คำว่า #วิปัสสนาญาณ นี่มีกำลังอยู่อย่างหนึ่ง คือที่เราจะต้องรู้ คือ #ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง อันนี้มันไม่มีอะไรยากหรอก ทีนี้อารมณ์ของวิปัสสนาญาณ มันก็คือยอมรับนับถือกฎของธรรมดา หรือว่ายอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง ให้รู้ว่าร่างกายนี่มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เพราะว่าอะไร เพราะว่ามันพังแน่ ถ้ามันเป็นเราจริง มันเป็นของเราจริง มันจะอยู่ได้ยังไง มันก็ต้องตามใจเรา แต่นี่ทุกอย่างเราไม่ต้องการให้มันแก่ มันก็จะแก่ เราไม่ต้องการให้มันป่วย มันก็ป่วย เราไม่ต้องการให้มันหิว มันก็จะหิว เราไม่ต้องการให้มันเหนื่อย มันก็เหนื่อย เราไม่ต้องการให้มันร้อน มันก็จะร้อน เราไม่ต้องการให้มันปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ถึงเวลามันจะปวดมันก็ปวด มันไม่ตามใจเราสักอย่าง
นี่เป็นอันว่ามันกับเราคบกันไม่ได้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็รู้แต่เพียงว่าร่างกายนี้เป็นที่อาศัยชั่วคราวของเราเท่านั้น #เราคืออทิสสมานกายหรือที่เรียกกันว่าจิตใจ ที่เข้ามาอาศัยกาย ร่างกายอันนี้มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก พอจิตใจของเราเบื่อในร่างกาย คิดว่ามันไม่ดี แดนที่ดีมีแห่งเดียวคือ #พระนิพพาน #จิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วความสงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่มี
ทีนี้ก็ไปดูอีกทีว่า ศีลของเราบริสุทธิ์ไหม ไปมองดูศีล เอ้อเฮอ.ศีลบริสุทธิ์จริง ๆ เราไม่ต้องระมัดระวังมันก็ไม่ละเมิดในศีล ไปมองดูอารมณ์ความรักในเพศตรงกันข้าม ความพอใจในกามารมณ์ไม่มี ความรู้สึกในเพศไม่มี ความต้องการจะสมสู่อยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยาไม่มี ในเมื่อระงับความรู้สึกในเพศไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว อย่างนี้ชื่อว่าเราเข้าถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วล่ะ ต่อไปนี้ขยับไปอีกนิดดูซิว่า เอ๊ะ ! นี่เราโกรธชาวบ้านเขาไหมใครเขานินทาว่าร้ายเรา เราโกรธเขาไหม ถ้าโกรธก็ใช้ไม่ได้นะ มันต้องไม่โกรธเขา เขาจะด่าเขาจะว่าเรายังไงก็ช่างเขาปะไรล่ะ เขาเหนื่อยเองนี่ ลูกหลานที่รัก เราไปเหนื่อยที่ไหน เราไม่ได้เหนื่อยด้วย ตอนนี้เป็นอารมณ์หยาบ ๆ เราตัดได้แล้ว
ต่อไปก็มาถึง เอ๊ะ ! นี่เรามัวเมาอยู่ในรูปฌานไหม การทรงฌานเป็นของดีมีกำลังตั้งมั่น จิตใจมั่นคงเมามันอยู่ในรูปฌานไม่สร้างความดีต่อไป ใช้ไม่ได้ เราถือว่าแค่รูปฌานหรืออรูปฌานทั้ง ๒ ประการนี้ เป็นบันไดเพื่อวิปัสสนาญาณเท่านั้น แต่ว่าเรื่องฌานเราก็ทิ้งไม่ได้เหมือนกัน ประคับประคองไว้คู่กันกับวิปัสสนาญาณ มันเป็นการคุมกำลังใจให้ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
#ทีนี้มานะ #การถือตัวถือตนว่าเราดีกว่าเขา #เราเลวกว่าเขา #เราเสมอเขา นี่ มันมีในใจแล้วหรือยัง หมดไปแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่หมด ก็ต้องตำหนิว่าเลวเกินไป การเปรียบเทียบอย่างนั้นมันเปรียบเทียบไม่ได้
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมามันเป็นเรื่องของธรรมดา ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว แล้วไม่มีใครเสมอกัน เอาอะไรมาเสมอกัน เวลานี้เราหิว เขายังไม่หิว เวลานี้เราร้อน เขายังไม่ร้อน เวลานี้เราง่วง เขายังไม่ง่วง มันจะเสมอกันได้ยังไง ถ้ามันเสมอกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องพร้อมเพรียงกัน ก็ยังไม่มีอะไรเสมอกัน ในที่สุดอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์ปล่อยพระนิพพานมันมีหรือเปล่า ถ้ายังมีอยู่ ยังใช้ไม่ได้ #อารมณ์ของเราจับไว้เฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว และในที่สุดก็ #ตัดฉันทะ ความพอใจในการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม ราคะ ที่เห็นว่า
โลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลก สวยสดงดงาม โยนทิ้งไปเสีย เห็นว่าสิ่งทั้ง ๓ ประการนี้ไม่มีอะไรจะดี คือมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก มันหาดีไม่ได้ #สิ่งที่เราต้องการมีแห่งเดียวคือพระนิพพาน
ตอนนี้จิตใจของบรรดาลูกหลานทั้งหลายถ้าทำได้นะ มันจะมีแต่ความสบายอย่างเดียว นี่พระที่เราไปหาทั้งหมดนี้น่ะ ท่านมีอารมณ์ใจอย่างนี้นะลูกหลานที่รัก ทีนี้อารมณ์ใจของท่านมีแต่ความผ่องใส มองไปที่ไรมันเป็นแก้วประกายพรึก สวยสดงดงามสว่างจ้า หาความมืดมนไม่มีเลย หาความมัวหมองไม่มี จึงได้พาลูกหลานและบริษัททั้งหลายไปนมัสการท่าน ทีนี้ปฏิปทาที่กล่าวมานี้ ถ้าเราจะฟังไปแล้วรู้สึกว่าเป็นของยาก แต่ความจริงมันไม่มีอะไรยาก ถ้า
เรามีกำลังใจเป็นเครื่องชนะใจเสียตัวเดียว เราตัด กิเลส 6 ตัว คือ ความโลภ หรือว่าความโกรธ หรือว่า ความหลง ตัวนี้ถ้าเราพังตัวใดตัวหนึ่งให้มันพังไปได้เสียตัวเดียว อีก ๒ ตัวก็สิ้นกำลังเหมือนกัน
นี่ถ้าจะตัดตัวไหนก็ตัดตามความพอใจของเรา เราจะตัดโลภก่อน หรือว่าจะ
ตัดโกรธก่อน หรือว่าเราจะตัดหลงก่อน เลือกตัดกันตามอัธยาศัย ตามที่เราพอใจ ความโลภเราตัดได้ด้วยการให้ และเวลาที่เราจะให้ เราต้องให้โดยไม่หวังผลในการตอบแทน เราต้องการอย่างเดียวคือให้เพื่อการสงเคราะห์ และให้ผู้รับมีความสุขในการให้ นี่ให้ด้วยอำนาจของวัตถุ และมีให้อีกตัวหนึ่งที่ให้เข้าไปตัดกิเลสอื่นทั้งหมด ก็คือให้อภัย #ที่เรียกกันว่าอภัยทาน ใครเขาสร้างความไม่ดีให้เกิดขึ้นกับเรา เราไม่โกรธเขา ให้อภัย ถือว่าเป็นความเข้าใจผิดของเขาโดยเฉพาะ ถ้าเขาไม่มีความเข้าใจผิดแล้ว เขาก็ไม่สร้างความชั่ว ไม่สร้างความสะเทือนใจให้เกิดขึ้นแก่เรา
นี่ทำง่ายๆ เพียงเท่านี้แหละบรรดาลูกหลานที่รัก ค่อย ๆ ทำไปนะ วันหนึ่งตั้งกำหนดใจไว้วันละ ๒ - ๓ นาที ว่าเราจะชนะความโลภ ความโกรธ ความหลง ใครมาพูดเรื่องความร่ำรวย ตอนนี้วางไม่เอา เขาพูดนินทาว่าร้ายให้โกรธ วาง ไม่เอา พูดว่าไอ้นั่นดี ไอ้นี่ดี ไอ้นั้นของกู นี่ของกู เราก็คิดว่า นี่มันพังหมดทั้งสิ้น เราควบคุมกำลังใจไว้วันละสัก ๕ นาที เพียงเท่านี้แหละ ลูกหลานที่รัก เพียงไม่นานนักจิตใจของบรรดาลูกหลานทั้งหมดก็จะปรากฏว่าเป็นดวงใจที่มีความสดใสเหมือนดาวประกายพรึกเช่นเดียวกับพระ ๔ องค์ที่เราไปนมัสการ ถ้าอยากจะรู้ใจท่าน รู้ใจบุคคลใดได้นั้น ก็ต้องฝึกด้านทิพจักขุญาณ อันนี้ตำรามีแล้วในคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน
🙏🏻🙏🏻พระธรรมคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง)
ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
✍🏻📖หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖ หน้าที่ ๔๔~๔๖
✍🏻นภา อิน 🙏🏻🙏🏻
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น