้ธรรมทรงตัวทรงใจ หมายความว่า
การจะพูดก็ดี การจะทำก็ดีการจะคิดก็ดี อยู่ในขอบ
เขตของพระธรรม
เพราะว่า พระธรรมนั้นพระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรา
ปฏิบัติในด้านของความดี และก็พระธรรมขององค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สอนก็ทรงสอนไว้ถึง
๘๔,๐๐๐ หัวข้อ เราจะปฏิบัติกันอย่างไรได้หมด
อันนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทอาจจะเป็นเครื่อง
อัดอั้นตันใจสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
เพราะว่าถ้าพูดถึงพระธรรมแล้วไม่รู้จะเอาตรงไหนดี
ก็เอากันอย่างนี้ก็แล้วกัน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระธรรมวินัยที่พระองค์ตรัส
ไว้แล้วหลายหมื่นหัวข้อ ถึง ๘๔,๐๐๐ หัวข้อ ท่าน
บอกว่าให้เลือกปฏิบัติตามที่เราเห็นสมควรที่พอจะ
ปฏิบัติได้ เพราะการที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มากๆ ก็
ทราบว่า อัธยาศัยของคนไม่เสมอกัน กำลังใจของ
คนก็ไม่เสมอกัน อัธยาศัยต่างกันอย่างหนึ่ง กำลังใจ
ต่างกันอย่างหนึ่ง ก็มีความจำเป็นต้องตรัสไว้มาก
เพื่อความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายกำลังฟังเรื่อง
การปฏิบัติตนเพื่อให้พ้นนรกคำว่า "นรก" ก็หมายถึง
เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ต้องการจะหนีนรกกัน
แล้วเราก็ปฏิบัติกันอยู่ในขอบเขตของสังโยชน์ ๓
ประการ ในเมื่อปฏิบัติอยู่ในขอบเขตของสังโยชน์
๓ ประการ ก็เอาพระธรรมวินัยที่อยู่ในขอบเขตของ
สังโยชน์ ๓ ประการมาปฏิบัติไม่ใช่ว่ากันดะไปทั้งหมด
พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในขอบเขตของ
สังโยชน์ ๓ ประการ ก็คือ "ศีลห้า และกรรมบถ ๑๐ "
ถ้าการปฏิบัติศีลห้าครบถ้วน ก็ถือว่าได้ความดี หนีนรก
ได้แบบหยาบๆ ชาตินี้มีความสุขแต่ความสุขน้อยไป
หน่อย ชาติหน้ามีความสุขแน่แต่ด้อยไปนิดหนึ่ง
กาลเวลาที่จะถึงนิพพานยังไกลอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น