11 ธันวาคม 2563

พ่อปู่หมอชีวกโกมารภัจจ์ รักษาพระพุทธเจ้า ทุกโรค

*หลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ~หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เล่าให้ฟัง*

..." เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในตอนนั้น ก็มีท่านผู้หนึ่งที่เราได้ยินชื่อกันอยู่เสมอ คือ "ท่านหมอโกมารภัจจ์"

~ ซึ่งเป็นหมอสำคัญ ขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ คอยรักษาโรค และก็เป็นหมอที่มีความรู้เป็นพิเศษจริง การไปศึกษาของท่านนั้นปรากฏว่า.. ไปศึกษาวิชาเวชศาสตร์ มีความฉลาดสามารถมาก ยิ่งกว่าลูกศิษย์ใด ๆ จากสำนักตักศิลา.

* "ท่านโกมารภัจจ์" ประวัติก็มีอยู่ว่า.. เป็นลูกพิเศษของพระเจ้ากรุงราชคฤห์.

~ คำว่า "เป็นลูกพิเศษ" นี่ก็หมายความว่า อาจจะเป็นลูกจากเมียพิเศษ ที่เจ้าย่องไปเจ้าชู้นอกเขตพระราชฐาน ผู้หญิงคนนั้นก็เลยมีลูกขึ้นมา ๒ คน คนแรกชื่อว่า "โกมารภัจจ์" เป็นลูกคนหัวปี คนที่สองมีนามว่า "สิริมา" เป็นคนสวยที่สุดในสมัยนั้น.

~ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ไม่ได้รับว่าเป็นลูกโดยตรง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธในด้านจิตใจ คือ คอยสงเคราะห์ตลอดเวลา แต่เป็นการสงเคราะห์แบบลับ ๆ

* ฉะนั้น ชื่อของ "ท่านโกมารภัจจ์" ก็ดี "สิริมา" ก็ดี ไม่ได้ชื่อเป็นเจ้า แต่ว่าเขาให้ฐานะดีมาก และก็เป็นคนใกล้กับพระราชฐาน อยู่ตลอดเวลา เพราะเจ้ารู้ว่าเป็นลูก แต่ยอมรับไม่ได้ ประกาศเปิดเผยไม่ได้ แต่ก็เลี้ยงอย่างลูกสงเคราะห์อย่างลูกเหมือนกัน.

~ เมื่ออายุได้ ๑๖ ปี ก็ส่งไปสู่เมือง "ตักศิลา" ท่านตั้งหน้าตั้งใจศึกษาวิชาเวชศาสตร์อย่างเดียว.

* เมื่อเวลาเรียนจบ ก็ลาอาจารย์กลับบ้าน อาจารย์อยากจะทดลองความสามารถ จึงได้บอกให้ท่านโกมารภัจจ์ จัดกระจาดเข้าสองลูก ทำเป็นหาบใส่สาแหรกหาบไป และมีมีด ๑ เล่ม มีเสียม ๑ เล่ม มีค้อน ๑ อัน บอกว่า..

~ "เจ้าจงเดินไปได้ ๔ ทิศ ทิศละ ๑ โยชน์ ดูผักหญ้า ต้นไม้ พืชพันธุ์ธัญญาหาร ดิน ทราย แม้แต่แร่ต่าง ๆ ดูว่าถ้าสิ่งไหนมันไม่เป็นยาละก็ ตัดมาให้ครูดูหรือขุดมาให้ครูดู"

~ "ท่านโกมารภัจจ์" ใช้เวลาแบบนี้ประมาณเดือนเศษ พอเดินไป ๑ โยชน์ กว่าจะถึงหนึ่งโยชน์ ก็ต้องเดินดูไปตลอด ทุกอย่างตามทิศทางที่อาจารย์บอก.

* เมื่อไปครบได้ทุกทิศทุกทาง ด้านละ ๑ โยชน์ ก็ปรากฏว่า กลับมาหาบเปล่า หาอะไรที่ไม่เป็นยา ไม่ได้เลย พอมาถึงก็รายงานอาจารย์บอกว่า..

~ " ไม่มีละ สิ่งที่ไม่เป็นยานะ เป็นดิน เป็นทราย เป็นหิน เป็นกรวด เป็นต้นไม้ เป็นต้นหญ้า ไม่ว่าอะไรทั้งหมด มันเป็นยาทั้งหมด "

~ ปรากฏว่า ท่านอาจารย์ก็ชมเชย บอกว่า.. "ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นกลับบ้านได้ ถ้ายังหาว่าทุกสิ่งทุกอย่าง หรือ อย่างใดอย่างหนึ่งในโลกนี้ ไม่เป็นยาละก็กลับบ้านไม่ได้ ถือว่ายังเรียนไม่จบ" แล้วท่านก็ลากลับ.

* ตอนกลับก็เดินมาในระหว่างทาง ไม่ทันถึงกรุงราชคฤห์มหานคร เวลาตอนเย็นวันหนึ่งมันใกล้ค่ำ ท่านพักอยู่โคนต้นไม้ใกล้บ้านเศรษฐี พอดีท่านมหาเศรษฐีเดินออกไปพบเข้า.

~ ถามว่า : "ไปไหนมา"

~ ท่านก็บอกว่า : "ไปเรียนวิชาเวชศาสตร์ คือ วิชาหมอที่เมืองตักศิลา"

* ก็บังเอิญภรรยาของท่านเศรษฐีเป็นโรคปวดศรีษะมา ๓ ปี ทำงานไม่ได้ ใช้สมองไม่ได้.

~ ท่านมหาเศรษฐีถามว่า : "จะรักษาหายไหม เห็นว่าเป็นหมอ"

~ ท่านก็บอกว่า : "ต้องดูอาการก่อน"

~ พอเข้าไปดูอาการ ก็บอกว่า : "จะทดลองดูเพราะว่า เพิ่งเรียนหมอมาใหม่ ๆ ยังไม่มั่นใจว่าจะรักษาหาย หรือไม่หาย แต่ว่ายาไม่ได้มีติดมือมาเลย"

~ ท่านมหาเศรษฐีก็ถามว่า : "ต้องการอะไรบ้าง"

~ ท่านถามว่า : "มีเนยใสไหม"

~ ท่านมหาเศรษฐีก็บอกว่า : มี

~ และก็ถามท่านมหาเศรษฐีว่า : "ไอ้หญ้าประเภทนี้มีไหม"

* อาตมาก็ลืมชื่อหญ้าเสียแล้ว ท่านก็บอกว่ามี ( ถ้าบอกชื่อก็หาไม่ได้ เพราะไม่รู้จักกัน )

~ ให้เอาของทั้งสองอย่าง คือ เอาหญ้ามาโขลกเข้า แล้วเอาเนยใส เข้าไปละลายแล้วคั้นเอาน้ำออกมา กรองให้ดี.

~ แล้วก็หยอดเข้าไปในจมูก ของภรรยาท่านมหาเศรษฐี พอหยอดเข้าไปเท่านั้นก็ปรากฏว่า.. ภรรยาของท่านมหาเศรษฐี มีทั้งน้ำมูก มีทั้งเสลด ออกมาทั้งทางจมูกทางปากออกมาอย่างมาก ในที่สุดในขณะเดียวกันก็ปรากฏว่าหายปวดทันที.

* ท่านมหาเศรษฐี ก็จัดรางวัลเป็นการใหญ่ "ท่านโกมารภัจจ์" ท่านก็รับ เวลาจะกลับท่านก็มอบคืน ท่านไม่บอกว่า "คืน" มอบของทั้งหลายเหล่านี้ไว้เพื่อได้สงเคราะห์คนจนต่อไป.

~ นี่เป็นประวัติตอนต้น แล้วท่านก็เดินทางต่อไป ..

* ต่อมา "ท่านโกมารภัจจ์" ก็ได้เป็นหมอประจำพระองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะทรงประชวร ด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ท่านโกมารภัจจ์ ประกอบยาแค่เม็ดเดียว เสวยครั้งเดียวหายทันที.

~ นี่จะเห็นว่า แม้องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาเป็นพระอรหันต์ และเป็นยอดอรหันต์ เป็นจอมอรหันต์ ก็ยังป่วยไข้ไม่สบาย ก็ยังแก่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายก็อย่าคิดว่าพระอรหันต์ไม่ป่วย.

* ต่อมา ในกาลครั้งหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถูกพระเทวทัตกลิ้งหินลงมา มีความปรารถนาจะให้ทับสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ตาย จากยอดเขาคิชฌกูฎ ( พระพุทธเจ้านั่งอยู่เชิงเขา เทวทัตขึ้นไปยอดเขา ก็กลิ้งหินให้ทับ )

~ แต่เป็นการบังเอิญ ที่มีหินก้อนใหญ่มหึมาก้อนหนึ่ง ปรากฏโผล่ขึ้นมากันหินที่พระเทวทัตกลิ้งมา แตกกระจัดกระจาย เศษหินถูกพระบาทของสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ที่นิ้วพระบาทห้อพระโลหิต.

~ เมื่อองค์พระธรรมสามิสร มีอาการอย่างนั้น "ท่านโกมารภัจจ์" ก็ประกอบยาถวายปิดลงไปที่ห้อพระโลหิต แล้วเอาผ้าผูกไว้.

~ พอเสร็จแล้ว ก็ลาสมเด็จพระจอมไตร ไปภายนอกกำแพงวัง คุยกับเพื่อนเพลินไป โอกาสนั้นประตูเมืองเขาปิด ๖ โมงเย็น ท่านเลยเข้าประตูเมืองไม่ได้.

* ก็ร้อนใจคิดว่า.. โอหนอ ยาที่ถวายองค์สมเด็จพระจอมไตร เป็นยาแรง เวลานี้แผลก็คงหายแล้ว อีกประการหนึ่ง เมื่อแผลหาย ยาที่ยังอยู่ที่นิ้วพระบาทขององค์สมเด็จพระจอมไตร จะทำให้พระองค์ทรงมีความลำบาก เพราะยามีความร้อน.

* ตอนนั้นเองเวลาเดียวกัน สมเด็จพระชินวร ทรงทราบวาระจิตของท่านโกมารภัจจ์ ว่ามีความลำบากใจ คิดว่ายาจะเป็นโทษแก่เรา.

~ จึงได้เรียกพระอานนท์เข้ามาตรัสว่า : "อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอจงแก้ผ้ามัดนิ้วฉันออกไปแล้วจงเอายาออก"

~ เมื่อแก้ผ้าออกแล้ว พระอานนท์ก็เอาน้ำที่สะอาดมาล้างให้

~ ตอนวันรุ่งขึ้น "ท่านโกมารภัจจ์" เข้าเมืองได้ ก็รีบมาเฝ้าสมเด็จพระจอมไตรถามว่า : "ยามีอันตรายแก่พระองค์ไหม"

~ พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่า : "ไม่มี เวลานี้ฉันให้พระอานนท์แก้ออกมาแล้ว"

~ ท่านถามว่า : "แก้เวลาไหน"

~ พระพุทธเจ้าก็ตอบว่า : "แก้เวลาเมื่อเธอลำบากใจคิดว่ายาจะมีอันตรายกับฉัน"

* นี่เป็นตอนหนึ่ง ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จภควันต์บรมศาสดาป่วยเป็นอะไร ท่านโกมารภัจจ์ก็รักษาหายทันทีทันใด..."

( จากหนังสือ *พ่อสอนลูก* ของหลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี..คัดลอกโดย ยุพยง พัฒนเจริญ

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...