30 เมษายน 2563

การรักษาโรค ของหลวงพ่อปาน

ประวัติ พระครูวิหารกิจจานุการ  (หลวงพ่อปาน โสนันโทเถระ)   วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นำมาแบ่งปัน 
ตอนที่ 9
ด้วยความไม่ติดอยู่ในยศถาบรรดาศักดิ์ ท่านจึงได้ปฏิเสธตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางนมโค กล่าวคือ เมื่อหลวงปู่คล้ายเจ้าอาวาสวัดบางนมโครูปก่อนมรณภาพลง ทายกทายิกาพระภิกษุสงฆ์ได้พร้อมใจกันอาราธนาท่านขึ้นครองวัดบางนมโคแทน ท่านก็ไม่รับท่านให้เหตุผลว่า ท่านหน่ายเสียแล้วจากกิเลสอันจะมาเป็นเครื่องขวางกั้นทางพระนิพพาน กลับแนะนำท่านสมภารเย็น ซึ่งเวลานั้นเป็นพระลูกวัดธรรมดาขึ้นรับตำแหน่งแทน ส่วนท่านขอเป็นพระลูกวัดต่อไปอย่างเดิม
ด้วยความที่ท่านได้เสริมสร้างความเจริญให้แก่ท้องถิ่นบางนมโคและสถานที่อื่นๆ มากมาย โดยไม่ได้หวังจะได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์ตอบแทนแม้ว่าจะมีเชื่อพระวงศ์ชั้นสูง จะมาเป็นลูกศิษย์ของท่านอยู่มากมายก็ตาม
ในที่สุดความดีของท่าน ทางฝ่ายบ้านเมืองจึงตอบแทนความเป็นผู้เสียสละของท่านด้วยการมอบถวายสมณศักดิ์ให้แก่ท่านเป็นที่ "พระครูวิหารกิจจานุการ" ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2474 โดยมี
1. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ
2. พระวรวงศ์เธอ กรมพระนครสวรรค์ศักดิ์พินิจ
3. หม่อมเจ้าโฆษิต
4. หม่อมเจ้านภากาศ
5. ท้าววรจันทร์
ข้าราชการและบรรดาสานุศิษย์ของท่านได้นำพัดยศพระราชทานมาให้ท่านถึงที่วัด โดยนำไปมอบให้ท่านในพระอุโบสถ ตามพระบรมราชโองการท่ามกลางคณะสงฆ์และชาวบ้านต่างแซ่ซ้องสาธุการกันถ้วนหน้า
แต่หลวงพ่อปานเองท่านก็วางเฉยด้วยอุเบกขา และแม้จะได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นที่พระครูวิหารกิจจานุการแล้ว ท่านเองก็ยังคงเป็นหลวงพ่อปานรูปเดิม ปฏิบัติกิจวัตรอย่างที่แล้วๆ มา แต่ผู้ที่ยินดีที่สุดกลับเป็นบรรดาศิษยานุศิษย์
หลวงพ่อปานรักษาโรค
ในเรื่องการรักษาโรคช่วยชีวิตคนของหลวงพ่อปาน เป็นที่เลื่องลือมากในสมัยนั้น ผู้คนต่างแห่กันมาที่วัดจนแน่นขนัด จนไม่มีที่รับรองแขกเพียงพอ
วิชาการรักษาโรคและวิชาการบางอย่างที่หลวงพ่อปานสำเร็จและนำมาช่วยเหลือผู้ได้รับทุกข์ เท่าที่เกิดปาฏิหาริย์และได้รับการบันทึกไว้มีมากมาย ตัวอย่างเช่น รักษาโรคด้วยน้ำมนต์ โรคที่ท่านรักษาด้วยน้ำมนต์ เรียกว่าโรคภายใน เช่น บางคนถูกของ ถูกคุณ ถูกเขากระทำมา โรคที่เกิดจากกรรมเวร ถูกผีสิง เป็นต้น บางครั้งก็ต้องแป้งเสกควบคู่ด้วย
ในตอนเพล ขณะที่ท่านพักผ่อนท่านจะทำการเสกน้ำมนต์เตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อเวลาอาบจะได้สะดวก และท่านได้ใช้เวลาในการอาบนั้นบริกรรมเสกเป่าเฉพาะรายอีกด้วย
น้ำมนต์ของท่านนี้ศักดิ์สิทธิ์นักและกรรมวิธีในการรักษาโรคด้วยน้ำมนต์ แบ่งออกเป็น 3 ช่วงระยะ คือ
ช่วงแรก ท่านจะเรียกคนไข้มาหาแล้วถามชื่อเสียงเรียงนาม ถามอาการแล้วยื่นหมากให้คำหนึ่ง คาถาที่ใช้เสกหมากนี้ท่านบอกผู้ใกล้ชิดว่า ใช้ดังนี้จะขลังหรือไม่อยู่ที่จิตของผู้ทำ
"ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วว่า โสทาย นะโม พุทธายะ ลัมอิทังโล นันโทเทติ ยาทาโลเทตีติ"
เมื่อคนไข้ได้รับหมากเสกแล้วให้เคี้ยวให้แหลก บ้วนน้ำหมากทิ้งเสียสามที กลืนลงคอไป ให้คนไข้สังเกตดูว่าหมากนั้นมีรสอะไร แล้วบอกหลวงพ่อปาน จากนั้นก็จะทำการรักษาตามวิธีของท่าน
หลวงพ่อปานท่านบอกว่า รสหมากนั้นบอกโรคได้ดังนี้
รสเปรี้ยว แสดงว่าต้องเสนียดที่อยู่อาศัย เข้ามาเกี่ยวข้อง คือมีของต้องห้ามอยู่กับบ้าน เช่น มีไม้ไผ่ผูกส่วนต้นส่วนปลายอยู่ในบ้าน มีตออยู่ใต้ถุนบ้าน ที่เรียกว่า ปลูกเรือนคร่อมตอ หรืออย่างอื่น ต้องจัดการเรื่องนี้เสียก่อนแล้วจึงรักษาหาย ส่วนมากแล้วหลวงพ่อปานจะใช้ญาณดูแล้วบอกว่ามีอย่างไหนบ้าง ให้แก้เสียก่อน
รสหวาน แสดงว่าต้องแรงสินบนอย่างใดอย่างหนึ่ง คนไข้หรือคนในบ้านบนไว้ ต้องนึกให้ออกว่า ตนเคยบนบานศาลกล่าวอะไรบ้าง ถ้านึกได้ ผู้ป่วยไข้จะต้องเอาดอกไม้ธูปเทียนไปจุดบูชากลางแจ้ง ขอทำการแก้บนให้ถูกต้องในภายหน้าต่อไป
เมื่อกลับมาหาท่าน ท่านจะรดน้ำมนต์ให้ รดแล้วจะต้องให้กินหมากเสกอีกว่า หมดสิ้นหรือยัง ถ้าไม่มีรสหวานก็หมดแล้ว ถ้ายังหวานอยู่ก็ต้องนึกดู ก็ต้องแก้บนอีก แล้วจึงรักษาหาย
รสขม แสดงว่าต้องคุณคน คือถูกของที่มีผู้ใช้เดียรัจฉานวิชานำมาไว้ในตัว เช่น ในท้องมีตะปูบ้าง มีเข็มเย็บผ้าบ้าง ไม้กลัดผูกกากบาทบ้าง ด้ายตราสังข์มัดศพ เปลวหมูบ้าง หนังสัตว์บ้าง
ของเหล่านี้จะทำให้คนไข้เจ็บปวดเสียดแทงในร่างกายเป็นที่ทรมานนัก คนไข้ประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นหญิง ที่เป็นชายมีน้อย โดยมากพวกนี้มักจะรับจ้างทำร้ายผู้อื่น หรือไม่ก็ปล่อยไปตามยถากรรม ถูกใครก็เจ็บไป ทำร้ายใครไม่ได้ก็กลับมาเข้าตัวเอง เคยมีแขกผู้หนึ่งถูกของของตัวเอง หลวงพ่อปานท่านแก้ให้แล้วขอสัญญา ให้เลิกอาชีพนี้เสีย
คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อท่านจะเสกน้ำมนต์พิเศษใส่กระป๋องน้ำ เพื่อให้คนที่แช่เท้าทั้งสองข้างไว้ เพื่อเวลารดน้ำมนต์ ของที่อยู่ในตัวจะได้หลุดออกมาทางเท้าอยู่ในกระป๋องน้ำมนต์
มีอาการยันหมาก มึนงงศีรษะเวียนศีรษะ อย่างนี้หลวงพ่อท่านว่าถูกคุณผี คือมีอาการใช้ผีมาเข้าสิง คนไข้นั้นจะสำแดงอาการกิริยาผิดปกติ ถ้าผียังสิงอยู่ จะไม่ยอมกินหมากเสกหลวงพ่อ ต้องใช้อำนาจจิตบังคับให้กิน ถ้าผีแกล้งออกไปชั่วระยะ คนไข้จะยอมกินหมากแล้วมีอาการยันหมาก ผีประเภทนี้ เป็นผีตายโหง ที่มีผู้มีวิชานำวิญญาณมาใช้ทำอันตรายคนทำให้เสียสติเพ้อคลั่ง เสียคน เป็นต้น
คนไข้ประเภทนี้ หลวงพ่อปานท่านจะทำน้ำมนต์พิเศษจากพระดินเผาของท่านเอง ซึ่งท่านมักจะใส่ในกระเป๋าอังสะของท่านอยู่เสมอ เพื่อทำน้ำมนต์ให้คนไข้อาบ และใช้มีดหมอของท่านกดกลางศีรษะ และรดน้ำมนต์คนไข้นั้นเรื่อยไปจนกว่าผีจะออก ถ้าดิ้นรนก็ต้องมีคนมาช่วยจับและรดน้ำมนต์ในระหว่างที่ท่านกดมีดหมอและบริกรรมอยู่
คนไข้ประเภทนี้เมื่อหายแล้วจะจำอะไรไม่ได้เลย และท่านมักจะให้สายสิญจน์มงคล ไว้คล้องคอกันถูกกระทำซ้ำอีกทุกราย
มีอาการร้อนหูร้อนหน้า แสดงว่าร้ายแรงมาก ถึงขนาดที่ถูกน้ำมันผีพราย ประเภทนี้จะอาการป้ำๆ เป๋อๆ ๆ คุ้มดีคุ้มร้าย ชาวบ้านเรียกว่า ลมเพลมพัด ขาดสติ ปวดศีรษะบ่อยๆ
คนไข้ชนิดนี้ท่านจะให้แช่เท้าในกระป๋องด้วย เหมือนกับที่ถูกคุณคน เมื่อเวลารดน้ำมนต์นั้น น้ำมันพรายจะซึมออกมา เป็นฝ้าน้ำมันลอยอยู่ในน้ำให้เห็น
หลวงพ่อบอกว่า คนไข้ประเภทนี้หายยาก เพราะว่าน้ำมันซึมอยู่ในร่างกาย ต้องมารักษาบ่อยๆ เป็นเวลาติดต่อกันนานๆ จนกว่าจะหมดน้ำมันพรายและท่านมักจะสั่งห้ามกินน้ำมันสัตว์ เพราะจะไปเพิ่มน้ำมันให้กับน้ำมันพราย
หมากเสกของท่านนี้ ถ้ากินแล้วร้อนลึกเข้าไปในทรวงอก ท่านว่าเป็นโรคฝีในท้อง วัณโรค ประเภทนี้นอกจากรดน้ำมนต์แล้ว ยังต้องกินยาคุณพระควบไปด้วยอีกทางหนึ่ง เป็นการขับถ่ายพิษร้าย ออกจากร่างกาย
รักษาโรคด้วยยาพระพุทธคุณ
นอกจากน้ำมนต์แล้ว ท่านยังมียาคุณพระพุทธคุณให้กินอีกด้วย ยานี้มีสรรพคุณแก้โรคได้ทุกชนิด แล้วแต่ชนิดของโรค คือยานี้เป็นยาอธิษฐานของหลวงพ่อปาน นอกจากจะรักษาโรคแล้ว ยังเป็นยาที่หลวงพ่อปานให้กินเวลาท่านรดน้ำมนต์แก้ถูกกระทำไปแล้ว ยาของท่าน ท่านจะบอกกับผู้ใกล้ชิดว่า ตำรับยานี้เป็นของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ องค์อุปัชฌาย์ของท่านมอบให้ท่านเป็นทายาทแทนเมื่อหลวงพ่อสุ่นล่วงลับไปแล้ว มี 2 ขนาน (คัดมาจากหนังสืออนุสรณ์ 100 ปี หลวงพ่อปาน)
พระคาถา
(ว่า "นะโม ฯลฯ " ๓ จบ )
พระคาถาบทนำ ว่าครั้งเดียว
" พุทธะ มะอะอุ นะโมพุทธายะ "
พระคาถาพระปัจเจกะโพธิ์
ว่า ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบ ก็ได้ แต่ต้องสม่ำเสมอ จึงจะเกิดผล
" วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มาณี มามะ พุทธัสสะ สวาโหม "
คาถามหาพิทักษ์
" จิตติ วิตัง นะกรึง คะรัง "
ใช้ภาวนาขณะใส่กุญแจ ปิดหีบ ปิดตู้ ปิดประตูหน้าต่างฯ
คาถา มหาลาภ
" นะมามีมา มะหาลาภา อิติพุทธัสสะ สุวัณณังวา ระชะตังวา ธะนังวา พึซังวา อัตถังวา ปัตถังวาเอหิ เอหิ อาคัจเฉยยะ อิติมึมา นะมามิหัง "
ใช้สวดภาวนาก่อนนอน ๓ จบ และตื่นนอนเช้า ๓ จบ เป็นการเรียกทรัพย์เรียกลาภ
พระคาถา ๓ บทนี้ เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก หากผู้ใดนำไปใช้จะเกิดโชคลาภมั่งมีเงินทองอย่างมหัศจรรย์


29 เมษายน 2563

การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ...เมื่อโลกเปลี่ยนมิติ


 ส่วนที่ 1
Teri wade
 ในช่วงเวลาเหล่านี้เรียกว่า Great Tribulation Earth และร่างกายจะต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  ในระดับดาวเคราะห์มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  แสงจำนวนมหาศาลเข้ามาในระนาบโลก  ความหมายม่านแห่งการแยกและการปฏิเสธกำลังยกขึ้น

 การเปลี่ยนแปลงของโลกกำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพต่อร่างกายมนุษย์ในขณะนี้  โลกกำลังกลายพันธุ์และเป็นสิ่งมีชีวิตในนั้น  มีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายมนุษย์ในระดับเซลล์  โดยทั่วไปร่างกายมนุษย์จะถูกสร้างขึ้นโดยใช้การผสมผสานใหม่ขององค์ประกอบที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างโมเลกุลของมัน  รหัสพันธุกรรมของเรากำลังเปลี่ยนแปลง

 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายของเราตอนนี้คือข้อมูลที่เข้ารหัสใน DNA ของเราและกำลังถูกเปิดใช้งาน  ข้อมูลทั้งหมดในพิมพ์เขียวของสายพันธุ์ของเราพบได้ใน DNA เซลล์ของเราในร่างกายของเรา  ทุกสิ่งที่เราต้องรู้เกี่ยวกับทุกสิ่งอยู่ในตัวเรา

 อย่างที่คุณทราบว่า DNA ของเรามีการพัฒนาจากเกลียวคู่ 2 เส้นเป็นเกลียวคู่ 12 เส้น  รูปแบบใหม่นี้ แต่เดิมในร่างกายมนุษย์ในช่วงเวลาที่เราสร้างมากกว่า 300,000 ปีที่แล้ว  สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือความถี่เหล่านี้เข้ามาในร่างกายมนุษย์ได้ง่ายขึ้น  มันเป็นเหมือนเซลล์ที่ต้องแยกตัวออกมาเล็กน้อยและปลดปล่อยตัวเองถ้ามันสมเหตุสมผล  พวกเขาจะไม่ปิดบังอีกต่อไป

 นั่นหมายความว่าหลายคนกำลังตื่นขึ้นและเริ่มจดจำในเวลานี้และนั่นคือทั้งหมดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า  ความหมายมันคือรหัสทั้งหมดใน DNA ของเรา  ทุกคนจะตื่นขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าบางคนมาช้าไปหน่อยที่ประตู แต่มันจะเกิดขึ้น ... มันหลีกเลี่ยงไม่ได้

 โดยพื้นฐานแล้วเราได้รับโอกาสที่จะปล่อยให้ร่างกายที่หนักและหนาแน่นนี้ไปสู่ร่างกายที่เบากว่า  ฉันบอกผู้คนมากขึ้นเมื่อคุณเปิดไฟยิ่งดึงดูดแสงซึ่งเป็นข้อมูล  สิ่งที่เกิดขึ้นคือคุณกำลังเป็นผู้รับและเครื่องส่งสัญญาณเพื่อดึงดูดข้อมูลมากขึ้น  ดังนั้นเมื่อไกด์ของคุณเห็นสิ่งนี้พวกเขาจะรู้ว่าคุณพร้อมสำหรับการสื่อสารขั้นสูงเพิ่มเติมแล้ว  นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันพูดเมื่อคุณเปิดความถี่เหล่านี้จะเริ่มไหลซึ่งเป็นข้อมูลที่สูงกว่าข้อมูลแสงที่สูงขึ้น

 สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือร่างกายของคุณกำลังสั่นสะเทือนด้วยความถี่สูงมากและร่างกายของคุณพยายามที่จะติดตามอาการของโรคสวรรค์  ปวดหัว, ไข้หวัดใหญ่เช่นอาการ, หูอื้อ, ปวดกล้ามเนื้อ, ปวดข้อและอื่น ๆ เป็นต้นโครงสร้างโมเลกุลของคุณเร่งเร็วขึ้น แต่โครงสร้างร่างกายของคุณล้าหลัง

 ทุกอย่างพยายามปรับให้เข้ากับความถี่ใหม่เหล่านี้กล้ามเนื้อผิวหนังอวัยวะต่อมประสาท ฯลฯ ระบบประสาทของคุณได้รับอิทธิพลจากความถี่เหล่านี้อย่างไม่น่าเชื่อตัวอย่างคือฮอร์โมนที่มากเกินไปพยายามปรับและรักษาทุกอย่างให้สมดุล

 การขยายตัวของจิตสำนึกในระหว่างการเปลี่ยนแปลงของเซลล์นั้นจะดึงคุณเข้าสู่โลกที่เกินศักยภาพและกลายเป็นจริง  ด้วยการยอมจำนนต่อการเปลี่ยนแปลงนี้คุณกำลังปลดปล่อยตัวตนที่มีอยู่อย่าง จำกัด ของคุณเอง  เมื่อคุณเข้าใกล้สวรรค์มากขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะพบว่าตัวคุณเองปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ และปลดปล่อยความรู้สึก  สมองส่วนที่อยู่เฉยๆในอดีตกำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้น  คุณกำลังมีสายอีกครั้งและสิ่งที่กำลังถูกเปลี่ยนเส้นทาง  ดังนั้นให้ง่ายกับตัวเองเมื่อคุณรู้สึกสับสนอย่างสมบูรณ์!  🥴ยิ่งคุณอยู่ในแนวเดียวกับการไหลนี้ยิ่งคุณเป็นกัปตันของเรือของคุณมากขึ้น

 นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่หยาบอย่างไม่น่าเชื่อเพราะคิดว่า ... คุณกำลังจะทำการปรับปรุงขั้นพื้นฐานในบ้านของคุณร่างกายของคุณในระดับเซลล์  คุณกำลังต่อสายอีกครั้งฉีกหลังคาเก่าปลดสายไฟเก่า ฯลฯ ขณะที่คุณยังอยู่ที่นั่น

 การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ...

 ส่วนที่ 2

 ในการเปลี่ยน DNA ของคุณคุณต้องเปลี่ยนความคิดและอารมณ์ของคุณ  ปลดปล่อยตัวเองจากการมีอยู่อย่าง จำกัด  หมายความว่าคุณกำลังเปลี่ยนเคมีชีวภาพ  เมื่อการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นคุณอาจรู้สึกวิงเวียนคลื่นไส้  คุณกำลังเป็นวิศวกรพันธุศาสตร์ของสายพันธุ์โลกใหม่  คุณจะสร้างร่างกายใหม่ของคุณในขณะที่อยู่ในนั้น

 ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงของเซลล์บางคนจะได้สัมผัสกับผิวคล้ำอีกครั้ง  ภายในระยะเวลา 25 ปีผิวหนังมนุษย์ซึ่งเป็นอวัยวะจะมืดลงเล็กน้อยเนื่องจากเส้นเลือดฝอยในเลือดเนื่องจากความถี่ที่สูงขึ้นเหล่านี้จะถูกดึงเข้ามาใกล้กับผิวดังนั้นสีที่เข้มกว่า

 ร่างกายของคุณกำลังผ่านช่วงเวลาและคุณกลับไปที่ลำดับเวลาดั้งเดิม (เวลาที่เราสร้างขึ้นครั้งแรก) อาการปวดหัวในระหว่างการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากแรงกดดันของการขยายตัวนี้

 เรากำลังเปลี่ยนแปลงหลายมุมมอง  ในระดับเซลล์เปลี่ยน DNA ของเราและเปลี่ยนเป็นเลือดระบบประสาทส่วนกลางไขกระดูกสมองทำงานอย่างไรและรับข้อมูลจากแหล่งพระเจ้าได้อย่างไร  การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นภายใน แต่ในที่สุดจะมีเลือดออกสู่ร่างกายด้านนอก  บางคนจะประสบกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือการลดน้ำหนักในช่วงการเปลี่ยนแปลงภายในนี้

 ร่างกายรู้อย่างชัดเจนว่าจะจัดระเบียบตัวเองใหม่ได้อย่างไรเพราะกระบวนการนี้มีรหัสใน DNA ของคุณและจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล  นี่เป็นกระบวนการทางธรรมชาติ แต่สิ่งที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าใจคือจะช่วยกระบวนการนี้จากภายนอกได้อย่างไร  เราเริ่มตระหนักถึงทิศทางที่ร่างกายของเราเป็นผู้นำเราเพราะยิ่งคุณรับรู้ได้มากเท่าไรคุณก็ยิ่งควบคุมกระบวนการทางธรรมชาตินี้ได้มากขึ้นเท่านั้น

 เราเริ่มตระหนักถึงระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอของเราเนื่องจากการเร่งของระบบประสาทส่วนกลาง  มันเหมือนกับการวางหลอดไฟ 100 วัตต์ไว้ในซ็อกเก็ตซึ่งเคยเป็นหลอดไฟ 40 วัตต์  เรากำลังถูกฉีดด้วยแสงที่มากขึ้นและร่างกายของเราพยายามเล่นให้ทัน  ความหมายมีแอมพลิจูดจำนวนมากขึ้นในพลังงานที่เราได้รับ  เรารู้สึกถึงอาการของการปรับตัว  พลังงานใหม่นี้เชื่อมต่อผ่านระบบประสาทส่วนกลางและหลายคนกำลังมีปัญหามากด้วยเหตุนี้การต่อสายดินจึงมีความสำคัญมาก

 เมื่อคุณรับแสงใหม่ของอวัยวะและต่อมส่วนใหญ่ของคุณจะไม่ต้องการอีกต่อไปและในที่สุดก็จะหายไป  เมื่อมีแสงสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ระบบประสาทส่วนกลางของคุณจะถูกกระตุ้นด้วยระบบประสาทอย่างบ้าคลั่ง!  ความรุนแรงจะมีอยู่มากมายในบางครั้ง

 เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นระบบประสาทจะพยายามกระจายพลังงานที่รุนแรงนี้โดยการส่งมันออกไปทางไขสันหลัง  จากนั้นพลังงานนี้จะไปตามทางเดินและยิงพลังงานเหล่านี้ไปยังระบบกล้ามเนื้อดังนั้นกล้ามเนื้อของคุณจะกระชับและเป็นตะคริวที่บางคนรู้สึก

 การเผาเช่นนี้เกิดขึ้นในหลอดเลือดที่ จำกัด การไหลเวียน  เมื่อการเผาไหม้ของพลังงานนี้เกิดขึ้นในผิวหนังคุณอาจรู้สึกถึงความร้อน ... รู้สึกว่าเป็นร้อนจริงหรือเย็นจริงหนามหรือคัน ฯลฯ หากพลังงานเหล่านี้ควรยิงเข้าไปในอวัยวะและต่อมมันสามารถยับยั้งวิธีการทำงานตามปกติ  .

 การปรับโครงสร้างของ DNA หมายความว่าคุณจะไม่มีจักระมากมายอีกต่อไปคุณจะไม่เป็นคนมีสติอีกต่อไปคุณจะไม่เป็นร่างกายที่มีระบบอิสระอีกต่อไปคุณจะไม่มีช่องว่างไม่มีช่องว่างไม่มีจิตสำนึกหรือใน  DNA ที่สอดคล้องกันของคุณ  คุณจะเป็นแบบอย่างของความเป็นทั้งหมดโดยไม่มีช่องว่างหรือการแยก  คุณกำลังสร้างบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ... 🙌🏼

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=339304053710668&id=100028932278929

ประสบการณ์จริงจากการร้องขอการบำบัดรักษาจากรูปธรรมชีวิตจากต่างมิติ


(Credit the picture from internet)

ในปี ค.ศ. 1999 Dolores Cannon ได้ทำการสะกดจิตระลึกชาติเพื่อบำบัดรักษาให้กับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Ann ซึ่งผู้หญิงคนนี้มีอาการป่วยหลายอย่าง คือ เป็นทั้งโรคหัวใจ, เป็นทั้งเบาหวานต้องฉีดอินซูลินทุกวัน เพราะระดับน้ำตาลในเลือดประมาณ 300 และเธอก็เป็นมะเร็งในลำคออีกด้วย ซึ่งหมอนัดให้ไปผ่าแล้ว แค่รอถึงวันผ่าตัดเท่านั้นเอง

และในชีวิตแต่งงานของแอน เธอก็ยังมีปัญหาชีวิตแต่งงานที่ขมขื่นอีกด้วยนะครับ ดังนั้น ในช่วงท้ายๆของบทความในหนังสือของ Doroles เธอจึงสรุปเอาไว้ว่า สาเหตุทางจิตของโรคเบาหวาน มาจากการขาด "ความหวาน" ในชีวิตไป อันเนื่องมาจากชีวิตแต่งงานที่ขมขื่นนั่นเอง ดังนั้นร่างกายจึงสะท้อนออกมาให้เห็นผ่านโรคเบาหวาน

ส่วนโรคหัวใจนั้น ก็สืบเนื่องมาจากสาเหตุเดียวกัน คือ เพราะต้องเก็บกดอารมณ์ไว้ในจักระหัวใจอยู่เสมอ และก็ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอยู่เสมอๆ อันเนื่องมาจากชีวิตแต่งงานที่ขมขื่นที่ว่านั้น เช่นเดียวกัน

และโรคมะเร็งในลำคอ ซึ่งก็คือจักระที่ 5 ก็มาจาก "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และไม่รู้จะบอกหรือระบายความทุกข์กับใคร และอย่างไรดี?" นั่นเอง จึงทำให้พลังงานอุดตันและติดขัดอยู่ที่จักระ 5 ซึ่งเป็นจักระแห่งการติดต่อสื่อสาร และสำแดงตัวตนของตัวเองออกมาของเธอ

แต่ก่อนจะไปผ่าตัดนั้น เธอมาหา Healer คนหนึ่งที่เป็นเพื่อนของ Doroles เพื่อมาให้เพื่อนคนนั้นช่วยนวดแบบผ่อนคลายให้ แต่ในระหว่างที่เธอกำลังรับการนวดผ่อนคลายอยู่นั้น เธอก็รู้สึกว่าเธอไม่ได้นอนอยู่ในห้องเดิมแล้ว เพราะว่ารอบๆเตียงของเธอเธอเห็นรูปธรรมชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์มายืนล้อมเตียงเธออยู่มากมายเลย

พวกนั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเจลใสๆสีเขียว ใบหน้าสีส้มๆ ดวงตากลมโตสีดำ มือมี 4 นิ้ว กำลังเอามือมานวดๆและแตะๆเบาๆที่มือกับเท้าของเธออยู่ โดยที่พวกเขาแตะเธอในจังหวะเดียวกันกับที่เพื่อนคนนั้นนวดและแตะให้กับเธอแบบเป๊ะๆเลย

ตอนนั้นเธอไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร เพราะเหมือนเธอจะสื่อสารทางจิตกับพวกเขาอยู่ พวกเขาพูดกับเธอโดยไม่ได้เปิดปากว่า พวกเขาไม่ได้มาเพื่อทำร้ายเธอ แค่อยากมาศึกษาอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนของมนุษย์เท่านั้นเอง เพราะว่าพวกเขาไม่มีอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนแบบมนุษย์โลกเลย

ตอนนั้นแอน เหมือนจะรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในสองห้องในเวลาเดียวกัน คือทั้งในห้องที่เพื่อนกำลังนวดให้อยู่ กับในห้องที่รูปธรรมชีวิตต่างมิติกำลังแตะๆตัวเธออยู่

ซึ่งพอหลังจากจบการนวดนั้นแล้ว เพราะความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เธอจึงมาทำการสะกดจิตระลึกชาติกับ Dolores ซึ่ง Dolores ก็นำพาจิตสำนึกของเธอย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ในวันนั้น แล้ว Dolores ก็เลยได้พูดคุยกับรูปธรรมชีวิตจากต่างมิติเหล่านั้น ผ่านทางแอน ซึ่งกำลังถูกสะกดจิตให้อยู่ในภวังค์อยู่

พวกเขาพูดคุยกันหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ผมเห็นว่าน่าสนใจมากๆจนต้องเอามาแชร์ในโพสต์นี้ก็คือ:

1).รูปธรรมชีวิตเหล่านั้น มาจากมิติที่สูงมากๆมิติหนึ่ง พวกเขาเรียกว่า มิติที่ 7 หรือระนาบที่ 7 อะไรทำนองนั้น ซึ่งไม่มีกายเนื้อแล้ว เพราะว่าพวกเขาดำรงอยู่ในกายแห่งพลังงานแสงสว่างๆล้วนๆ และถ้าจำเป็นพวกเขาก็สามารถที่จะเนรมิตเอากายเนื้อมาสวมใส่ได้ ตามความเหมาะสมของแต่ละสถานการณ์

แต่ที่แอนเห็นว่าร่างกายของพวกเขาเป็นแบบนั้นแบบนี้นั้น ก็เพราะว่าระดับจิตและความเข้าใจ และความคาดหวังของแอน ฉายภาพออกมาให้เธอได้รับรู้เช่นนั้น

2).ประเด็นที่น่าสนใจ และผมเคยอ่านเจออยู่บ่อยๆในข้อความจากต่างมิติ หรืออะไรทำนองนี้ก็คือ "รูปลักษณ์" ของสิ่งมีชีวิตจากต่างมิติเหล่านี้ ที่มนุษย์โลกเราจะสามารถรับรู้ได้ "ขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางจิตและความเข้าใจของมนุษย์โลกแต่ละคนเป็นหลัก" 

แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่ารูปธรรมชีวิตเหล่านั้นอยากให้เราเห็นว่าพวกเขาเป็นอย่างไรด้วย คือพวกเขาจะพยายามให้พวกเราได้เห็นพวกเขา ในแบบที่พวกเราจะสามารถเข้าใจได้

คือ ความจริงแล้ว พวกเขาดำรงอยู่ในลักษณะของพลังงาน ดังนั้น รูปลักษณ์ที่พวกเขาจะแสดงออกมาให้มนุษย์แต่ละคนได้รับรู้นั้น จึงขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์โลกคนนั้น ต้องการ หรือคาดหวังว่าจะได้เห็นอะไร ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับระดับจิตและระดับความเข้าใจของมนุษย์แต่ละคนดังว่า

ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า สิ่งที่เราเห็นนั้น มันไม่จำเป็นจะต้องถูกต้องตามความเป็นจริงเสมอไป!!

ดังนั้น ผมจึงเคยพูดเอาไว้หลายครั้งแล้วว่า แม้แต่ผู้ทรงญาณ หรือทรงฌาณทั้งหลาย ก็ยังเชื่อไม่ได้เลยนะครับ ว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นและเอามาเล่าให้เราฟังนั้น มันจะเป็นจริงตามนั้นเสมอไป

เพราะว่ามนุษย์โลกทุกคน มีสิ่งที่ Kryon ใช้คำว่า "ตัวกรอง" หรือ Filter อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งก็มาจากประสบการณ์, ความเชื่อ, ความคิด, ความเข้าใจ และระดับจิตของเรานั่นเอง

ดังนั้น แม้แต่สิ่งเดียวกัน หรือเรื่องเดียวกัน ที่ผู้ทรงจิต-ทรงฌาณเหล่านั้นไปรู้ไปเห็นมาในมิติที่อยู่เหนือช่องว่างและกาลเวลานั้น มันจึงอาจจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยก็ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเราขึ้นไปสู่มิติที่ยิ่งสูงมากเท่าไหร่ จิตของเราก็จะยิ่งมีพลังอำนาจมากเท่านั้น ซึ่งก็แปลว่าทันทีที่เรากระดิกจิตคิดอยากเห็น หรืออยากได้ อยากมีอะไรนิดเดียวเท่านั้นแหละ อำนาจจิตของเราก็จะเนรมิตสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาให้เราทันทีเลย!

ดังนั้น ก็อย่าแปลกใจนะครับ ถ้าใครมีความเชื่อด้านไหนอยากจริงจังหนักแน่นแล้ว เมื่อเดินทางด้วยจิตไปเข้าสู่มิติที่ไร้กาลเวลาแบบนี้แล้ว ก็จะไปได้แต่ข้อมูลด้านนั้นๆออกมาบอกเล่าให้เราฟังเสมอๆเลย เพราะ Filter ของเขา หรือตัวกรองของใคร หรือแว่นตาที่เขาสวมใส่อยู่ มันอยู่ในช่องนั้น หรือเป็นสีนั้นนั่นเอง

3).รูปธรรมชีวิตจากมิติที่ 7 เหล่านี้ได้บอกเอาไว้ว่า มนุษย์โลกเรา เป็นผู้เลือกที่จะทำร้ายตัวเองให้ป่วยเอง ด้วยวิธีการต่างๆ และส่วนหนึ่งคือการเลือกใช้เชื้อเพลิงที่เป็นพิษเป็นภัยต่อตัวเอง ซึ่งก็คือพวกเชื้อเพลิงจากฟอสซิลทั้งหลาย (ถ่านหิน, น้ำมัน, แกสธรรมชาติ เป็นต้น)

และมนุษย์เอง ก็ยังเลือกที่ใช้สารเคมีที่มีพิษ ในการบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ตัวเองด้วย เช่น ยาแผนปัจจุบันทั้งหลาย ทั้งๆที่จักรวาล หรือเบื้องบนได้มอบพืชชนิดหนึ่งมาให้กับมนุษย์เพื่อเป็นทางเลือกในการใช้งานเรียบร้อยแล้ว

ซึ่งพืชชนิดนั้น เมื่อสรุปออกมาจากบทสนทนาอันนั้นแล้วก็คือ กัญชง และกัญชา นั่นเอง ซึ่งต่างมิติบอกว่า นั่นแหละคือยารักษาโรคที่ดีมากๆสำหรับมนุษย์หละ และก็ในขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนพวกฟอสซิลได้อีกด้วย โดยการใช้ใบและลำต้นของมัน

และคงด้วยเหตุนี้กระมัง ที่กัญชงและกัญชากลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายไปเมื่อประมาณร้อยปีก่อน (ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ) เพราะว่ากลุ่มบุคคลฝ่ายมืดที่ต้องการควบคุมโลก ก็คงรู้เรื่องนี้ด้วย ก็เลยใช้กลอุบายสกัดกั้นเอาไว้ซะเลย และผลก็เป็นอย่างที่เรารู้ๆกันอยู่ในปัจจุบันนี้แหละครับ

เรื่องพวกนี้ผมไม่ได้พูดเองนะครับ ท่านใดที่สนใจก็ลองไปค้นในเน็ตดูได้ ใช้คำว่า The Cabal หรือ Illuminati อะไรแบบนั้น แล้วท่านจะเจอข้อมูลเพียบเลยหละครับ ผมเองก็เคยแปลบทความเกี่ยวกับกลุ่มนี้เอาไว้บ้างเหมือนกัน เมื่อราวๆ 10 ปีก่อน..แต่ตอนนี้มีคนอื่นตามกระแสเรื่องนี้ต่อให้แล้วครับ คือคุณ Mead Nations นะครับ..ลองเข้าไปค้นหาในเฟสบุ้คดู

4).ในช่วงที่คุณแอนกำลังอยู่ใน Session นั้น Dolores ก็มีขอให้รูปธรรมชีวิตจากต่างมิติเหล่านั้น ช่วยสแกนดูร่างกายเนื้อของแอนให้หน่อย ว่าพอจะแก้ไขอะไรให้ได้บ้างไหม ซึ่งพอแอนอนุญาตให้พวกเขาสามารถช่วยได้แล้ว พวกเขาก็ช่วยจัดการกับทั้ง เบาหวาน และมะเร็งให้กับเธอในทันที

ซึ่งพอกลับไปถึงบ้านแล้ว เธอก็เอาอุปกรณ์ตรวจน้ำตาลในเลือดมาตรวจตามปกติของเธอ และเธอก็พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดของเธอตอนนี้เหลือแค่ 80 เอง ดังนั้น เธอจึงไม่จำเป็นต้องฉีดอินซูลินอีกต่อไปแล้ว

ส่วนเรื่องโรคมะเร็งในลำคอของเธอนั้น ก่อนที่หมอจะผ่าเธอ เธอก็ขอให้หมอช่วยตรวจใหม่หมดทุกอย่างอีกรอบหนึ่งก่อน ซึ่งผลก็ปรากฎว่า..ค่าต่างๆบ่งชี้ว่าเธอไม่ได้เป็นมะเร็งอีกต่อไปแล้ว แล้วหมอก็เลยเขียนในใบรายงานว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถให้คำอธิบายได้!

#ตรงนี้ มีสิ่งที่ผมอยากจะหยิบยกขึ้นมาให้พิจารณากันอยู่นะครับ ซึ่งก็คือ "การร้องขอความช่วยเหลือจากรูปธรรมชีวิตต่างมิติ, จากทวยเทพ, จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย, จากพระเจ้า, จากพระพุทธเจ้า" เป็นต้น เป็นสิ่งที่สามารถทำได้แน่นอน และก็เคยมีผู้ทำได้ผลมาแล้วจริงๆซะด้วย! ถ้าเราเปิดใจให้กับความเชื่อตรงนี้ได้จริงๆ

ซึ่งพวกท่านทั้งหลายเหล่านี้ ก็จะไม่นิ่งนอนใจอย่างแน่นอน และก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือพวกเราอยู่แล้วในทุกๆด้านเสมอ เพราะว่าพวกท่านอยู่กับเราเสมอทุกๆลมหายใจของเรา

ดังนั้น ตราบใดที่ความช่วยเหลือนั้นๆ มันจะไม่ไปแทรกแซง หรือก้าวก่าย Free will และพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณ หรือกรรมของเราแล้ว พวกท่านก็จะยินดีช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน 

เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้สึกว่าอยากจะร้องขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ก็จงร้องขอเถอะครับ หรืออย่างน้อยก็ร้องขอการชี้นำทาง หรือข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาจากพวกท่านก็ได้

5).ประเด็นเรื่องพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณ และเรื่องกรรม แล้วก็ Free will ที่ว่านี้ก็เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนอีกนั่นแหละ 

คือ มันจะมีด้วยนะ ที่พวกเราหลายคนได้เขียนบทละครชีวิตของตัวเองเอาไว้ตั้งแต่ก่อนลงมาเกิดว่า เราจะมาป่วยเป็นโรคอะไรซักอย่าง ที่อาจจะยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ เพื่อที่เราเองนี่แหละ จะมาค้นหาทางรักษามันเอง จนตัวเองหายขาดแล้วก็จะไปช่วยเหลือมวลหมู่มนุษยชาติต่อไป

หรือบางคนที่เป็น Starseed ประเภท Divine Template Holder ก็อาจจะลงมาเกิดเพื่อที่จะนำพาเอาพิมพ์เขียวศักดิ์สิทธิ์ของร่างกายเนื้อมนุษย์ฉบับสมบูรณ์แบบ ที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่แรก กลับคืนมาสู่สนามพลังงานของจิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลกอีกครั้งหนึ่งก็ได้

คือ..พิมพ์เขียวของร่างกายเนื้อมนุษย์นั้น เดิมทีมันถูกออกแบบมาให้สมบูรณ์แบบชนิดที่เรียกว่า กายมหาบุรุษ หรือ Avatar body อะไรแบบนั้นเลย แต่ว่าเมื่อระดับพลังงานของโลกและของมนุษย์ตกต่ำลงมาเรื่อยๆนั้น พิมพ์เขียวนี้ มันก็ค่อยๆมีข้อบกพร่องมากขึ้นเรื่อยๆตามไปด้วย จน DNA ส่วนใหญ่ของเราตอนนี้ หยุดการทำงานไปเลย

ดังนั้น Starseed กลุ่มที่ว่านี้ จึงรับอาสาลงมาทำงานด้านนี้ โดยการรักษาตัวเองให้หายป่วยจากโรคอะไรบางอย่าง แล้วกอบกู้เอาความสมบูรณ์แบบของตัวเองกลับคืนมา ในระดับ DNA, และในระดับ Matrix หรือพิมพ์เขียวของร่างกายเนื้อของมนุษย์ดังว่า

ซึ่งเมื่อใดที่พวกเขาทำสำเร็จกับตัวเองแล้ว พลังงานอันนี้มันก็จะไปสถิตย์อยู่ในสนามพลังงานของจิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลกโดยอัตโนมัติ แล้วก็จะเริ่มบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ลงไปใน matrix หรือพิมพ์เขียวของร่างกายเนื้อของมนุษย์โลกคนอื่นๆด้วยโดยอัตโนมัติ แต่ผลของมันยังจะไม่แสดงออกมาชัดเจน จนกว่าจะถึงระดับ Critical Mass เสียก่อน

ซึ่งเมื่อใดที่มีชาวโลกจำนวนมากพอ ที่ได้ทำสำเร็จแบบเดียวกันนี้ จนระดับพลังงานถึงขั้น Critical Mass ได้แล้ว ร่างกายเนื้อของมนุษย์โลกทุกๆคนก็จะ "เริ่ม" ที่จะได้รับผลกระทบ และแสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ จนเห็นเป็นรูปธรรมได้ในที่สุด!

ทุกๆอย่างมันจะมีระดับพลังงานที่เป็น Critical Mass ของมันอยู่ มันถึงจะส่งผลกระทบแบบพลิกกลับขั้วได้ เหมือนเราเล่นไม้กระดานกระดกนี่แหละครับ การจะให้ไม้เอียงลงมาทางฝั่งเราได้นั้น มันต้องใช้น้ำหนักกดลงไปมากเพียงพอซะก่อน อะไรแบบนั้น

ดังนั้น ถ้าใครกำลังมีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรอยู่ก็ตามในตอนนี้ ก็อย่าเพิ่งคิดแต่ว่า เพราะเรามีกรรม หรือเพราะว่าเราโชคร้าย หรือเพราะว่าเราทำอะไรผิดพลาดมาแต่เพียงอย่างเดียวนะครับ เพราะว่าความเป็นจริง มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ เพราะว่ามันอาจจะเป็นภารกิจแห่งแสงสว่างของเรา ที่เราตั้งใจลงมาทำด้วยความรักและเสียสละแก่ชาวโลกทั้งมวลก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม..แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็น Starseed กลุ่มที่ว่านี้เลยก็ตาม แต่ผมเคยรู้มาว่า อะไรก็ตามที่เราเอาใจไปจดจ่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดของทุกผู้ทุกนามแล้วหละก็ อานุภาพของการจดจ่อนั้น ก็จะยิ่งใหญ่กว่าการทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเองเพียงลำพังอย่างมากมายมหาศาลเสมอ!

และความจริงที่ว่า มนุษย์โลกทุกๆคนนั้น ล้วนกำลังเชื่อมต่อกันอยู่ตลอดเวลาในทางพลังงานนั้น ก็เป็นสิ่งที่เราจะปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น แม้ว่าเราจะเป็น Starseed กลุ่มนี้หรือไม่ก็ตาม แต่จงตระหนักรู้ไว้เลยว่า การพยายามรักษาตัวเองให้กลับคืนมาสู่ความแข็งแรง สมบูรณ์ และสมดุลใหม่อีกครั้งหนึ่งนี้ ก็จะไปส่งผลกระทบต่อสนามพลังงานของจิตสำนึกมวลรวมของโลกด้วยเสมอ

ดังนั้น ให้จดจ่อในระดับสูงแบบนี้เอาไว้เลยนะครับ เพราะมีแต่ได้กับได้ครับ เพราะว่าแค่การดำรงอยู่ในความสมดุล และความสุข ความเบิกบานของตัวเองให้ได้นี้ ก็เป็นการช่วยเหลือโลกทั้งโลกอีกทางหนึ่งแล้วหละครับ 

ดังนั้น ทุกๆครั้งที่เราตั้งใจจะรักษาตัวเองให้หายขาดจากโรคภัยไข้เจ็บนั้น ให้ทำใจให้ใหญ่ ให้กว้าง ในระดับโลกเอาไว้ อย่างที่ผมพูดไปแล้วนั่นเลยนะครับ ว่านอกจากเรากำลังช่วยเหลือตัวเราเองแล้ว นี่เราก็กำลังช่วยเหลือคนทั้งโลกไปพร้อมๆกันด้วยนะ อะไรแบบนั้น

ในกรณีของกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น จริงๆแล้วเรื่องมันก็ยาวและสลับซับซ้อนอีกนั่นแหละครับ แต่คร่าวๆคือ ถ้าเมื่อใดที่ the lesson is learned! หรือบทเรียนใดที่เราควรเรียนรู้ เราก็ได้เรียนรู้มันไปแล้วนั้น ก็ถือว่ากรรมนั้น เป็นกรรมที่หมดวาระลงแล้ว

ดังนั้น เราจึงไม่จำเป็นต้องแบกหามเอาผลกระทบของบทเรียนหรือกรรมเหล่านั้น ติดตัวไปด้วยอีกแล้ว..เช่น ในรูปแบบของโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น..และก็..กรรมประเภทนี้แหละที่ใครๆก็สามารถช่วยเคลียร์มันออกไปจากชีวิตเราได้ ไม่ว่าจะเป็น  Healer ที่เป็นมนุษย์ด้วยกันเอง หรือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากเบื้องบนก็ตาม

ดังนั้น พวกเขาจึงสื่อสารมาบอกเราตลอดไงครับ ว่าให้เราร้องขอออกไป ไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจยื่นมือเข้ามาก้าวก่าย หรือแทรกแซงทางเลือกอิสระ หรือ Free will ของเราได้ เพราะว่าพวกเขาจะไม่ทำเช่นนั้นโดยเด็ดขาดครับ เพราะมันผิดกฎของจักรวาล

แต่ถ้ากรรมไหนเป็นกรรมที่ยังไม่หมดวาระ เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องได้รับบทเรียน หรือได้เรียนรู้บทเรียนนั้นอยู่ 

แต่ก็นี่แหละคือส่วนหนึ่งของงานบำบัดรักษาแบบสะกดจิตระลึกชาติของ Dolores หละครับ ที่จะช่วยนำพาให้ผู้ที่มารับการบำบัด ย้อนระลึกชาติไปถึงจุดเริ่มต้นของปัญหาหรือกรรมนั้น ที่ส่งผลกระทบข้ามภพชาติมาถึงปัจจุบัน แล้วจากนั้น เธอก็จะนำพาความเข้าใจมาสู่ผู้ที่มารับการบำบัดให้ได้เรียนรู้และเข้าใจบทเรียนนั้นๆในบัดดล

จากนั้น เธอก็จะร้องขอให้จิตใต้สำนึกของคนผู้นั้น ช่วยเคลียร์ปัญหาสุขภาพให้กับร่างกายเนื้อนั้นในตอนนั้นเลย หลังจากที่เขาเข้าใจบทเรียนนั้นๆแล้ว แล้วปัญหาสุขภาพของคนผู้นั้นก็จะหายไป

ปล.

การชดใช้กรรมจากหนังสือของ Dolores นั้น หลายๆกรณีที่ผมอ่านมา มันจะไม่ใช่การไปชดใช้ความผิดให้ใครหรอกนะครับ แต่มันคือการให้อภัยตัวเอง และคือการกลับมามอบความรักและความเข้าใจให้กับตัวเองอย่างถ่องแท้ และอย่างหมดจิตหมดใจ และอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วย

และมันก็คือการตัดสินใจแล้วว่า..เอาหละ..ฉันลงโทษตัวฉันเอง มาหลายภพหลายชาติแล้ว และบัดนี้ ตัวฉันเองก็ได้เรียนรู้แล้วว่า คนที่ถูกฉันทำให้เจ็บปวดนั้น เขารู้สึกอย่างไร 

ดังนั้น ฉันจึงคู่ควรที่จะปลดปล่อยความรู้สึกผิดและการให้โทษตัวเองเหล่านั้นไปเสียที..ณ.บัดนี้..พิ้ว...แล้วเราก็ปลดปล่อยมันไปด้วยความรักตลอดกาล อะไรแบบนั้นครับ

ที่มา
Ref: The Convoluted Universe-4 by Doroles Cannon.

Chayutt Naowarat
Date: 28/04/2020
..............................

วันพระ

          พระพุทธเจ้าตรัสว่า  เธอทั้งหลายจงอย่าสนใจร่างกายของตนเอง  จงอย่าสนใจในร่างกายของบุคคลอื่น  จงอย่าสนใจในทุกสิ่งทุกอย่างในโลก  เพราะสิ่งทั้งหลายในโลกนี้มันไม่ใช่เรา  ไม่ใช่ของเรา  ร่างกายถ้าเป็นเราจริงมันก็ทรงสภาพอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย  แต่ทวาร่างกายของเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  ไม่ทรงสภาพ  ในที่สุดมันก็เข้าถึงขั้นสลายตัว..

             เมื่อเราจะต้องตายทรัพย์สมบัติทั้งหลายของเราในโลกมันก็ไม่ตามเราไป แม้แต่ร่างกายที่เรารักที่สุดมันก็ไม่ตามเราไป  มันคงจมอยู่ในพื้นปฐพีเป็นปกติ  

               อย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำให้คิดไว้อยู่เสมอ  อย่าเผลอไปในด้านของความโลภ  อย่าเผลอไปในด้านของความทะเยอทะยาน  อย่าเผลอให้จิตใจมีความโกรธ  ความพยาบาท  อย่าเผลอให้ความนึกคิดว่านั่นเป็นของเราเป็นของเรา  อารมณ์เป็นปกติ  ถ้าหากว่าใจของท่านกระสับกระส่าย  จงรักษาอานาปานสติกรรมฐาน  มีกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกให้ทรงตัว  ยังไม่ต้องคิดอะไรทั้งหมด  กำหนดจิตรู้เฉพาะลมหายใจเข้า  หายใจออกเท่านั้น  หายใจเข้ายาวหรือสั้น  หายใจออกยาวหรือสั้นรู้อยู่  ถ้าทำอย่างนี้อารมณ์จิตของท่านจะไม่ฟุ้งซ่าน.....

อ้างอิง - หนังสือปฏิปทาท่านผู้เฒ่า  หน้า ๒  โดยพระมหาวีระ ถาวโร  วัดจันทาราม (ท่าซุง) จ.อุทัยธานี

สมาธิแบบพระพุทธเจ้า



สมาธิแบบพระพุทธเจ้า คือ การกำหนดรู้เรื่องชีวิตประจำวัน 
นี่เป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญ สำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาสมาธิ 

คนเราทุกคนเกิดมาอาศัยสมาธิเป็นหลักใจ

คนที่ทำอะไรด้วยความจริงใจ … เป็นลูกของพ่อของแม่ก็เป็นลูกด้วยความจริงใจ 
เป็นศิษย์ของครูบาอาจารย์ก็เป็นศิษย์ด้วยความจริงใจ 

จะเป็นอะไร ทำอะไร คิดอะไร เป็นไปด้วยความจริงใจ 
ได้ชื่อว่า " เป็นผู้มีสัจจะ ความจริงใจ "

เมื่อมีสัจจะความจริงใจอย่างแน่วแน่ 
ชีวิตของเราทุกคนจึงเกี่ยวข้องกับสมาธิตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งวันตาย 
คนที่ไม่มีสมาธิย่อมมีนิสัยเหลาะแหละ ทำอะไรมีแต่จับจดไม่เอาจริงเอาจัง 

สมาธิเป็นกิริยาของจิต เมื่อเรามีสติกำหนดรู้จิตอยู่ตลอดเวลา 
ถ้าเรานั่งกำหนดรู้จิตของเรา เรียกว่า " ปฏิบัติสมาธิในท่านั่ง "
ถ้ากำหนดรู้จิตในท่ายืน เรียกว่า " ปฏิบัติสมาธิในท่ายืน "
เมื่อเรามีสติกำหนดรู้จิตในท่านอน เรียกว่า " ปฏิบัติสมาธิในท่านอน "
เวลาเดินจงกรม เรามีสติกำหนดรู้จิตของเรา เรียกว่า " ปฏิบัติสมาธิในท่าเดิน "

ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นแต่เพียงการเปลี่ยนอิริยาบถ บริหารกาย
เพื่อมิให้ส่วนใดส่วนหนึ่งถูกทรมานเกินไป 
เพราะฉะนั้น สมาธิจึงมิใช่เพียงการนั่งสมาธิอย่างเดียว 
แม้แต่การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด 
ถ้าเรามีสติรู้ตัวตลอดเวลา เราก็ได้ปฏิบัติสมาธิตลอดเวลา 

ถ้าหากเรายึดหลักว่า เราจะฝึกสติของเราให้รู้อยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน
รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ทุกๆ ขณะจิต ทุกลมหายใจ 
เราก็ได้ฝึกสมาธิอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ มาขัดขวาง 
เมื่อเราเข้าใจกันอย่างนี้ การฝึกสมาธิจะไม่มีอุปสรรค 
เพราะเราจะปฏิบัติได้ทุกเวลา ทุกโอกาส 

ผลที่เราจะได้จากการฝึกสมาธิ 
ทำให้จิตของเราตั้งมั่น หรือมั่นคงต่อการทำธุรกิจต่างๆ 
ทำให้เรามีจิตที่สงบเยือกเย็น และมีเมตตาปราณีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน 
จะมีความเคารพ บูชา รักในบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ดีขึ้น 
จะทำให้เราหมั่นขยันในการงาน ทำให้ความจำดี 
มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดรอบรู้ คิดการงานใดจะไม่ท้อถอย 
โดยเฉพาะสมาธิจะเสริมกำลังปัญญาของเราให้ปราดเปรื่อง 

กฎ หรือระเบียบที่จะประพฤติบำเพ็ญตน
ให้เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง 
ที่เราจะตั้งใจปฏิบัติโดยเจตนา คือ ' การรักษาศีล '

เรามาฝึกสมาธินี้เพื่ออบรมจิตของเราให้มีพลังงาน 
มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา 
เพื่อให้จิตของเรานี้เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าโดยอัตโนมัติ 
เมื่อจิตมีสภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน ก็ได้ชื่อว่า " จิตมีคุณธรรมความเป็นพุทธะ "

.
คำสอนโดย หลวงพ่อพุธ  ฐานิโย
ที่มา... http://www.thaniyo.com/index.php/news-a ... 9-07-13-38

การขยายส่วนแผนที่ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างไทม์ไลน์และตัวตนต่อไป


 clar การชี้แจงเพิ่มเติมเพื่อเชื่อมโยงกำหนดเวลาด้วยการระบุที่แตกต่างกัน

 "ขอบคุณที่มาอยู่ที่นี่และตอนนี้
 มีความสุขในใจของเราเมื่อเรารู้สึกถึงการเชื่อมต่อที่ยอดเยี่ยมกับคุณ
 กรุณาหายใจเข้าลึก ๆ และเดินทางต่อไปเพื่อปลุกให้ตื่น
 
ใช้เวลาสักครู่เพื่อสัมผัสถึงหัวใจของคุณและเพื่อให้คำเหล่านี้สัมผัส
 มีความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ปรากฏอยู่ต่อหน้าคุณเพียงเพราะคุณตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ในช่วงเวลาปัจจุบัน  มันทรงพลังหรือไม่ที่จะรักษาจุดโฟกัสของคุณไว้ที่นี่
 มีความเข้าใจที่ดีในสิ่งที่เราพูด  เราเชื่อมโยงจุดในใจของคุณเพื่อให้คุณสามารถเติมแผนที่และเดินทางต่อไป  เราชอบที่จะทำ
 
วันนี้เราจะทำการขยายส่วนแผนที่ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างไทม์ไลน์และตัวตนต่อไป
 ตอนนี้คุณได้รู้แล้วว่ามันเป็นการเชื่อมต่อที่ยอดเยี่ยมระหว่างตัวตน 3 มิติของคุณกับความเจ็บปวดที่คุณแบกติดตัวไปตลอดทาง  เราจะพูดว่า "อัตตา" ประกอบด้วยทุกสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับจิตวิญญาณของคุณอย่างสมบูรณ์แบบ  โปรดอย่าคิดว่ามันผิด  มันมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้คุณเพื่อขยายมุมมองของคุณและโอบกอดความมืดราวกับมันเป็นอีกด้านหนึ่งของความสว่าง

 จากมุมมองเชิงเส้นเวลาตัวตนของคุณเกิดขึ้นระหว่างทางโดยการเพิ่มความทรงจำของคุณและคุณลักษณะทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ "คุณ"
 เราสนับสนุนให้คุณปล่อยวางวิสัยทัศน์นี้  ที่จริงแล้วไม่มีตัวตนเนื่องจากไม่มีเวลาที่จะเชื่อมต่อกับคนต่อไป  คุณพกเมล็ดติดตัวไว้เสมอรอปลูกอะไรใหม่ไม่รู้ว่าชีวิตมีเมล็ดใหม่ให้คุณทุกช่วงเวลาและเมื่อคุณปลูกพวกมันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องหันหลังกลับเพราะชีวิตจะดูแลพวกเขา

 ตัวตนของคุณเกิดขึ้นเพราะคุณให้ความหมาย: ชื่อวัตถุประสงค์คุณสมบัติและอื่น ๆ  ไม่มีอะไรผิดปกติในการมีตัวตน  เรายังมี  เพียงแค่เรารู้ว่าตัวตนเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวที่เราสร้างขึ้นเพื่อให้เราสามารถเล่นเกมได้  ไม่จำเป็นต้องระบุด้วย
 
คุณมีตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมและมีประโยชน์มากในโลกของคุณ: ลองนึกภาพเกมคอมพิวเตอร์ที่คุณเลือกตัวละครและคุณสร้างรายละเอียดที่แตกต่างกันทั้งหมด แต่คุณทราบว่าเมื่อคุณเล่นเสร็จแล้ว Avatar จะหยุดอยู่และคุณจะ  ไม่รังเกียจแน่นอน
 
เราขอเชิญคุณมาดูภายในและถามตัวเองอย่างจริงใจว่า "ฉันคืออะไร"
 คุณชื่อ  ร่างกายของคุณ?  คุณสมบัติของคุณ?  ไลฟ์สไตล์ของคุณ?
 
คุณอยู่เหนือสิ่งนี้หรือไม่?
 และคุณจะเป็นอะไรได้เมื่อทุกอย่างภายในร่างกายและจิตใจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
 แม่น้ำบ่งบอกตัวเองด้วยก้อนกรวดบนชายฝั่งหรือไม่?  มันลองกลับไปที่ก้อนกรวดเดียวกันเพราะรู้หรือไม่?
 
บุคลิกภาพของคุณไม่เพียง แต่เป็นภาพลวงตา แต่เป็นการสร้างเชิงเส้นเวลา
 หายใจลึก ๆ.
 ทุกอย่างเป็นระเบียบสมบูรณ์แบบ  คุณได้รับการสอนว่าคุณต้องกำจัดจิตใจที่เห็นแก่ตัวไม่ฟังและรู้อยู่เสมอว่ามันเป็นภาพลักษณ์
 เราสนับสนุนให้คุณเห็นแง่มุมนี้อย่างลึกซึ้งและปรับให้เข้ากับด้านพยานของคุณ  อย่าให้อาหารมันและอย่าปฏิเสธมันโอบกอดมันด้วยความรักแล้วปล่อยให้มันเปลี่ยนไป
 
คุณต้องการเรื่องราวและเรื่องราวมักจะมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดอยู่เสมอ  จากนั้นเพื่อให้น่าสนใจยิ่งขึ้นคุณลืมไปเลยว่ามันเป็นเรื่องทั้งหมดและคุณสูญเสียความเชื่อไปว่าตัวละครของคุณเป็นตัวละครตัวจริงในเรื่องนี้  มันเยี่ยมมาก แต่ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่คุณจะตื่นขึ้นมาและจดจำทุกสิ่ง
 
การเปลี่ยนแปลงนำทุกสิ่งออกไป  มันต้องใช้ร่างกาย "ของคุณ" ความคิด "ของคุณ", "ของคุณ" อารมณ์  มีอะไรเหลืออยู่ในตัวคุณที่รัก?
 แล้วคุณล่ะ  ความคิดที่เกิดขึ้นในตอนเช้า?  หรือความโกรธที่แสดงออกมาในภายหลัง?  คุณเป็นเนื้อและเลือดและถ้าเป็นจริงแล้วส่วนไหนของเนื้อและเลือด  คุณเป็นผิวของคุณหรือหนึ่งในล้านแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในร่างกาย?
 
คุณช่วยชี้ให้ตัวคุณเองที่รักได้ไหม?
 “ คุณ” เป็นเรื่องราวที่ดีที่สุดที่เคยสร้าง  คนที่รับพรสร้างขึ้นจากความรักและความจริง แต่บิดและซ่อนเร้น

 คุณทั้งหมดนี้ไหม  แต่ทุกสิ่งที่คุณอยู่ในตอนเช้าคุณไม่ได้อยู่ในตอนเย็น ...
  และตอนนี้กลับไปที่การระบุของคุณและการดำรงอยู่ของระยะเวลาที่แตกต่างกัน  สิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกันเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพราะคุณต้องการสร้างเรื่องราวให้มากขึ้น: นี่คือวิธีที่คุณพัฒนาสิ่งที่แนบมาสำหรับแง่มุมต่าง ๆ ของ“ ตัวคุณ” และคุณได้ปฏิเสธผู้อื่น  ทุกสิ่งที่ถูกปฏิเสธจะแข็งแกร่งขึ้นและมีรูปร่าง  และความปรารถนาทุกอย่างที่มีรัฐตรงกันข้ามสร้างความเป็นคู่มากขึ้น  และมันก็แพร่กระจายและเพิ่มมากขึ้น

 ตอนนี้กลับมาในช่วงเวลานี้แล้วดูที่นี่
 คุณเข้าใจหรือไม่ว่าเราเสนอเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมดให้คุณไม่ใช่ความจริงขั้นสูงสุด แต่เพื่อให้คุณได้เห็นภาพใหญ่ขึ้นและขยายมุมมองของคุณ?
 คนที่รักในขณะที่คุณเชื่อมต่อกับตัวตนที่สูงขึ้นของคุณและคุณได้รับคำแนะนำจากที่นั่นเราขอเชิญคุณที่จะเชื่อมต่อกับแง่มุมที่ผ่านมาของตัวคุณเองและเพื่อให้คำแนะนำจากที่นี่ 

 บุคลิกภาพที่คุณสร้างขึ้นนี้สามารถเกี่ยวข้องกับตัวตนทั้งหมดในอดีต  และถ้าคุณยังต้องการที่จะเชื่อว่าคุณมีตัวตนที่ตายตัวเราจะบอกคุณว่าในทุก ๆ ครั้งที่คุณสร้างตัวตนใหม่  ดังนั้นจงส่งความรักและโอบกอดทุกคนจากอดีต: ลูกที่หายไปทั้งหมดที่คุณปฏิเสธและผู้ที่ถูกขอให้กลับบ้าน  นำชิ้นส่วนที่หายไปกลับคืนมาและกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้งแทนที่จะพยายามเติมหลุมด้วยชิ้นส่วนของปริศนาที่ไม่ตรงกัน
 
รู้สึกซาบซึ้งต่อตัวตนที่สูงขึ้นของคุณและปล่อยให้คนในอดีตรู้สึกสำนึกคุณ  กลับไปและนำทางพวกเขาผ่านความทุกข์ทรมานโรยความรักบนเส้นทางของพวกเขา
 
นี่คือวิธีที่คุณเปลี่ยนไทม์ไลน์ที่ผ่านมา  คุณกลับไปและรักษาสิ่งที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยาดังนั้นคุณไม่ต้องพกมันติดตัวไปด้วยอีกต่อไป  เปลี่ยนอดีตและเปลี่ยนไทม์ไลน์ในอนาคต
 เรารักคุณเรารักคุณเรารักคุณ "
 ☀️
 
จัดทำโดย Octavia Vasile
 ฉันเป็น Octavia และฉันเป็นช่อง Pleiadian Collective มิติที่ 9
 ฉันมาที่นี่เพื่อสนับสนุนกระบวนการจากน้อยไปหามากในการดำรงอยู่ในมิติที่ 5 โดยการแบ่งปันข้อความที่ฉันช่องกับคุณ  การส่งสัญญาณเหล่านี้นำเสนอด้วยความรักและพรจาก Pleiadian Collective สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่ปกป้องและนำทางโลกไปสู่การเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงการส่งผ่านความทุกข์เข้าสู่ความรัก
 ☀️

 ภาพที่สวยงามคือรหัสแสงและนำมาจาก: https://www.facebook.com/RainbowPathToWholeness
 ขอบคุณมาก ๆ สำหรับคนที่มาเป็นคน!
 โปรดอ่านข้อความที่แนบมากับภาพ:

 การเปิดใช้งาน Lightcode มังกรที่เพิ่มขึ้น  (ทุ่มเทให้กับ @ starseed.lightcodes)

 ฉันกำลังฝึกโยคะดราก้อนท่าโยคะอย่างเข้มงวดตามลำดับเมื่อรหัสแสงนี้มาหาฉัน  ในประกายสีทองภายในวงแหวนที่ล้อมรอบรูปสามเหลี่ยมชี้ขึ้นด้านบนล้อมรอบดวงอาทิตย์ขึ้นมันอยู่กับฉันเป็นเวลา 2 วันเมื่อทุกครั้งที่ฉันหลับตาฉันจะเห็นรหัส

 ในขณะที่มังกรโพสท่าเป็นช่องเปิดสะโพกและเชิงกรานอันทรงพลังฉันรู้สึกได้ว่าพลังสร้างสรรค์ที่ฉันทำงานและปล่อยผ่านท่าโพสเหล่านี้ยังป้องกันและเปลี่ยนแปลงในการทำงาน

 การเปิดใช้งานนี้เป็นการเปิดคุณสู่กองกำลังสร้างสรรค์ของคุณและการรับรู้ / การเชื่อมต่อกับพลังงานมังกรที่กำลังเกิดขึ้น

 หากต้องการใช้การเปิดใช้งานทั้งรับข้อความในพระราชกฤษฎีกาข้างต้นหรืออีกทางหนึ่งหายใจและรู้สึกถึงพลังงานของภาพที่เหมาะสมเช่นนี้เป็นความลับสำคัญในการเปิดใช้งาน  ใช้ลมหายใจที่สงบนิ่งอ่อนโยนต่อหัวใจของคุณค้างไว้ตราบใดที่คุณสามารถหายใจได้อย่างสบายและรู้สึกถึงเท้าของคุณเบา ๆ บนพื้น  ทำต่อไปจนกว่าคุณจะได้รับสิ่งที่คุณต้องการโดยสังหรณ์ใจ

 โปรดแบ่งปันรูปภาพและคำแนะนำเหล่านี้เนื่องจากการเปิดใช้งานเหล่านี้กำลังมองหาการรวมกลุ่มกับของขวัญที่เราทุกคนพร้อมที่จะรวบรวม  การตื่นอยู่ที่นี่  คุณและการกระทำของคุณเป็นส่วนสำคัญของการปฏิวัติของวิญญาณนี้

 ** ความรักและความเอาใจใส่มากมายได้เข้ามาในช่องทางและการสร้าง Lightcodes เหล่านี้  ฉันแบ่งปันได้อย่างอิสระ แต่คุณควรรู้สึกว่าทำเช่นนั้นได้รับการบริจาคด้วยความขอบคุณที่ https://paypal.me/walterwboyd

 ฉันขอให้คุณแบ่งปันภาพนี้โปรดอย่าลบลิขสิทธิ์ออกจากภาพ "🙏

https://www.facebook.com/112072623763758/posts/132496931721327/

28 เมษายน 2563

เหตุใดเทวดาตายแล้วจึงอยากเกิดเป็นมนุษย์


          ถาม  เคยได้ยินว่า เทวดาเมื่อตายแล้วก็ปรารถนาเกิดเป็นมนุษย์จริงหรือไม่ 
          เพราะมนุษย์เราตายแล้วก็ปรารถนาจะเป็นเทวดากันทั้งนั้น 
          เหตุใดเทวดาจึงปรารถนาเกิดเป็นมนุษย์ 

          ตอบ  ปัญหาที่คุณถามมานี้เป็นความจริง 
          พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเรื่องนี้ไว้ในจวมานสูตร ขุ.อิติวุตตกะ ข้อ ๒๖๑-๒๖๒ ว่า 
          “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดเทวดาผู้จะจุติจากเทพนิกาย เมื่อนั้นนิมิต ๕ ประการย่อมปรากฏแก่เทวดานั้น คือ 
                    ดอกไม้ย่อมเหี่ยวแห้ง ๑ 
                    ผ้าทรงย่อมเศร้าหมอง ๑ 
                    เหงื่อย่อมไหลออกจากรักแร้ ๑ 
                    ผิวพรรณเศร้าหมองย่อมปรากฏที่กาย ๑ 
                    ย่อมไม่ยินดีในทิพยะอาสน์ของตน ๑ 
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายทราบว่า เทพบุตรนี้จะต้องเคลื่อนจากเทพนิกาย ย่อมพลอยยินดีกะเทพบุตรนั้นด้วยถ้อยคำ ๓ อย่างว่า 
                    แน่ะท่านผู้เจริญ ขอท่านจากเทวโลกนี้ไปสู่สุคติ ๑ 
                    ครั้นได้ไปสู่สุคติแล้ว ขอท่านจงได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้ว ๑ 
                    ครั้นได้ลาภที่ท่านได้ดีแล้วขอจงเป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยดี ๑” 
          เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นส่วนแห่งการไปสู่สุคติของเทวดาทั้งหลาย อะไรเป็นส่วนแห่งลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว และอะไรเป็นส่วนการตั้งอยู่ด้วยดีของเทวดาทั้งหลาย พระเจ้าข้า” 
          พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า 
          “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์แล เป็นส่วนแห่งการไปสุคติของเทวดาทั้งหลาย 

          เทวดาครั้นเกิดเป็นมนุษย์แล้วย่อมได้ศรัทธาในธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วนี้แล เป็นส่วนแห่งลาภที่เทวดาทั้งหลายได้ดีแล้ว 
          ก็ศรัทธาของเทวดาทั้งหลายเป็นคุณชาติตั้งลง มีมูลรากเกิดแล้ว ประดิษฐานมั่นคง อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใครๆ ในโลกพึงนำไปไม่ได้ 
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นส่วนแห่งการตั้งอยู่ด้วยดีของเทวดาทั้งหลาย” 
          ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ได้ตรัสสรุปเป็นคาถาว่า 
          “เมื่อใดเทวดาจะต้องจุติจากเทพนิกายเพราะความสิ้นอายุ เสียง ๓ อย่างของเทวดาทั้งหลายผู้พลอยยินดี ย่อมเปล่งออกไปว่า แน่ะท่านผู้เจริญ ท่านจากโลกนี้ไปแล้วจงถึงสุคติ จงถึงความเป็นสหายแห่งมนุษย์ทั้งหลายเถิด ท่านเป็นมนุษย์แล้วจงได้ศรัทธาอย่างยิ่งในพระสัทธรรม ศรัทธาของท่านนั้นพึงเป็นคุณชาติตั้งลงมั่น มีมูลเกิดแล้ว มั่นคงในพระสัทธรรมที่พระตถาคตประกาศดีแล้ว อันใครๆ พึงนำไปไม่ได้ตลอดชีวิต ท่านจงละกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และอย่ากระทำอกุศลกรรมอย่างอื่นที่ประกอบด้วยโทษ กระทำกุศลด้วยกายด้วยวาจาให้มาก กระทำกุศลด้วยใจหาประมาณมิได้ หาอุปธิมิได้ แต่นั้นท่านจงกระทำบุญอันให้เกิดอุปธิสมบัตินั้นให้มากด้วยทาย แล้วยังสัตว์แม้เหล่าอื่นให้ตั้งอยู่ในพระสัทธรรมในพรหมจรรย์ 
          เมื่อใดเทวดาพึงรู้แจ้งซึ่งเทวดาผู้จะจุติ เมื่อนั้นย่อมพลอยยินดีความอนุเคราะห์ว่า แน่ะเทวดา ท่านจงมาบ่อยๆ” 

          ทั้งหมดนี้คือข้อความในพระสูตรนี้ และจากข้อความในจวมานสูตรนี้ ท่านผู้ถามก็จะเห็นว่า เมื่อเทวดาทั้งหลายเกิดนิมิต ๕ ประการอันแสดงว่าจะต้องจุติจากเทวโลกดังนี้แล้ว เทวดาทั้งหลายอื่นๆ ย่อมอวยพรให้เขาได้เกิดในมนุษย์ ซึ่งเขาถือว่ามนุษย์ภูมิเป็นสุคติภูมิของเทวดา เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วขอให้ได้ศรัทธาในพระสัทธรรม คือขอให้ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ฟังแล้วมีศรัทธาปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนนั้น เมื่อปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนนั้นแล้ว ขอให้ดำรงมั่นคงในพระธรรมนั้น นั่นคือขอให้ได้บรรลุมรรคผล คือโสดาปัตติผล เทวดาทั้งหลายหวังจะให้เทวดาผู้จะจุตินั้นสำเร็จเป็นพระโสดาบันแล้วกลับไปเสวยสุขอยู่ในเทวโลกอีก จึงกล่าวว่า ดูก่อนเทวดา ขอท่านจงกลับมาสู่เทพนิกายนี้บ่อยๆ คือ ขอให้สำเร็จเป็นโสดาบันแล้วกลับมาในหมู่เทพอีกนั่นเอง 
          ความจริงการเกิดเป็นมนุษย์นั้นมีโอกาสทำบุญทำกุศลได้ทุกอย่าง แม้การที่จะบรรลุเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าก็ต้องเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้
________________________________________

ที่มา อ้างอิงและแนะนำ :- 
          พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ 

          จวมานสูตร 
http://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=25&A=6074&Z=6109

    บทว่า ฉ ผสฺสายตนิกา นาม ความว่า นรกชื่อว่าผัสสายตนะ ๖ ไม่มี. นรกทั้งหลายที่ชื่อฉผัสสายตนิกาแต่ละชื่อไม่มี. จริงอยู่ บัญญัติว่าผัสสายตนะทางทวาร ๖ ย่อมมีในมหานรก แม้ทั้งหมด ๓๑ ขุมนั่นเอง. 
               แต่คำนี้ ท่านกล่าวหมายเอาอเวจีมหานรก. 
               แม้ในบทว่า สคฺคา (สวรรค์) นี้ ท่านประสงค์เอาเฉพาะบุรีดาวดึงส์เท่านั้น. แต่ชื่อว่าบัญญัติแห่งอายตนะหก แม้แต่ละอย่างในกามาวจรเทวโลกไม่มีก็หาไม่. 
               ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงฉผัสสายตนิกานี้ไว้ทำไม. 
               ตอบว่า ใครๆ ไม่อาจจะอยู่ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ในนรกได้ เพราะได้รับแต่ทุกข์โดยส่วนเดียว และไม่อาจอยู่ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ในเทวโลกได้ เพราะเกิดความประมาทด้วยสามารถความยินดีในการเล่นโดยส่วนเดียว เพราะได้รับความสุขโดยส่วนเดียว. 
               ส่วนมนุษยโลกมีความสุขและความทุกข์ระคนกัน ในมนุษยโลกนี้เท่านั้น ย่อมมีทั้งอบายและสวรรค์ปรากฏ. นี้ชื่อว่าเป็นกรรมภูมิของมรรคพรหมจรรย์. 
               กรรมภูมินั้น พวกท่านได้แล้ว เพราะฉะนั้น ขันธ์ซึ่งเป็นของมนุษย์ที่พวกเธอได้กันแล้ว จัดเป็นลาภของพวกท่าน และภาวะเป็นมนุษย์ที่พวกเธอได้แล้วนี้ ก็เป็นขณะเป็นสมัยของการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ที่พวกเธอได้. 
               สมจริงดังคำที่พระโปราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า. 
                         การเจริญมรรคในที่นี้ นี้ก็เป็นกรรมภูมิ ธรรมเป็นที่ตั้ง 
                         แห่งความสังเวชเป็นอันมาก ในที่นี้ก็เป็นฐานะอยู่ 
                         ท่านเกิดความสังเวชแล้ว ก็จงประกอบความเพียรโดย 
                         แยบคายในวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งความสลดสังเวชเถิด. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สํเวคา แปลว่า ความสังเวช.

               จบอรรถกถาขณสูตรที่ ๒

ขณสูตร
             [๒๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลาย
ได้ดีแล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย นรกชื่อว่าผัสสายตนิกะ ๖ อันเราเห็นแล้ว ในผัสสายตนิก-
*นรกนั้น สัตว์จะเห็นรูปอะไรๆ ด้วยจักษุ ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันไม่น่าปรารถนา ย่อม
ไม่เห็นรูปอันน่าปรารถนา ย่อมเห็นแต่รูปไม่น่าใคร่ ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าใคร่ ย่อม
เห็นแต่รูปอันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่เห็นรูปอันน่าพอใจ จะฟังเสียงอะไรๆ ด้วยหู...
จะดมกลิ่นอะไรๆ ด้วยจมูก... จะลิ้มรสอะไรๆ ด้วยลิ้น... จะถูกต้อง
โผฏฐัพพะอะไรๆ ด้วยกาย... จะรู้แจ้งธรรมารมณ์อะไรๆ ด้วยใจ ก็ย่อมรู้แจ้ง
แต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าปรารถนา ย่อมรู้
แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันไม่น่าใคร่ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าใคร่ ย่อมรู้แจ้งแต่
ธรรมารมณ์อันไม่น่าพอใจ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์อันน่าพอใจ
             [๒๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลาย
ได้ดีแล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย สวรรค์ชื่อว่า ผัสสายตนิกะ ๖ ชั้น เราได้เห็นแล้ว ในผัสสายต-
*นิกสวรรค์นั้น บุคคลจะเห็นรูปอะไรๆ ด้วยจักษุ ก็ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าปรารถนา
ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าปรารถนา ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าใคร่ ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่า
ใคร่ ย่อมเห็นแต่รูปอันน่าพอใจ ย่อมไม่เห็นรูปอันไม่น่าพอใจ ฯลฯ จะรู้แจ้ง
ธรรมารมณ์อะไรๆ ด้วยใจ ก็ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันน่าปรารถนา ย่อมไม่รู้
แจ้งธรรมารมณ์อันไม่น่าปรารถนา ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมไม่รู้แจ้ง
ธรรมารมณ์ที่ไม่น่าใคร่ ย่อมรู้แจ้งแต่ธรรมารมณ์อันน่าพอใจ ย่อมไม่รู้แจ้งธรรมารมณ์
อันไม่น่าพอใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เป็นลาภของเธอทั้งหลายแล้ว เธอทั้งหลายได้ดี
แล้ว ขณะเพื่อการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เธอทั้งหลายได้เฉพาะแล้ว ฯ
จบสูตรที่ ๒

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ บรรทัดที่ ๓๒๕๓-๓๒๗๖ หน้าที่ ๑๔๐-๑๔๑.
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=18&A=3253&Z=3276&pagebreak=0

"เธอทั้งหลายจงพยายาม อย่าประมาท 
อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนใจในภายหลัง
นี้เป็นอนุศาสนีของเรา เพื่อเธอทั้งหลาย ฯ"

  ว่าด้วยเรื่อง ปฏิปทาอันเป็นเครื่องให้ถึงความดับแห่งกรรม

กรรมสูตร

             [๒๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงกรรมทั้งใหม่และเก่า ความดับ
แห่งกรรม และปฏิปทาอันเป็นเครื่องให้ถึงความดับแห่งกรรม ท่านทั้งหลายจงฟัง
จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมเก่าเป็นไฉน จักษุอันบัณฑิต
พึงเห็นว่าเป็นกรรมเก่า อันปัจจัยทั้งหลายปรุงแต่งแล้ว สำเร็จด้วยเจตนา เป็น
ที่ตั้งแห่งเวทนา หู ... จมูก ... ลิ้น ... กาย ... ใจอันบัณฑิตพึงเห็นว่าเป็นกรรมเก่า  อัน
ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว  สำเร็จด้วยเจตนา เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา ดูกรภิกษุทั้งหลาย
นี้เราเรียกว่า กรรมเก่า ฯ
             [๒๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมใหม่เป็นไฉน กรรมที่บุคคลทำด้วย
กาย วาจา ใจ ในบัดนี้ นี้เราเรียกว่า กรรมใหม่ ฯ
             [๒๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับแห่งกรรมเป็นไฉน นิโรธที่ถูกต้อง
วิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นี้เราเรียกว่า ความดับ
แห่งกรรม ฯ
             [๒๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาอันเป็นเครื่องให้ถึงความดับแห่งกรรม
เป็นไฉน อริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ คือ สัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมาสังกัปปะ ๑
สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑ สัมมาวายามะ ๑ สัมมาสติ ๑
สัมมาสมาธิ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทาอันเป็นเครื่องให้ถึงความ
ดับกรรม ฯ
             [๒๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรมเก่า  กรรมใหม่ ความดับแห่งกรรม
และปฏิปทาอันเป็นเครื่องให้ถึงความดับกรรม เราได้แสดงแล้วแก่ท่านทั้งหลาย
ด้วยประการดังนี้แล กิจใดแล อันเราผู้ศาสดา ผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้
อนุเคราะห์แก่สาวกทั้งหลาย พึงทำ กิจนั้นเราทำแล้วเพราะอาศัยความอนุเคราะห์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้  นั่นเรือนว่างเปล่า เธอทั้งหลายจงพยายาม อย่า
ประมาท อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนใจในภายหลัง นี้เป็นอนุศาสนีของเราเพื่อ
เธอทั้งหลาย ฯ
จบสูตรที่ ๑
        
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=18&A=3449&Z=3475&pagebreak=0

อริยมรรค ๘

             [๓๓] สาวัตถีนิทาน. พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดง จักจำแนกอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง
อริยมรรคนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นไฉน? คือ
สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
             [๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน? ความรู้ในทุกข์ ในทุกขสมุทัย
ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ.
             [๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน? ความดำริในการออกจากกาม
ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ.
             [๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาเป็นไฉน? เจตนาเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จ
พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ นี้เรียกว่า สัมมาวาจา.
             [๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน? เจตนาเครื่องงดเว้นจากปาณา-
*ติบาต อทินนาทาน จากอพรหมจรรย์ นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ.
             [๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะเป็นไฉน? อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการ
เลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จชีวิตอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ.
             [๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาวายามะเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังฉันทะ
ให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามก
ที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด
บังเกิดขึ้น พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน
เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ.
             [๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสติเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณา
เห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสใน
โลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึง
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มี
สัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
เนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย นี้
เรียกว่า สัมมาสติ.
             [๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติย-
*ฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก
วิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วย
นามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มี
อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์
และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ.

จบ สูตรที่ ๘

             http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=19&A=174&Z=210&pagebreak=0

 วิภังคสูตร
               อรรถกถาวิภังคสูตรที่ ๘               
               พึงทราบวินิจฉัยในวิภังคสูตรที่ ๘ 
               บทว่า กตมา จ ภิกฺขเว สมฺมาทิฏฺฐิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ โดยปริยายนั้นแล้ว ทรงเริ่มเทศนานี้ เหมือนทรงประสงค์จะจำแนกโดยปริยายอื่นอีก. 
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺเข ญาณํ ความว่า ญาณอันเกิดขึ้นด้วยอาการ ๔ ด้วยสามารถการฟัง ๑ การพิจารณารอบคอบ ๑ การแทงตลอด ๑ การพิจารณา ๑. 
               แม้ในสมุทัยก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ส่วนในสองบทที่เหลือ (นิโรธและมรรค) ญาณ ๓ อย่างเท่านั้นย่อมควร เพราะการพิจารณาไม่มี. กัมมัฏฐานในสัจจะ ๔ นี้ พระองค์ทรงแสดงแล้วด้วยบทว่า ทุกฺเข ญาณํ เป็นต้นด้วยอาการอย่างนี้. 
               ในบทเหล่านั้น สัจจะ ๒ ข้างต้นเป็นวัฏฏะ ๒ ข้างปลายเป็นวิวัฏฏะ. 
               ในวัฏฏะและวิวัฏฏะเหล่านั้น ความยึดมั่นในกัมมัฏฐานของภิกษุมีในวัฏฏะ ในวิวัฏฏะความยึดมั่นไม่มี. 
               ก็โยคาวจรเมื่อเรียนซึ่งสัจจะ ๒ ข้างต้นในสำนักของอาจารย์ ท่องด้วยวาจาบ่อยๆ โดยสังเขปอย่างนี้ ปญฺจกฺขนฺธา ทุกฺขํ ตณฺหาสมุทโย และโดยพิสดารมีนัยเป็นอาทิว่า กตเม ปญฺจกฺขนฺธา รูปกฺขนฺโธ แล้วจึงทำกรรม. 
               ส่วนในสัจจะ ๒ นอกนี้ เธอย่อมทำกรรมด้วยการฟังอย่างนี้ว่า นิโรธสัจจะน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มรรคสัจจะน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ. เธอเมื่อทำอย่างนี้ ย่อมแทงตลอดซึ่งสัจจะ ๔ ด้วยปฏิเวธอย่างหนึ่ง ย่อมตรัสรู้ด้วยการตรัสรู้อย่างหนึ่ง ย่อมแทงตลอดทุกข์ได้ด้วยการกำหนดรู้ซึ่งสมุทัยได้ด้วยการละ ซึ่งนิโรธได้ด้วยการทำให้แจ้ง ย่อมแทงตลอดมรรคได้ด้วยการเจริญ. ย่อมตรัสรู้ทุกข์ได้ด้วยการกำหนดรู้ ฯลฯ ย่อมตรัสรู้มรรคได้ด้วยการเจริญ. 
               การเรียน การไต่ถาม การฟัง การทรงไว้ การพิจารณาและการแทงตลอด ย่อมมีในสัจจะ ๒ (ทุกข์ สมุทัย) ในส่วนเบื้องต้นแห่งสัจจะ ๔ ด้วยประการอย่างนี้. การฟังและการแทงตลอดเท่านั้น ย่อมมีในสัจจะ ๒ (นิโรธ มรรค) ในกาลต่อมา ว่าโดยกิจ ปฏิเวธธรรมย่อมมีในสัจจะ ๓ (ทุกข์ สมุทัย มรรค). ในนิโรธมีปฏิเวธเป็นอารมณ์. ส่วนปฏิเวธย่อมมีแก่สัจจะ ๔ ด้วยการพิจารณา. แต่การกำหนดในเบื้องต้นย่อมไม่มี. 
               ความห่วงใย การรวบรวม การทำไว้ในใจและการพิจารณา ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนี้ผู้กำหนดอยู่ในเบื้องต้นว่า เราย่อมกำหนดรู้ทุกข์ ย่อมละสมุทัย ย่อมทำให้แจ้งซึ่งนิโรธ เราย่อมยังมรรคให้เกิด. ความห่วงใยเป็นต้นย่อมมีจำเดิมแต่การกำหนด. แต่ในกาลต่อมา ทุกข์ย่อมเป็นอันเธอกำหนดรู้แล้วแล ฯลฯ มรรคย่อมเป็นอันเธอทำให้เกิดแล้ว. 
               ในสัจจะ ๔ เหล่านั้น สัจจะ ๒ ชื่อว่าเป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยาก. สัจจะ ๒ ชื่อว่าเห็นได้ยาก เพราะเป็นธรรมลุ่มลึก. 
               จริงอยู่ ทุกขสัจจะก็ปรากฏได้ เพราะความเกิดขึ้นย่อมถึงแม้ซึ่งอันตนพึงกล่าวว่า ทุกข์หนอ ในการกระทบด้วยตอและหนามเป็นต้น. แม้สมุทัยก็ปรากฏได้ เพราะความเกิดขึ้นด้วยสามารถมีความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะเคี้ยวกินและจะบริโภคเป็นต้น. แต่ว่า โดยการแทงตลอดถึงลักษณะทุกข์และสมุทัยสัจแม้ทั้งสอง ก็เป็นธรรมลุ่มลึก. สัจจะเหล่านั้นชื่อว่าเป็นธรรมอันลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยากด้วยประการดังนี้. 
               ความพยายามเพื่อต้องการเห็นสัจจะทั้งสองนอกนี้ (นิโรธ มรรค) ย่อมเป็นเหมือนการเหยียดมือไปเพื่อจับภวัคคพรหม เหมือนการเหยียดเท้าไปเพื่อถูกต้องอเวจี และเหมือนการยังปลายแห่งขนหางสัตว์ซึ่งแยกแล้วโดย ๗ ส่วนให้ตกสู่ปลาย. สัจจะเหล่านั้นชื่อว่าเป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยากด้วยประการดังนี้. 
               บทเป็นอาทิว่า ทุกฺเข ญาณํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วด้วยสามารถการเรียนเป็นต้น ในสัจจะ ๔ ชื่อว่าเป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยาก และชื่อว่าเป็นธรรมเห็นได้ยาก เพราะเป็นธรรมลุ่มลึก ด้วยประการดังนี้. ส่วนญาณนั้นย่อมมีอย่างนี้แลในลักษณะแห่งปฏิเวธ. 
               พึงทราบในบทเนกขัมมสังกัปปะเป็นอาทิ ความดำริในการออกจากกามว่า เกิดขึ้นแล้วโดยภาวะที่ออกไปจากกาม เพราะอรรถว่าเป็นข้าศึกต่อกามบ้าง เกิดขึ้นแล้วแก่ผู้พิจารณากามอยู่ดังนี้บ้างว่า เมื่อทำการกำจัดกาม ให้กามสงบก็เกิดขึ้นดังนี้บ้างว่า เมื่อสงัดจากกามก็เกิดขึ้นดังนี้บ้าง. 
               แม้ในสองบทที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. 
               ส่วนธรรมมีเนกขัมมสังกัปปะเป็นต้นเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากกาม จากพยาบาทและจากวิหิงสามีสภาวะต่างกัน. 
               ส่วนในขณะแห่งมรรค ความดำริในกุศลอย่างเดียวเท่านั้นย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น เพราะขาดกับบทแห่งความดำริในอกุศลอันเกิดนั้นในฐานะทั้ง ๓ เหล่านี้ นี้ชื่อว่าสัมมาสังกัปปะ. 
               ธรรมแม้มีเจตนาเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จเป็นต้น ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากพูดเท็จเป็นต้น มีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรค เจตนาเครื่องงดเว้นเป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้นย่อมเกิดขึ้น ยังองค์มรรคให้บริบูรณ์อยู่ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น เพราะขาดกับบทเจตนาเครื่องทุศีล อันเป็นอกุศล ซึ่งเกิดขึ้นในฐานะทั้ง ๔ เหล่านี้ นี้ชื่อว่าสัมมาวาจา. 
               ธรรมแม้มีเจตนาเครื่องงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้นมีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรค เจตนาเครื่องงดเว้นอันเป็นกุศลอย่างเดียวย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น เพราะขาดกับบทโดยไม่ทำเจตนาเครื่องทุศีลอันเป็นอกุศลซึ่งเกิดขึ้น ในฐานะทั้ง ๓ เหล่านี้ นี้ชื่อว่าสัมมากัมมันตะ. 
               บทว่า มิจฺฉาอาชีวํ ได้แก่ ทุจริตทางกายและทางวาจาอันตนให้เป็นไปแล้ว เพื่อต้องการของควรเคี้ยวและของควรบริโภคเป็นต้น. 
               บทว่า ปหาย คือ เว้น. บทว่า สมฺมาอาชีเวน ได้แก่ ด้วยการเลี้ยงชีพอันพระพุทธเจ้าสรรเสริญแล้ว. 
               บทว่า ชีวิตํ กปฺเปติ ความว่า ย่อมยังความเป็นไปแห่งชีวิตให้เป็นไป. 
               แม้สัมมาอาชีวะ ชื่อว่าต่างกันในเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากการหลอกลวงเป็นต้นมีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรค เจตนาเครื่องงดเว้นเป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้นย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น เพราะขาดกับบทเจตนาเครื่องทุศีลอันเป็นมิจฉาชีพ ซึ่งเกิดขึ้นในฐานะทั้ง ๗ เหล่านี้แล นี้ชื่อว่าสัมมาอาชีวะ. 
               บทว่า อนุปฺปนฺนานํ ความว่า เห็นอารมณ์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ในเรือนแห่งหนึ่ง ย่อมยังฉันทะให้เกิด เพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรม อันเป็นบาปซึ่งยังไม่เกิดขึ้นแก่ตน หรือว่าเห็นอารมณ์ทั้งหลาย ที่กำลังเกิดขึ้นแก่ผู้อื่น ย่อมยังฉันทะให้เกิด เพื่อความไม่เกิดขึ้น แห่งอกุศลธรรมอันเป็นบาป ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น อย่างนี้ว่า โอหนอ ธรรมอันเป็นบาปเห็นปานนี้ไม่พึงเกิดขึ้นแก่เรา ดังนี้. 
               บทว่า ฉนฺทํ ความว่า ย่อมยังวิริยฉันทะเป็นเหตุให้สำเร็จแห่งการปฏิบัติมิให้อกุศลธรรมเหล่านั้นเกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น. 
               บทว่า วายมติ ได้แก่ ย่อมทำความพยายาม. 
               บทว่า วิริยํ อารภติ ได้แก่ ย่อมยังความเพียรให้เป็นไป. 
               บทว่า จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ความว่า ย่อมทำจิตอันความเพียรประคองไว้แล้ว. 
               บทว่า ปทหติ ความว่า ย่อมยังความเพียรให้เป็นไปว่า หนัง เอ็นและกระดูกจงเหือดไปก็ตามเถิด. 
               บทว่า อุปฺปนฺนานํ ความว่า เคยเกิดขึ้นแล้วแก่ตนด้วยสามารถความฟุ้งซ่าน ย่อมยังฉันทะให้เกิด เพื่อละอกุศลธรรมเหล่านั้นด้วยคิดว่า บัดนี้ เราจักไม่ให้อกุศลธรรมทั้งหลายเช่นนั้นเกิดขึ้น. 
               บทว่า อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ความว่า กุศลธรรมมีปฐมฌานเป็นต้นที่ยังไม่ได้. 
               บทว่า อุปฺปนฺนานํ ได้แก่ กุศลธรรมเหล่านั้นนั่นแลที่ตนได้แล้ว. 
               บทว่า ฐิติยา ความว่า เพื่อความตั้งมั่นด้วยสามารถความเกิดขึ้นติดกันบ่อยๆ. 
               บทว่า อสมฺโมสาย ได้แก่ เพื่อความไม่สูญหาย. 
               บทว่า ภิยฺโย ภาวาย ได้แก่ เพื่อสูงขึ้นไป. 
               บทว่า เวปุลฺลาย ได้แก่ เพื่อความไพบูลย์. 
               บทว่า ปาริปูริยา ได้แก่ เพื่อให้ภาวนาบริบูรณ์. 
               สัมมาวายามะ แม้นี้ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด คิดมิให้เกิดเป็นต้น มีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรคความเพียร เป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้นย่อมเกิดขึ้น ยังองค์มรรคให้บริบูรณ์อยู่ด้วยสามารถให้สำเร็จกิจในฐานะ ๔ เหล่านี้แล นี้ชื่อว่าสัมมาวายามะ. 
               แม้สัมมาสติ ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความต่างกันแห่งจิตกำหนดกายเป็นต้น. ส่วนในขณะแห่งมรรค สติอย่างเดียวย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ด้วยสามารถให้สำเร็จกิจในฐานะ ๔ เหล่านี้ นี้ชื่อว่าสัมมาสติ. 
               พึงทราบในฌานเป็นต้น ในส่วนเบื้องต้น สัมมาสมาธิต่างกันด้วยสามารถสมาบัติ ในขณะแห่งมรรคด้วยสามารถมรรคที่ต่างกัน. 
               จริงอยู่ ปฐมมรรคของฌานอย่างหนึ่งย่อมมีปฐมฌาน แม้ทุติยมรรคเป็นต้นมีปฐมฌานหรือมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งในทุติยฌานเป็นต้น ปฐมมรรคของฌานอย่างหนึ่งย่อมมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งทุติยฌานเป็นต้น. แม้ทุติยมรรคเป็นต้นมีฌานอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งทุติยฌานเป็นต้นหรือมีปฐมฌาน. มรรคแม้ ๔ จะเหมือนกัน ไม่เหมือนกันหรือเหมือนกันบางอย่าง ย่อมมีด้วยสามารถแห่งฌานอย่างนี้แล. 
               ส่วนความต่างกันแห่งมรรคนี้ ย่อมมีด้วยการกำหนดฌานที่เป็นบาท. 
               จริงอยู่ มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ได้ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้วเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีปฐมฌานด้วยการกำหนดฌานที่เป็นบาท. ส่วนในฌานนี้ย่อมมีองค์แห่งมรรคโพชฌงค์และฌานบริบูรณ์แล้วแล. 
               มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ออกจากทุติยฌานแล้วเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีทุติยฌาน. ส่วนในฌานนี้ องค์มรรคมี ๗. มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ออกจากตติยฌานเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีตติยฌานก็ในฌานนี้มีองค์มรรค ๗ โพชฌงค์มี ๖. ตั้งแต่จตุตถฌานจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะก็มีนัยนี้. 
               จตุกกฌานและปัญจมกฌานในอรูปฌานย่อมเกิดขึ้น และฌานนั้น ท่านกล่าวว่า เป็นโลกุตระหาเป็นโลกิยะไม่ ดังนี้. 
               แม้ในบทว่า กถํ นี้ในบทนั้น มรรคนั้นเกิดขึ้นแล้วในอรูปฌาน เพราะออกจากปฐมฌานเป็นต้นได้โสดาปัตติมรรคเจริญอรูปสมาบัติ. มรรค ๓ แม้มีฌานนั้น ย่อมเกิดขึ้นในอรูปฌานนั้นของฌานนั้น. 
               ฌานที่เป็นบาท ย่อมกำหนดอย่างนี้แล. 
               ส่วนพระเถระบางพวกย่อมกล่าวว่า ขันธ์เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาย่อมกำหนด. บางพวกกล่าวว่า อัธยาศัยของบุคคลย่อมกำหนด. บางพวกย่อมกล่าวว่า วุฏฐานคามินีวิปัสสนาย่อมกำหนด. 
               การวินิจฉัยในวาทะของพระเถระเหล่านั้น พึงทราบโดยนัยอันกล่าวไว้แล้วในอธิการว่าด้วยวุฏฐานคามินีวิปัสสนา ในวิสุทธิมรรค. 
               บทว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สมฺมาสมาธิ ดังนี้ นี้เป็นโลกิยะในส่วนเบื้องต้น ในส่วนเบื้องปลายเป็นโลกุตระ ท่านเรียกว่า สมาธิ.

               จบอรรถกถาวิภังคสูตรที่ ๘               
               -----------------------------------------------------               

สมาธิสูตร
ว่าด้วยสมาธิเป็นเหตุเกิดปัญญา

             [๒๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก-
*เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ. ภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว  ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง. ก็ภิกษุย่อมรู้ชัดตามเป็น
จริงอย่างไร. ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป ความเกิดและความดับแห่งเวทนา ความ
เกิดและความดับแห่งสัญญา  ความเกิดและความดับแห่งสังขาร  ความเกิดและความดับแห่ง
วิญญาณ.
             [๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความเกิดแห่งรูป  อะไรเป็นความเกิดแห่ง
เวทนา อะไรเป็นความเกิดแห่งสัญญา อะไรเป็นความเกิดแห่งสังขาร อะไรเป็นความเกิดแห่ง
วิญญาณ? ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลในโลกนี้ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่.
ก็บุคคลย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง ย่อมดื่มด่ำอยู่ ซึ่งอะไร. ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง
ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป ความยินดีก็เกิดขึ้น ความยินดีในรูป
นั่นเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและอุปายาส. ความ
เกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนั้น ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. บุคคลย่อมเพลิดเพลินซึ่งเวทนา ฯลฯ
ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสัญญา ฯลฯ ย่อมเพลิดเพลินซึ่งสังขาร ฯลฯ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำถึง
ย่อมดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ เมื่อเพลิดเพลิน พร่ำถึง ดื่มด่ำอยู่ซึ่งวิญญาณ ความยินดีย่อมเกิดขึ้น
ความยินดีในวิญญาณ นั่นเป็นอุปาทาน เพราะอุปาทานของบุคคลนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัสและอุปายาส. ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย นี่เป็นความเกิดแห่งรูป นี่เป็นความเกิดแห่งเวทนา นี่เป็นความเกิดแห่งสัญญา นี่เป็น
ความเกิดแห่งสังขาร นี่เป็นความเกิดแห่งวิญญาณ.
             [๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเป็นความดับแห่งรูป อะไรเป็นความดับแห่งเวทนา
อะไรเป็นความดับแห่งสัญญา อะไรเป็นความดับแห่งสังขาร อะไรเป็นความดับแห่งวิญญาณ?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่.
ก็ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งอะไร. ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อม
ไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งรูป ความ
ยินดีในรูปย่อมดับไป เพราะความยินดีของภิกษุนั้นดับไป อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ
ภพจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ภิกษุย่อมไม่
เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำถึง ย่อมไม่ดื่มด่ำ ซึ่งเวทนา ... ซึ่งสัญญา ... ซึ่งสังขาร ...
ซึ่งวิญญาณ เมื่อเธอไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำถึง ไม่ดื่มด่ำอยู่ซึ่งเวทนา ... ซึ่งสัญญา ... ซึ่งสังขาร ...
ซึ่งวิญญาณ ความยินดีในเวทนา ... ในสัญญา ... ในสังขาร ... ในวิญญาณ ย่อมดับไป เพราะความ
ยินดีของภิกษุนั้นดับไป อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกอง
ทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความดับแห่งรูป นี้เป็นความดับ
แห่งเวทนา นี้เป็นความดับแห่งสัญญา นี้เป็นความดับแห่งสังขาร นี้เป็นความดับแห่งวิญญาณ.
จบ สูตรที่ ๕.

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ บรรทัดที่ ๒๙๓-๓๓๑ หน้าที่ ๑๓-๑๔.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=17&A=293&Z=331&pagebreak=0

ไตรวัฏฏ์ วัฏฏะ ๓, วงวน ๓ หรือวงจร ๓ ส่วนของปฏิจจสมุปบาท หมุนเวียนสืบทอดต่อๆ กันไป ทำให้มีการเวียนว่ายตายเกิด หรือวงจรแห่งทุกข์ ได้แก่ กิเลส กรรม และวิบาก
       (เรียกเต็มว่า
           ๑. กิเลสวัฏฏ์ ประกอบด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
           ๒. กรรมวัฏฏ์ ประกอบด้วย สังขาร ภพ
           ๓. วิปากวัฏฏ์ ประกอบด้วย วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส)
       คือ กิเลสเป็นเหตุให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมก็ได้รับวิบากคือผลของกรรมนั้น อันเป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสแล้วทำกรรมหมุนเวียนต่อไปอีก
       เช่น เกิดกิเลสอยากได้ของเขา จึงทำกรรมด้วยการไปลักของเขามา ประสบวิบากคือได้ของนั้นมาเสพเสวยเกิดสุขเวทนา ทำให้มีกิเลสเหิมใจอยากได้รุนแรงและมากยิ่งขึ้นจึงยิ่งทำกรรมมากขึ้น
       หรือในทางตรงข้ามถูกขัดขวาง ได้รับทุกขเวทนาเป็นวิบาก ทำให้เกิดกิเลส คือโทสะแค้นเคือง แล้วพยายามทำกรรมคือประทุษร้ายเขา เมื่อเป็นอยู่อย่างนี้ วงจรจะหมุนเวียนต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด;
       ไตรวัฏ ก็เขียน

พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ไตรวัฏฏ์

เทวดาไหว้ใคร

ภิกษุทั้งหลาย !
ครั้งนั้นแล ได้ทราบว่าท้าวสักกะจอมเทพ
ขณะเสด็จลงจากเวชยันตปราสาท
ทรงประนมอัญชลี นมัสการทิศเป็นอันมาก

ภิกษุทั้งหลาย !
ครั้งนั้นแล มาตลีสังคาหกเทพบุตร
ได้ทูลถามท้าวสักกะจอมเทพ ด้วยคาถาว่า

พราหมณ์ทั้งหลายผู้บรรลุไตรวิชชา
กษัตริย์ทั้งหลาย ณ ภูมิภาคทั้งหมด ท้าวมหาราชทั้งสี่
และทวยเทพชาวไตรทศผู้มียศ ย่อมนอบน้อมพระองค์

ข้าแต่ท้าวสักกะ !
เมื่อเป็นเช่นนั้น
พระองค์ทรงนอบน้อมท่านผู้ควรบูชาคนใด
ท่านผู้ควรบูชาคนนั้นชื่อไรเล่า ขอเดชะ


ท้าวสักกะตรัสตอบว่า

พราหมณ์ทั้งหลายผู้บรรลุไตรวิชชา
กษัตริย์ทั้งหลาย ณ ภูมิภาคทั้งหมด ท้าวมหาราชทั้งสี่
และทวยเทพชาวไตรทศผู้มียศ นอบน้อมท่านผู้ใด

ซึ่งเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล
มีจิตตั้งมั่นตลอดกาลนาน

ผู้บวชแล้วโดยชอบ
มีพรหมจรรย์เป็นเบื้องหน้า

คฤหัสถ์เหล่าใดเป็นผู้ทำบุญ มีศีล
เป็นอุบาสกเลี้ยงดูภรรยาโดยชอบธรรม

มาตลี !
เรานอบน้อมคฤหัสถ์เหล่านั้น

มาตลีสังคาหกเทพบุตรกล่าวว่า

ข้าแต่ท้าวสักกะ !
ได้ยินว่า พระองค์ทรงนอบน้อมบุคคลเหล่าใด
บุคคลเหล่านั้นเป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลกเทียว

ข้าแต่ท้าววาสวะ
พระองค์ทรงนอบน้อมบุคคลเหล่าใด
ถึงข้าพระองค์ก็ขอนอบน้อมบุคคลเหล่านั้น


ท้าวมฆวาสุชัมบดีเทวราช
ผู้เป็นประมุขของเทวดาทั้งหลาย ครั้นตรัสดังนี้แล้ว
ทรงน้อมนมัสการทิศเป็นอันมาก แล้วเสด็จขึ้นรถ

( บาลี – สคาถ. สํ. ๑๕/๓๔๓-๓๔๔/๙๒๘-๙๓๒ )

“จิตสุดท้ายก่อนตาย”


นพ.สรศักดิ์. ศุภผล รพ.รามาผู้ส่งบทความดีๆนี้มาให้ครับ

สำคัญก็จริง แต่ ....... 

“จิตหลังความตาย 20 นาทีแรก”
 ก็มีความสำคัญในการเปลี่ยนภพด้วย

“การศึกษาทางประสาทสรีรวิทยา นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน 

พบว่าหนูที่ตายใหม่ๆ หัวใจหยุดทำงาน เลือดหยุดไปเลี้ยงสมอง แต่คลื่นสมองยังคงอยู่ในภาวะ “ตื่นตัวขั้นสูง” 

บ่งบอกถึงการมีสติสัมปชัญญะของคนเมื่อหัวใจหยุดเต้น”
ดังนั้น ทางการแพทย์บอกว่า “ตาย” แต่สมองยังทำงานอยู่ เป็น “การสร้างภาพจากสังขารจิต 20 นาที” ว่าจะไปภพภูมิใด
ดังนั้น จึงควร “เหนี่ยวนำ ไม่ให้นิมิตมาหลอกหลอน 20 นาที หลังหัวใจหยุดเต้น (กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต) การเข้าสู่ความมืด(ภวังคจิต) บังสุกุล คำศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละศาสนาจะปลุกจิตให้ตื่นหรือถอนออกมาเอง”

แปลว่า ต่อให้ก่อนตายญาติและคนไข้ได้เตรียมตัวเหนี่ยวนำจิตเป็นอย่างดี จนตายไปแล้ว (ก็คือหัวใจหยุดทำงาน)

สมองก็ยังเหนี่ยวนำสิ่งที่ทำก่อนตายอยู่ เช่น ถ้ากำลังสวดมนตร์ภาวนา ตายไปแล้วจิตและสมองก็ยังหมกมุ่นอยู่กับการสวดมนต์ภาวนา ดวงจิตก็ย่อมเปลี่ยนภพภูมิไปที่ดี

แต่หากสมมติว่า ก่อนตายเตรียมตัวดีมาก แต่เมื่อตายไปแล้ว 
ญาติๆ ร้องไห้ระงมเสียงดังลั่น หรือ ลูกหลานทะเลาะแย่งสมบัติด้วยเสียงแซ่งแซ่ บรรยากาศเหล่านั้นก็จะเหนี่ยวนำให้สมองครุ่นคิดตรงนั้นและก็นำพาดวงจิตไปสู่ภพภูมิไม่ดีได้นั่นเอง

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำหลังความตาย 20 นาทีแรก คือ สวดมนต์  เมื่อรู้ว่ามีคนตาย ก็หยิบขวดน้ำมนต์เย็นๆ ในตู้เย็นติดมือไป และหยดน้ำมนต์ที่ตาที่สาม (จักระ 6) ตรงหน้าผากหว่างคิ้ว เพื่อให้ความเย็นของน้ำไปส่งสัญญาณให้สมองที่ตรงกลางข้างในซึ่งยังทำงานอยู่ได้ตื่นตัวฟังเสียงสวดมนต์หรือบังสุกุล แต่ถ้าใครไม่มีน้ำมนต์ ก็ให้ใช้น้ำเย็นธรรมดาก็ได้

สรุป 

บรรยากาศในการเตรียมตัวก่อนตายและหลังความตาย 
20 นาที จะต้องปราศจากเสียงร้องไห้เศร้าโศกการทะเลาะเบาะแว้งหรือการพูดเรื่องไม่สบายใจ เพื่อให้คนตายได้เปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้น

แต่ทั้งนี้ตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องทำความดี ละความชั่ว ขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสด้วย จะได้พร้อมเปลี่ยนภพภูมิได้ทุกที่ ทุกเวลาจิตใครเศร้าหมอง ก็สั่งจิตให้คลายความเศร้าหมอง ให้อภัยปล่อยวาง 

คิดซะว่ากฎหมายเอาผิดไม่ได้ แต่ก็หนีกฏแห่งกรรมไม่พ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่กฏแห่งกรรม เราไม่ต้องไปเอาคืนแก้แค้น เอาเวลามาทำจิตให้ผ่องใสเข้าสู่ความว่างดีกว่า

ผู้ใด เผยแผ่ ผู้นั้น ได้สะสมบุญ บารมี

วิธีแยกจิตออกจากกายทำได้อย่างไร


ถาม : วิธีแยกจิตออกจากกายทำอย่างไร ?

ตอบ :
ท่านที่สามารถแยกจิตออกจากกายได้เด็ดขาดคือ ไม่ติดใจ ไม่มีเยื่อใยในกายอีกต่อไป ถือว่าจิตกับกายเป็นคนละส่วนกัน คือ พระอรหันต์ จิตของพระอรหันต์เป็นจิตที่มีประกายพรึกงดงาม แสงสว่างสดใส ไม่มีกิเลสพัวพันอีก

ท่านที่แยกจิตออกจากกายได้ 75 % คือ พระอนาคามี อีก 25 % ยังติดในรูปฌานและอรูปฌาน มานะ ถือตัว จิตฟุ้งซ่านในฝ่ายกุศลนอกเรื่องจากอรูปฌาน มานะ ถือตัว จิตฟุ้งซ่านในฝ่ายกุศลนอกเรื่องจากพระนิพพาน มีอวิชชา เล็กน้อย คิดว่าได้คุณธรรมแค่พระอนาคามีก็พอแล้ว อย่างไร ๆ ก็ได้ ไปเกิดชั้นสุทธาวาสเป็นพรหมสบาย ๆ อยู่แล้ว ค่อยไปปฏิบัติต่อที่พรหมเพื่อไปพระนิพพานต่อก็ได้

จิตที่ไม่ติดใจในกายได้ 50 % คือ จิตของพระสกิทาคามี ยังมีกามฉันทะ ปฏิฆะ ความโกรธไม่พอใจเล็กน้อย มีความเห็นตรงตามคำสอนพระพุทธองค์ มีศีล 5 ครบ มีกรรมบถ 10 ครบถ้วน ไม่พูดเพ้อเจ้อ หยาบคาย เหลวไหล

ท่านที่แยกจิตออกจากกายได้ 25 % คือ พระโสดาบัน ท่านเอาจิตไปพิจารณาว่ากายต้องตายเพราะกายเป็นธาตุ 4 เป็นของโลก จิตเป็นของละเอียด เป็นนามธรรมมาอาศัยกายซึ่งเป็นรังที่แสนสกปรกรกรุงรัง จิตต้องมีภาระดูแลทำความสะอาดทุกวันเหม็นเน่าสาบสางทุกวัน มีแต่โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเป็นทุกข์เป็นโทษ กายเป็นที่อาศัยของจิตชั่วคราว สติพิจารณาตัวตนไว้ว่าตัวเราคือจิต กายทำอะไรให้จิต จิตทำอะไรให้กาย เป็นการพิจารณาที่ตัดสักกายทิฏฐิให้เห็นว่า กายกับจิตเป็นคนละส่วนกัน

ท่านที่แยกจิตออกจากกาย ความจริงจิตก็ยังอยู่อยู่ในกายนั่นแหละยังไม่ตาย แต่จิตไม่รักหวงแหนหลงใหลว่ากายเป็นของจริงเหมือนอย่างสมัยปุถุชน

เราท่านที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลก็หัดแยกจิตออกจากกายตามวิธีที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ดังนี้

1. พิจารณาร่างกายเป็นธาตุ 4 ขันธ์ 5 (รูป-นาม) ไม่ใช่ตัวตนของเรา เราจริง ๆ คือ จิตหรือ อทิสมานกาย กายในที่เป็นนาม มองไม่เห็นแต่เป็นผู้รู้คิดผู้มีสติปัญญา ไม่หลงในกายที่มีแต่สิ่งสกปรก มีแต่ทุกข์ คือ หิวเหนื่อยร้อนหนาวปวดทุกวัน เมื่อกายตายจิตไม่ตายตามกาย

2. หัดแยกจิตออกจากกาย คือ หัดทำสมาธิ ด้วยอานาปานุสสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่เสมอ มีพุท-โธ สัมมาอรหัง นะมะพะธะ นะโมพุทธายะ ประจำลมหายใจ จิตสะอาดด้วย พุทธานุสสติกรรมฐานและการกำหนดจิตตามลมหายใจเข้าหายใจออก จิตก็ไม่หลงติดพัวพันในร่างกายคนที่เรารักอีกต่อไป จะมีปัญญารู้ว่าไม่น่าติดใจหลงใหลใฝ่ฝันในกายเรากายเขาเพราะสกปรก ตายทุกคน ถ้าจิตเป็นฌาน 4 จิตจะมีพลังแก่กล้า ก็ช่วยให้แยกจิตออกจากกายได้เด็ดขาด ไม่มีความรู้สึกทรมานเป็นทุกข์เวทนาในรเมื่อร่างกายเจ็บป่วยใกล้ตายไม่ต้องใช้ยาระงับปวด เป็นประโยชน์ในการตายอย่างสงบสุข แต่ต้องฝึกเข้าฌานตอนที่ร่างกายดีแข็งแรงจึงจะได้ผล ถ้าฝึกสมาธิตอนป่วยจิตจะไม่สงบฟุ้งซ่าน ไม่เป็นสมาธิ

3. หัดแยกจิตโดยฝึกหัด มโนมยิทธิ ตามที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี สอนไว้ ให้ยกจิตหรืออทิสมานกาย ออกจากกายเนื้อที่เป็นกายจอมปลอมไปกราบองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานทุกวันวันละ 5 นาที ทำบ่อย ๆ จิตจะชินเมื่อใกล้ตายจะไปพระนิพพานได้ง่าย เพราะ จิตเป็นผู้ไป ตั้งใจไปไหนตายแล้วจิตจะไปที่นั่น แม้มีกิเลสวุ่นวายมากมาย แม้ก่อนตาย กายจะเจ็บปวดทรมาน จิตไม่สนใจในความอยากโกรธ ไม่เกลียด ไม่หลงในกายเห็นกายเป็นทุกข์โทษทรมานเป็นวิปัสสนาญาณ จิตกำหนดพระนิพพานไว้ทุกวัน จะเป็นพลังความดีที่ช่วยให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย ถ้านึกถึงพระพุทธองค์ทุกวัน พระพุทธเจ้าท่านเมตตาคน สัตว์อยู่แล้ว พระองค์ก็เปล่งฉัพพรรณรังสีมาให้ผู้ที่นึกถึงพระองค์ได้เห็นพระรูปพระโฉมที่งดงามเป็นทิพย์ของพระพุทธองค์ จิตของผู้ตายจะสดชื่นเบิกบานลืมความเจ็บปวดของกายหมด จิตสบายเป็นสุข ก็ติดตามพระพุทธองค์เข้าสู่พระนิพพาน ซึ่งเป็นทางลัดง่าย ๆ ที่จิตเราค่อย ๆ ทำไปให้มั่นใจ สักวันคงพ้นทุกข์แน่นอน

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

พระคาถาของ "หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก"


พระคาถาอาราธนาคุณพระ

พระพุทธัง อาราธนานัง
พระธัมมัง อาราธนานัง
พระสังฆัง อาราธนานัง
พุทธัง ชัยสิทธิ์ ธนัง มหาลาภัง
ธัมมัง ชัยสิทธิ์ ธนัง มหาลาภัง
สังฆัง ชัยสิทธิ์ ธนัง มหาลาภัง

ขอให้ข้าพเจ้ามี ศรี สิริ มงคล มีลาภ มีผลอันยิ่งใหญ่ ขอให้แคล้วคลาดจากสรรพศัตรูหมู่ร้ายทั้งปวง

พระคาถาสารพัดห้าม

บุญฤทธิ์​ ปกปิดรักษา สุโกปัญจะ ถอยนะถอยนะ
บุญฤทธิ์​ ปกปิดรักษา สุโกปัญจะ นะระงับดับภัย
บุญฤทธิ์​ ปกปิดรักษา สุโกปัญจะ กัณหะเนหะ อมนุษย์​อย่านะ

พระคาถากันภัย

นะพุทธัง พระอะระหังกันตัว
พระเจ้าทูลหัว คุ้มตัวข้าพเจ้า
พระพุทโธ เป็นกำแพงวัง
พระธัมมัง เป็นกำแพงแก้ว
พระสังฆัง คลาดแคล้ว
อายุ วัณโณ สุขัง พลัง ฯ

หลวงพ่อดี วัดพระรูป สุพรรณบุรี

                             หลวงปู่ดี จัตตมโล วัดพระรูป ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
ประวัติหลวงพ่อดี  มีนามเดิมว่า นายดี ศรีขำสุข เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2454 ที่บ้านคันลำ ต.ดอนตาล อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายปั้น และ นางหรุ่น ศรีขำสุข มีพี่น้อง 5 คน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้อง
      ในช่วงวัยเยาว์ ได้ติดตามพี่ชายคือ พระอาจารย์เผื่อน ปุสสชิโน (ศรีขำสุข) ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุ มาอยู่อาศัยที่วัดพระรูป ได้ศึกษาเล่าเรียนภาษาขอมกับ พระอาจารย์คง วัดไชนาวาส เขตเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี และเรียนหนังสือไทยกับ พระอาจารย์ช้าง เจ้าอาวาสวัดพระรูป
ครั้นอายุ 23 ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดไชนาวาส โดยมี พระครูสมณะการพิสิฐ (หลวงพ่อท้วม) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูถาวรสุวรรณคุณ (หลวงพ่อคำ) เป็นพระกรรม วาจาจารย์ และ พระอาจารย์บุญ วัดไชนาวาส เป็นพระอนุสาวนาจารย์
หลังจากอุปสมบทได้อยู่จำพรรษาที่วัดพระรูป และมุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรมและพระธรรมวินัย สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี ในปี พ.ศ. 2524 ได้รับแต่งตั้งจากคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระรูป
พ.ศ.2488- หลวงปู่ดี ได้ร่วมกับคณะกรรมการวัด พระภิกษุ-สามเณร บูรณปฏิสังขรณ์สิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในวัด เช่น กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ พระอุโบสถ
พ.ศ.2513- หลวงปู่ดี ได้สร้างพระเครื่องและพระบูชาแบบต่างๆ เพื่อหาเงินสร้างวิหารพระพุทธไสยาสน์ โดยท่านได้ตั้งจิตอธิษฐาน จุดธูปเทียนบูชาพระ ชุมนุมเทวดา ก่อนปฏิญาณตนต่อหน้าพระพุทธรูป ว่า
"ข้าพเจ้าขอสร้างพระชนิดต่างๆ เพื่อนำเงินมาบูรณะวัดพระรูป จะไม่นำเงินส่วนนี้มาใช้ส่วนตัวเป็นอันขาด ถ้าข้าพเจ้าเอาไปใช้ส่วนตัว ขอให้ตกนรกอย่าได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกเลย"
หลวงปู่ดี วัดพระรูป ได้นิมนต์พระคณาจารย์ รวบรวมดอกไม้ร้อยแปด ว่านร้อยแปด แร่ธาตุต่างๆ และผงกรุต่างๆ นำมาสร้างพระเครื่องขึ้น ดังนี้ พระผงสุพรรณ, พระนางพญา, พระซุ้มกอ, พระสมเด็จ, พระรอด, พระกำแพงศอก, และโลหะพิเศษต่างๆ พระที่ชำรุด และมวลสารที่มีคนนำมาถวาย โดยมีพิธีพุทธาภิเษกครบไตร มาส 3 เดือนเต็ม จึงได้นำออกมาให้เช่าบูชา
พระเครื่องทุกแบบ ทุกพิมพ์ ทุกรุ่น ที่หลวงปู่ดีสร้างปรากฏว่าได้รับความนิยม เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวเมืองสุพรรณบุรี จนกระทั่งถึงระดับประเทศ ได้ชื่อว่า เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังระดับประเทศอีกรูปหนึ่ง ที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา สามารถกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ

                                 หลวงพ่อดีท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านได้เข้าไปในพระอุโบสถและตั่งสัตย์ปฏิญาณว่า "ลูกไม่มีเงินที่จะพัฒนาวัด และเกินกำลังเหลือเกินจะขอสร้างวัตถุมงคลเพื่อหารายได้เข้าวัด ขอให้วัตถุมงคลนี้มีเมตตา บารมี และศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ผู้ที่มาเช่านำไปใช้เกิดศิริมงคล ลูกขอทำวัตถุมงคลนำเงินมาบูรณะวัดพระรูปให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

            ในการสร้างพระเครื่องพิมพ์ต่าง ๆ ท่านได้นำพระพิมพ์ต่าง ๆ ที่แตกหักจากเจดีย์ต่าง ๆ ทั่วเมืองสุพรรณ โดยเฉพาะพระชำรุดหักของวัดบ้านกร่าง วัดพระรูป และวัดมหาธาตุ พระผงสุพรรณ ฯลฯ มาเป็นส่วนผสมในมวลสาร

การสร้างพระเครื่อง หลวงปู่ดี วัดพระรูป เวลาท่านทำพระเครื่องท่านจะกดพิมพ์เองกับมือวันหนึ่งทำไม่มากองค์หรอกครับ(เพราะเมื่อหมดฤกษ์ดี ยามดี ในแต่ละวันท่านก็หยุด)ท่านสร้างและเก็บไว้ เมื่อเกจิสมัยนั้นแวะเวียนมาหาท่าน ก็จะร่วมกันปลุกเสกด้วย (หลวงปู่โต๊ะ)(หลวงพ่อมุ่ย)ฯลฯ
และนำเข้าพุทธาภิเศก ใหญ่อีกครั้ง ท่านสร้างพระเพราะต้องการให้ชาวบ้านได้ร่วมทำบุญและได้พระเครื่องไว้บูชาและนำเงินมาบำรุงวัดซึ้งในขณะนั้นวัดพระรูปได้ทรุดโทรมมาก
เมื่อได้เพียงพอแล้วจะหยุดสร้างทันที ต่อมาท่านก็หยุดสร้างจริงๆ ไม่ได้สร้างทุกๆปี หรือตามวาระพรรษา รุ่นหลังๆเป็นลูกศิษย์ขอสร้างเนื่องจากจะซ่อมแซมวัด(จึงเป็นเหตุให้ผงสุพรรณและพระขุนแผน พระปิดตา รุ่นที่หลวงพ่อกดพิมพ์เองจริงๆแล้วมีจำนวนไม่มากนัก)แต่รุ่นหลังๆ พุทธคุณก็เหมือนกันทุกประการ
ชาวเมืองสุพรรณและพื้นที่ใกล้เคียงล่ำลือกันว่า((จะมีผีเสื้อ ผึ้ง และนกหลายชนิด บินมาเกาะที่มือหลวงพ่อและอยู่ใกล้ๆ เวลาหลวงพ่อดีกดพิมพ์พระเครื่อง))
เมื่อหมดฤกษ์ดี ท่านก็หยุด พระเครื่องของท่าน(จะมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ )ปัจจุบันยังมีผู้ชีวิตอยู่สามารถยืนยันเรื่องการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ดี วัดพระรูปได้(ตามตำราโบราณ) สายตรงต่างทราบดี พุทธคุณดีด้านเมตตา มหาเสน่ห์ มหานิยมและอยู่ยงคงกระพันชาตรี มหาอุตม์ พุทธคุณดีทุกๆด้าน

ที่มา
http://sitloungpordee.blogspot.com/

วิธีเจริญกรรมฐานภาวนา พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต


จะแสดงวิธีเจริญกรรมฐานภาวนา เพื่อโยคาวจรกุลบุตรได้ศึกษาและปฏิบัติสืบไป โยคาวจรผู้ใดจะเจริญกรรมฐานภาวนา พึงตรวจดูจริตของตนให้รู้ชัด ว่า ตนเป็นคนมีจริตอย่างใดแน่นอนก่อนแล้วพึงเลือกเจริญกรรมฐานอันเป็นที่สบายแก่จริตนั้นๆ ดังได้แสดงไว้แล้วนั้นเถิด
อนึ่ง พึงทราบคำกำหนดความดังต่อไปนี้ไว้เป็นเบื้องต้นก่อน คือบริกรรมนิมิต หมายเอาอารมณ์ของกรรมฐานที่นำมากำหนดพิจารณา อุคคหนิมิต หมายเอาอารมณ์ของกรรมฐานอันปรากฏขึ้นในมโนทวาร ขณะที่กำลังทำการเจริญภาวนาอยู่อย่างชัดแจ้ง คล้ายเห็นด้วยตาเนื้อ ปฏิภาคนิมิต หมายเอาอารมณ์ของกรรมฐานอันปรกฏแจ่มแจ้งแก่ใจของผู้เจริญภาวนายิ่งขึ้นกว่าอุคคหนิมิต และพึงทราบลำดับแห่งภาวนาดังนี้ บริกรรมภาวนา หมายการเจริญกรรมฐานในระยะแรกเริ่มใช้สติประคองใจกำหนดพิจารณาในอารมณ์ กรรมฐานอันใดอันหนึ่ง อุปจารภาวนา หมายการเจริญกรรมฐานในขณะเมื่ออุคคหนิมิตเกิดปรากฏในมโนทวาร อัปปนาภาวนา หมายการเจริญภาวนาในขณะเมื่อปฏิภาคนิมิตปรากฏ จิตเป็นสมาธิแนบเนียน มีองค์ฌาณปรากฏขึ้นครบบริบูรณ์
บริกรรมภาวนาได้ทั่วไปในกรรมฐานทั้งปวง อุปจารภาวนาได้ในกรรมฐาน 10 ประการ คือ อนุสสติ 8 ตั้งแต่พุทธานุสสติ ถึงมรณัสสติ กับอาหาเรปฏิกูลสัญญาและจตุธาตุววัตถาน เพราะเป็นกรรมฐานสุขุมละเอียดยิ่งนัก ส่วนอัปปนาภาวนานั่นได้ในกรรมฐาน 30 คือ กสิณ 10 อสุภะ 10 อานาปานสติ 1 กายคตาสติ 1 พรหมวิหาร 4 และอรูปกรรมฐาน 4
กรรมฐาน 11 คืออสุภะ 10 กับกายคตาสติ 1 ให้สำเร็จแต่เพียง รูปาวจร ปฐมฌาณ พรหมวิหาร 3 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา ให้สำเร็จรูปาวจรฌาณทั้ง 4 ประการ อุเบกขาพรหมวิหาร ให้สำเร็จแต่บัญจมรูปาวจรฌาณอย่างเดียว อรูปกรรมฐาน 4 ให้สำเร็จแต่อรูปาวจรฌาณอย่างเดียวฯ

( 1 ) วิธีเจริญปฐวีกสิณ กุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญกรรมฐานภาวนา อันชื่อว่าปฐวีกสิณ พึงตัดปลิโพธกังวลห่วงใยน้อยใหญ่เสียให้สิ้นแล้ว ไปยังที่เงียบสงัด เพ่งพิจารณาดินที่ตนตกแต่งเป็นดวงกสิณเป็นอารมณ์ หรือจะเพ่งพิจารณาดินที่แผ่นดินหหรือที่ลานข้าวเป็นต้นเป็นอารมณ์ก็ได้ เมื่อจะพิจารณาดินที่มิได้ตกแต่งไว้เป็นดวงกสิณนั้น พึงกำหนดให้มีที่สุดโดยกลมเท่าตะแกรง กว้างคืบ 4 นิ้ว เป็นอย่างใหญ่หรือเล็กกว่ากำหนดนี้ แล้วพึงบริกรรมภาวนาว่าปฐวีๆ ดินๆ ดังนี้ร่ำไป ถ้ามีวาสนาบารมีเคยได้สั่งอบรมมาแต่ชาติก่อนๆ แล้ว ก็อาจได้สำเร็จฌาณ ถ้าหากวาสนาบารมีมิได้ ก็ยากที่จะสำเร็จฌาณด้วยการเพ่งแผ่นดินอย่างว่านี้ จำจะต้องทำเป็นดวงกสิณ เมื่อจะทำ พึงหาดินสีแดงดังแสงพระอาทิตย์แรกอุทัย มาทำ อย่าทำในที่คนสัญจรไปมาพลุกพล่าน พึงทำในที่สงัดเป็นที่ลับที่กำบัง ดวงกสิณนั้นจะทำตั้งไว้กะที่ทีเดียว หรือจะทำชนิดยกไปได้ก็ตาม ดินที่ทำดวงกสิณนั้น พึงชำระให้หมดจด ทำเป็นวงกลม กว้างคืบ 4 นิ้ว ขัดให้ราบเสมอดังหน้ากลอง พึงปัดกวาดที่นั้นให้เตียนสะอาด ปราศจากหยากเยื่อเฟื้อฝอยแล้วพึงชำระกายให้หมดเหงื่อไคล เมื่อจะนั่งภาวนา พึงนั่งบนตั่งที่มีเท้าสูง คืบ 4 นิ้ว นั่งห่างดวงกสิณออกไปประมาณ 2 ศอกคืบ พึงนั่งขัดสมาธิเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรงผินหน้าไปทางดวงกสิณ แล้วพึงพิจารณาโทษกามคุณต่าง ๆ และตั้งจิตไว้ให้ดีในฌาณธรรมอันเป็นอุบายที่จะยกตนออกจากกามคุณ และจะล่วงพ้นกองทุกข์ทั้งปวง แล้วพึงระลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ยังปรีดาปราโมทย์ให้เกิดขึ้น แล้วพึงทำจิตให้เคารพรักใคร่ในพิธีทางปฏิบัติให้มั่นใจว่าปฏิบัติดังนี้ ได้ชื่อว่าเนกขัมมปฏิบัติ พระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทะเจ้าเป็นต้น จะได้ละเว้นหามิได้ ล้วนแต่ปฏิบัติดังนี้ทุกๆ พระองค์ ครั้นแล้วพึงจิตว่า เราจะได้เสวยสุขอันเกิดแต่วิเวกด้วยปฏิบัติอันนี้โดยแท้ ยังความอุตสาหะให้เกิดขึ้นแล้วจึงลืมจักษุขึ้นดูดวงกสิณเมื่อลืมจักษุขึ้นนั้น อย่าลืมขึ้นให้กว้างนัก จะลำบากจักษุ อนึ่งมณฑลกสิณจะปรากฏแจ้งเกินไป ครั้นลืมลืมจักษุขึ้นน้อยนักมณฑลกสิณก็จะปรากฏแจ้ง จิตที่จะถือเอากสิณนิมิตเป็นอารมณ์นั้น ก็จะย่อหย่อนท้อถอยเกียจคร้านไป เหตุฉะนี้จึงพึงลืมจักษุขนาดส่องเงาหน้าในกระจก อนึ่ง เมื่อแลดูดวงกสิณนั้นอย่าพิจารณาสี พึงกำหนดว่าสิ่งนี้เป็นดินเท่านั้น แต่สีดินนั้นจะละเสียก็มิได้ เพราะว่าสีดินกับดวงกสิณเนื่องกันอยู่ ดูดวงกสิณก็เป็นอันดูสีอยู่ด้วย เหตุฉะนี้ พึงรวมดวงกสิณกับสีเข้าด้วยกัน และดูดวงกสิณกับสีนั้นให้พร้อมกัน กำหนดว่า สิ่งนี้เป็นดิน แล้วจึงบริกรรมภาวนาว่า ปฐวีๆ ดินๆ ดังนี้ร่ำไป ร้อยครั้งพันครั้งเมื่อกระทำบริกรรมภาวนาว่าปฐวี ๆ อยู่นั้นอย่าลืมจักษุเป็นนิตย์ พึงลืมจักษุดูอยู่หน่อยหนึ่งแล้วหลับลงเสีย หลับลงสักหน่อย แล้วพึงลืมขึ้นดูอีก พึงปฏิบัติโดยทำนองนี้ไปจนกว่าจะได้อุคคหนิมิต ก็กสิณนิมิตอันเป็นอารมณ์ที่ตั้งแห่งจิต ในขณะที่ทำการบริกรรมว่าปฐวีนั้น ชื่อว่าบริกรรมภาวนา เมื่อตั้งจิตในกสิณนิมิต กระทำบริกรรมว่าปฐวีๆ นั้น ถ้ากสิณนิมิตมาปรากฏในมโนทวารหลับจักษุลงกสิณนิมิตก็ปรากฏอยู่ในมโนทวารดังลืมจักษุแล้วกาลใด ชื่อว่าได้อุคคหนิมิต ณ กาลนั้น เมื่อได้อุคคหนิมิตแล้ว พึงตั้งจิตอยู่ในอุคคหนิมิตนั้น กำหนดให้ยิ่งวิเศษขึ้นไป เมื่อปฏิบัติอยู่ดังนี้ ก็จะข่มนิวรณธรรมโดยลำดับๆ กิเลสก็จะสงบระงับจากสันดาน สมาธิก็จะแก่กล้าเป็นอุปจารสมาธิ ปฏิภาคนิมิตก็จะปรากฏขึ้นอุคคหนิมิตกับปฏิภาคนิมิต มีลักษณะต่างกัน คืออุคคหนิมิตยังประกอบด้วยกสิณโทษ คือยังปรากฏเป็นสีดินอยู่อย่างนั้น ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏบริสุทธิ์งดงามดังแว่นกระจก ที่บุคคลถอดออกจากฝักจากถุงฉะนั้น จำเดิมแต่ปฏิภาคนิมิตเกิดขึ้นแล้ว นิวรณ์ทั้งสิ้นก็ระงับไปจิตก็ตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ สำเร็จเป็นกามาพจรสมาธิภาวนา เมื่อได้อุปจารสมาธิแล้ว ถ้าพากเพียรพยายามต่อขึ้นไปไม่หยุดหย่อน ก็จะได้สำเร็จอัปปนาสมาธิซึ่งเป็นรูปาวจรฌาณ และเมื่อกระทำเพียรจนบรรลุถึงอัปนาฌาณ เกิดขึ้นในสันดานแล้ว ก็พึงกำหนดไว้ว่า 1 เราประพฤติอิริยาบถอย่างนี้ๆ 2 อยู่ในเสนาสนะอย่างนี้ๆ 3 โภชนาหารอันเป็นที่สบายอย่างนี้ๆ จึงได้สำเร็จฌาณการที่ให้กำหนดไว้นี้ เผื่อว่าฌาณเสื่อมไปก็จะได้เจริญสืบต่อไปใหม่โดยวิธีเก่า ฌาณที่เสื่อมไปนั้น ก็จะเกิดขึ้นได้โดยง่ายในสันดานอีก ครั้นเมื่อได้สำเร็จปฐมฌาณแล้วพึงปฏิบัติในปฐมฌาณนั้นให้ชำนาญคล่อง แคล่วด้วยดีก่อนแล้วจึงเจริญทุติยฌาณสืบต่อขึ้นไป
ก็ปฐมฌาณที่ชำนาญคล่องแคล่วด้วยดี ต้องประกอบด้วยวสีทั้ง 5 คือ 
( 1 ) อาวัชชนวสี ชำนาญคล่องแคล่วในการนึก ถ้าปรารถนาจะนึกถึงองค์ฌาณที่ตนได้ ก็นึกได้เร็วพลัน มิได้เนิ่นช้า มิต้องรอนานถึงชวนจิตที่ 4-5 ตกลง ยังภวังค์จิต 2-3 ขณะถึงองค์ฌาณที่ตนได้ 
(2) สมาปัชชนวสี คือชำนาญคล่องแคล่วในการที่จะเข้าฌาณอาจเข้าฌาณได้ในลำดับอาวัชชนจิต อันพิจารณาซึ่งอารมณ์คือปฏิภาคนิมิตมิได้เนิ่นช้า 
(3) อธิษฐานวสี คือชำนาญในอันดำรงรักษาฌาณจิตไว้มิให้ตกภวังค์ ตั้งฌาณจิตไว้ได้ตามกำหนด ปรารถนาจะตั้งไว้นานเท่าใดก็ตั้งไว้ได้นานเท่านั้น 
(4)วุฎฐานวสี คือชำนาญคล่องแคล่วในการออกฌาณ กำหนดไว้ว่าเวลานั้นๆ จะออกก็ออกได้ตามกำหนดไม่คลาดเวลาที่กำหนดไว้ 
(5) ปัจจเวกขณวสี คือชำนาญคล่องแคล่วในการพิจารณาองค์ฌาณที่ตนได้อย่างรวดเร็ว มิได้เนิ่นช้า ถ้าไม่ชำนาญไนปฐมฌาณแล้วอย่าพึงเจริญทุติยฌาณก่อน ต่อเมื่อชำนิชำนาญคล่องแคล่วในปฐมฌาณด้วยวสีทั้ง 5 ดังกล่าวแล้ว จึงควรเจริญทุติยฌาณสืบต่อขึ้นไป เมื่อชำนาญในทุติยฌาณจึงเจริญตติยฌาณ จตุตถฌาณ และปัญจมฌาณขึ้นไปตามลำดับ
องค์ของฌาณเป็นดังนี้ ปฐมฌาณมีองค์ 5 คือวิตก ความตรึกคิดมีลักษณะยกจิตขึ้นสู่อารมณ์เป็นองค์ที่ 1 วิจารณ์ ความพิจารณามีลักษณะไตร่ตรองอารมณ์เป็นองค์ที่ 2 ปิติ เจตสิกธรรมที่ยังกายและจิตใจให้อิ่มเต็มมีประเภท 5 คือ 
(1) ขุททกาปิติ กายและจิตอิ่มจนขนพองชูชันทำให้น้ำตาไหล 
(2) ขณิกาปิติ กายและจิตอิ่มมีแสงสว่างดังฟ้าแลบปรากฎในจักษุทวาร 
(3) โอกกนติกาปิติ กายและจิตอิ่ม ปรากฏดั่งคลื่นและละลอกทำให้ไหวให้สั่น 
(4) อุพเพงคาปิติ กายและจิตอิ่มและกายเบาเลื่อนลอยไปได้ 
(5) ผรณาปิติ กายและจิตอิ่ม เย็นสบายซาบซ่านทั่วสรรพางค์กาย ปิติทั้ง 5 นี้อันใดอันหนึ่งเป็นองค์ที่ 3 สุขอันเป็นไปในกายและจิต เป็นองค์ที่ 4 และเอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านไปมา จัดเป็นองค์ครบ 5 
ฌาณที่พร้อมด้วยองค์ 5 นี้ชื่อว่าปฐมฌาณฯ ทุตยฌาณ มีองค์ 3 คือปิติสุข เอกัคคตา ตติฌาณมีองค์ 2 คือสุข เอกัคคตา จตุตถฌาณมีองค์ 2 คือเอกัคคตา อุเบกขา นี้จัดโดยฌาณจุกกนัย ถ้าจัดโดยฌาณปัญจกนัยเป็นดังนี้ ปฐมฌาณมีองค์ 5 คือ วิตก วิจาร สุข เอกัคคตา ทุตติฌาณ มีองค์ 4 คือ วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา ตติยฌาณมีองค์ 3 คือปิติ สุข เอกัคคตา จตุตถฌาณมีองค์ 2 คือ สุข เอกัคคตา ปัญจมฌาณมีองค์ 2 คือ เอกัคคตาอุเบกขา
กุลบุตรผู้เจริญ กสิณนี้อาจได้สำเร็จฌาณสมาบัติโดยจตุกกนัย หรือปัญจกนัยดังกล่าวมานี้

(2) วิธีเจริญอาโปกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญอาโปกสิณ ถ้าเป็นผู้มีวาสนาสั่งสมอาโปกสิณมาแต่ชาติก่อนๆ แล้ว ถึงจะมิได้ตกแต่งกสิณเลยเพียงแต่เพ่งดูน้ำในที่ใดที่หนึ่งเช่นในสระในบ่อ ก็อาจสำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ถ้ากุลบุตรอันหาวาสนาในอาโปกสิณมิได้ พึงเจริญอาโปกสิณในปัจจุบันชาตินี้ ก็พึงทำเอาอาโปกสิณด้วยน้ำที่ใสบริสุทธ์เอาน้ำใส่ภาชนะ เช่นบาตรหรือขันให้เต็มเพียงขอบปากยกไปตั้งไว้ในที่กำบัง ตั้งม้าสี่เหลี่ยมสูงคืบ 4 นิ้ว กระทำพิธีทั้งปวงโดยทำนองที่กล่าวไว้ในวิธีเจริญปฐวีกสิณนั้นเถิด คำบริกรรมภาวนาในอาโปกสิณว่า อาโป ๆ น้ำ ๆ พึงบริกรรมดังนี้ร่ำไปร้อยครั้งพันครั้ง จนกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต และอัปปนาฌาณ โดยลำดับ ก็อุคคหนิมิตในอาโปกสิณนี้ปรากฏดุจไหว ๆ กระเพื่อม ๆ อยู่ ถ้าน้ำนั้นประกอบด้วยกสิณโทษคือเจือปนด้วยเปลือกตมหรือฟอง ก็จะปรากฏในอุคคหนิมิตด้วย ส่วนปฏิภาคนิมิต ปรากฏปราศจากกสิณโทษ เป็นดุจกาบขั้วตาลแก้วมณีที่จะประดิษฐานในอากาศ มิฉะนั้นดุจมณฑลแว่นแก้วมณี เมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดแล้วโยคาวจรกุลบุตรทำปฏิภาคนิมิตให้เป็นอารมณ์ บริกรรมไปว่า อาโป ๆ น้ำ ๆ ดังนี้ จะได้ถึงจตตุถฌาณหรือปัญจมฌาณตามลำดับ 

(3) วิธีเจริญเตโชกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้มีวาสนาบารมี เคยเจริญเตโชกสินมาแล้วในชาติก่อน เพียงแต่เพ่งเปลวไฟในที่ใดที่หนึ่ง บริกรรมภาวนาว่า เตโชๆ ไฟ ๆ ดังนี้ ก็อาจได้สำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ถ้าผู้ไม่เคยบำเพ็ญมาแต่ชาติก่อน ปรารถนาจะเจริญเตโชกสิณ พึงหาไม้แก่นที่สนดีมาตากไว้ให้แห้ง บั่นออกไว้เป็นท่อนๆ แล้วนำไปใต้ต้นไม้ หรือที่ใดที่หนึ่งซึ่งเป็นที่สมควร แล้วกองฟืนเป็นกองๆ ดังจะอบบาตร จุดไฟเข้าให้รุ่งเรือง แล้วเอาเสื่อลำแพน หรือแผ่นหนังหรือแผ่นผ้า มาเจาะเป็นช่องกลมกว้างประมาณคืบ 4 นิ้ว แล้วเอาขึงไว้ตรงหน้า นั่งตามพิธีที่กล่าวไว้ในปฐวีกสิณแล้วตั้งจิตกำหนดว่า อันนี้เป็นเตโชธาตุ แล้วจึงบริกรรมว่า เตโชๆ ไฟๆ ดังนี้ร่ำไปจนกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต โดยลำดับไป
อุคคหนิมิตในเตโชกสิณนี้ ปรากฏดุจเปลวเพลิวลุกไหม้ไหว ๆ อยู่เสมอ ถ้ามิได้ทำดวงกสิณพิจารณาไฟในเตาเป็นต้น เมื่ออุคคหนิมิตเกิดขึ้น กสิณโทษก็จะปรากฏด้วย ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏมิได้หวั่นไหว จะปรากฏดุจท่อนผ้ากำพลแดงอันประดิษฐานอยู่บนอากาศ หรือเหมือนกาบขั้วตาลทองคำฉะนั้น เมื่อปฏิภาคนิมิตปรากฏแล้ว โยคาวจรก็จะได้สำเร็จฌาณตามลำดับจนถึงจตุตถฌาณ ปัญจมฌาณ
(4) วิธีเจริญวาโยกสิณ ให้เพ่งลมที่พัดอันปรากฏอยู่ที่ยอดอ้อย ยอดไผ่ ยอดไม้ หรือปลายผมที่ถูกลมพัดไหวอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วพึงตั้งสติไว้ว่า ลมพัดต้องในที่นี้ หรือลมพัดเข้ามาในช่องหน้าต่าง หรือช่องฝา ถูกต้องกายในที่ใดก็พึงตั้งสติไว้ในที่นั้น แล้วพึงบริกรรมว่า วาโยๆ ลมๆ ดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะสำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในวาโยกสิณนี้ จะปรากฏไหว ๆ เหมือนไอแห่งข้าวปายาส อันบุคคลปลงลงจากเตาใหม่ๆ ปฏิภาคนิมิตจะปรากฏอยู่เป็นอันดีมิได้หวั่นไหว เมื่ออุคคหนิมิตเกิดแล้ว โยคาวจรกุลบุตรก็จะได้สำเร็จฌาณโดยลำดับ
(5) วิธีเจริญนีลกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญนีลกสิณพึงพิจารณานิมิตสีเขียวเป็นอารมณ์ ถ้าเป็นผู้มีวาสนาบารมีเคยได้เจริญนีลกสิณมาแต่ชาติก่อนๆ แล้ว เพียงแต่เพ่งดูดอกไม้สีเขียวหรือผ้าเขียวเป็นต้น ก็อาจได้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ส่วนผู้พึ่งจะเจริญนีลกสิณในชาติปัจจุบันนี้ พึงทำดวงกสิณก่อน พึงเอาดอกไม้อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีสีเขียวล้วนอย่างเดียว มาลำดับลงในผอบ หรือฝากล่องให้เสมอขอบปาก อย่าให้เกสรแลก้านปรากฏ ให้แลเห็นแต่กลีบสีเขียวอย่างเดียว หรือจะเอาผ้าเขียวขึงที่ปากผอบหรือฝากล่องทำให้เสมอดังหน้ากลองก็ได้ หรือจะเอาของที่เขียวเช่นคราม เป็นต้น มาทำเป็นดวงกสิณเหมือนอย่างปฐวีกสิณก็ได้
เมื่อทำดวงกสิณเสร็จแล้วพึงปฏิบัติพิธีดดยทำนองที่กล่าวไว้ในปฐวีกสิณนั้นเถิด พึงบริกรรมภาวนาว่านีลํๆ เขียวๆ ดังนี้ร่ำไป จนกว่าอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตจะเกิดขึ้น อุคคหนิมิตในนีลกสิณนี้มีกสิณโทษอันปรากฏ ถ้ากสิณนั้นกระทำด้วยดอกไม้ก็เห็นเกสร-ก้าน และระหว่างกลีบปรากฏส่วนปฏิภาคนิมิตจะปรากฏดุจกาบขั้วตาลแก้วมณีตั้งอยู่ในอากาศ เมื่อปฏิภาคนิมิตเกิดแล้ว อุปจารฌาณและอัปปนาฌาณก็จะเกิดดังกล่าวแล้วในปฐมกสิณ
(6-7-8) วิธีเจริญปีตกสิณโลหิตกสิณ-โอทาตกสิณ วิธีเจริญกสิณทั้ง 3 นี้ เหมือนกับ นีลกสิณทุกอย่าง ปีตกสิณเพ่งสีเหลือง บริกรรมว่าปีตกํๆ เหลืองๆ โลหิตกสิณเพ่งสีแดง บริกรรมว่า โลหิตํๆ แดงๆ โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว บริกรรมว่า โอทาตํๆ ขาวๆ ดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิตและปกิภาคนิมิต ลักษณะอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตก็เหมือนในนีลกสิณ ต่างกันแต่สีอย่างเดียวเท่านั้น
(9) วิธีเจริญอาโลกกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้เจริญอาโลกกสิณนี้ ถ้าเป็นผู้มีวาสนาบารมี เคยได้เจริญมาแต่ชาติก่อนๆ แล้วเพียงแต่เพ่งดูแสงพระจันทร์หรือแสงพระอาทิตย์ หรือช่องหน้าต่างเป็นต้นที่ปรากฏเป็นวงกลมอยู่ที่ฝาหรือที่พื้นนั้นๆ ก็อาจสำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ส่วนโยคาวจรที่พึงจะเจริญกสิณในชาติปัจจุบันนี้ เมื่อจะเจริญต้องทำดวงกสิณก่อน พึงหาหม้อมาเจาะให้เป็นช่องกลมประมาณคืบ 4 นิ้ว เอาประทีปตามไว้ข้างใน ปิดปากหม้อเสียให้ดี ผินช่องหม้อไปทางฝา แสงสว่างที่ออกทางช่องหม้อก็จะปรากฏเป็นวงกลมอยู่ที่ฝา พึงนั่งพิจารณาตามวิธีที่กล่าวไว้ในปฐวีกสิณ บริกรรมว่า อาโลโกๆ แสงสว่างๆ ดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอาโลกกสิณนี้ ปรากฏดุจวงกลมอันปรากฏที่ฝานั่นแล ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏผ่องใสเป็นแท่งทึบ ดังดวงแห่งแสงสว่างฉะนั้น
(10) วิธีเจริญอากาศกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผู้ปรารถนาจะเจริญอากาศกสิณนี้ ถ้าเป็นผู้มีวาสนาบารมี เคยสั่งสมมาแล้วแต่ชาติก่อน เพียงแต่เพ่งดูช่องฝา ช่องดาน หรือช่องหน้าต่างเป็นต้น ก็อาจสำเร็จอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ถ้าไม่มีวาสนาบารมีในกสิณ ข้อนี้มาก่อนต้องทำดวงกสิณก่อน เมื่อจะทำดวงกสิณ พึงเจาะฝาเจาะแผ่นหนังหรือเสื่อลำแพนให้เป็นวงกว้างคืบ 4 นิ้ว ปฏิบัติการทั้งปวง โดยทำนองที่กล่าวไว้ในปฐวีกสิณบริกรรมว่า อากาโสๆ อากาศๆ ดังนี้ร่ำไปจนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิต และปรากฏรูปวงกลมอากาศ แต่มีที่สุดฝาเป็นต้นเจือปนอยู่บ้าง ส่วนปฏิภาคนิมิต ปรากฏเป็นวงกลมอากาศเท่ากับวงกสิณเด่นอยู่ และสามารถแผ่ออกให้ใหญ่ได้ตามต้องการ

(11) วิธีเจริญอุทธุมาตกะอสุภกรรมฐาน โยคาวจรกุลบุตร ผู้มีศรัทธาปรารถนาจะเจริญกรรมฐานนี้ พึงไปสู่ที่พิจารณาอุทธุมาตกะอสุภนิมิตอย่าไปใต้ลม พึงไปเหนือลม ถ้าทางข้างเหนือลมมีรั้วและหนามกั้นอยู่ หรือมีโคลนตมเป็นต้น ก็พึงเอาผ้าหรือมือปิดจมูกไป เมื่อไปถึงแล้วอย่าเพ่อและดูอสุภนิมิตก่อน พึงกำหนดทิศก่อน ยืนอยู่ในทิศใดเห็นซากอสุภะไม่ถนัด น้ำจิตไม่ควรแก่ภาวนากรรม พึงเว้นทิศนั้นเสีย อย่ายืนทิศนั้น พึงไปยืนในทิศที่เห็นซากอสุภะถนัด น้ำจิตก็ควรแก่กรรมฐาน อนึ่งอย่ายืนในที่ใต้ลม กลิ่นอสุภะจะเบียดเบียน อย่ายืนข้างเหนือลมหม่อมนุษย์ที่สิงอยู่ในซากอสุภะจะโกรธเคือง พึงหลีกเลี่ยงเสียสักหน่อย อนึ่งอย่าใกล้นักไกลนัก ยืนไกลนักวากอสุภะไม่ปรากฏแจ้ง ยืนใกล้นักจะไม่สบายเพราะกลิ่นอสุภะและปฏิกูลด้วยซากศพ ยืนชิดเท้านัก ชิดศีรษะนักจะไม่เห็นซากอสุภะหมดทั้งกาย พึงยืนในที่ท่ามกลางตัวอสุภะในที่ที่สบาย เมื่อยืนอยู่ดังนี้ ถ้าก้อนศิลาจอมปลวกต้นไม้ หรือกอหญ้าเป็นต้น ปรากฏแก่จักษุ จะเล็กใหญ่ ขาวดำ ยาวสั้น สูงต่ำอย่างใด ก็พึงกำหนดรู้อย่างนั้นๆ แล้วต่อไปพึงกำหนดอุทธุมาตกะอสุภะนี้ โดยอาการ 6 อย่าง คือ สี เภท สัณฐาน ทิศ ที่ตั้งอยู่ในปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย กำหนดสัณฐานอสุภะนี้ เป็นร่างกายของคนดำ คนขาวเป็นต้น กำหนดเภทนั้น คือกำหนดว่าซากอสุภะนี้เป็นร่างกายของคนที่ตั้งอยู่ในปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย กำหนดสัณฐานนั้นคือ กำหนดว่า นี่เป็นสัณฐานศีรษะ-ท้อง-สะเอว-เป็นต้น กำหนดทิศนั้นคือ กำหนดว่า ในซากอสุภะนี้มีทิศ 2 คือ ทิศเบื้องต่ำ-เบื้องบน ท่านกายตั้งแต่นาภีลงมาเป็นทิศเบื้องต่ำ ตั้งแต่นาภีขึ้นไปเป็นทิศเบื้องบนกำหนดที่ตั้งนั้น คือกำหนดว่ามืออยู่ข้างนี้ เท้าอยู่ข้างนี้ ศีรษะอยู่ข้างนี้ ท่ามกลางกายอยู่ที่นี้ กำหนดปริเฉทนั้นคือกำหนดว่า ซากอสุภะนี้มีกำหนดในเบื้องต่ำด้วยพื้นเท้า มีกำหนดในเบื้องบนคือปลายผม มีกำหนดในเบื้องขวางด้วยหนังเต็มไปด้วยเครื่องเน่า 31 ส่วน โยคาวจรพึงกำหนดพิจารณาอุทธุมาตกะ อสุภนิมิตนี้ ได้เฉพาะแต่ซากอสุภะ อันเป็นเพศเดียวกับตน คือถ้าเป็นชาย ก็พึงพิจารณาเพศชายอย่างเดียว
เมื่อพิจารณาอุทธุมาตกอสุภะนั้น จะนั่งหรือยืนก็ได้ แล้วพึงพิจารณาให้เห็นอานิสงส์ในอสุภกรรมฐานพึงสำคัญประหนึ่งดวงแก้ว ตั้งไว้ซึ่งความเคารพรักใคร่ยิ่งนัก ผูกจิตไว้ในอารมณ์คืออสุภะนั้นไว้ให้มั่นด้วยคิดว่าอาตมาจะได้พ้นชาติ ชรา มรณทุกข์ด้วยวิธีปฏิบัติดังนี้แล้ว พึงลืมจักษุขึ้นแลดูอสุภะ ถือเอาเป็นนิมิต แล้วเจริญบริกรรมภาวนาไปว่า อุทธุมาตกํ ปฏิกูลํ ซากศพพองขึ้น เป็นของน่าเกลียดด้งนี้ร่ำไป ร้อยครั้ง พันครั้ง ลืมจักษุดูแล้วพึงหลับ-จักษุพิจารณา ทำอยู่ดังนี้เรื่อยไป จนเมื่อหลับจักษุดู ก็เห็นอสุภะเหมือนเมื่อลืมจักษุดูเมื่อใด ชื่อว่าได้อุคคหนิมิตในกาลเมื่อนั้น ครั้นได้อุคคหนิมิตแล้ว ถ้าไม่ละความเพียรพยายามก็จะได้ปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตปรากฏเห็นเป็นของพึงเกลียดพึงกลัว และแปลกประหลาดยิ่งนัก ปกิภาคนิมิตปราฏกดุจบุรุษมีกายอันอ้วนพี กินอาหารอิ่มแล้วนอนอยู่ฉะนั้น เมื่อได้ปฏิภาคนิมิตแล้ว นิวรณธรรมทั้ง 5 มีกามฉันทะเป็นต้น ก็ปราศจากสันดานสำเร็จอุปจารฌาณ และอัปปนาฌาณ และความชำนาญแคล่วคล่องในฌาณโดยลำดับไปฯ
(12) วิธีเจริญวินีลกอสุภกรรมฐาน วินีลกอสุภะนั้นคือซากศพกำลังพองเขียว วิธีปฏิบัติทั้งปวงเหมือนในอุทธุมาตกอสุภะ แปลกแต่คำบริกรรมว่า วินีลกํ ปฏิกูลํ อสุภะขึ้นพองเขียวน่าเกลียดดังนี้ อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ปรากฏมีสีต่างๆ แปลกกัน ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นสีแดง ขาว เขียว เจือกัน
(13) วิธีเจริญวิบุพพกอสุภกรรมฐาน วิบุพพกอสุภะนี้ คือซากศพมีน้ำหนองไหล วิธีปฏิบัติเหมือนในอุทธุมาตกอสุภะทุกประการ แปลกแคำบริกรรมว่า วิปุพพกํ ปฏิกูลํ ซากศพมีน้ำหนองไหลน่าเกลียดดังนี้เท่านั้น อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ปรากฏเหมือนมีน้ำหนอง น้ำเหลืองไหลอยู่มิขาด ส่วนปฏิภาคนิมิตนั้น ปรากฏเหมือนดั่งร่างอสุภะสงบนิ่งอยู่มิได้หวั่นไหว
(14) วิธีเจริญวิฉิททกอสุภกรรมฐาน อสุภะนี้ ได้แก่ซากศพที่ถุกตัดออกเป็นท่อนๆ ทั้งอยู่ในที่มีสนามรบหรือป่าช้าเป็นต้น วิธีปฏิบัติทั้งปวงเหมือนในอุทธุมาตกอสุภะ แปลกแต่คำบริกรรมว่า วิฉิททกํ ปฏิกูลํ ซากศพขาดเป็นท่อนๆ น่าเกลียดดังนี้เท่านั้น อุคคหนิมิตปรากฏเป็นซากอสุภะขาดเป็นท่อนๆ ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏเหมือนมีอวัยวะครบบริบูรณ์ มิเป็นช่องขาดเหมือนอย่างอุคคหนิมิต
(15) วิธีเจริญวิขายิตกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซากศพอันสัตว์ มีแร้ง กา และสุนัขเป็นต้น กัดกินแล้วอวัยวะขาดไปต่างๆ บริกรรมว่า วิขายิตกํ ปฏิกูลํ ซากศพที่สัตว์กัดกินอวัยวะต่างๆ เป็นของน่าเกลียด ดังนี้ร่ำไปกว่าจะได้สำเร็จอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต ก็อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏเหมือนซากอสุภะ อันสัตว์กัดกินกลิ้งอยู่ในที่นั้นๆ ปฏิภาคนิมิตปรากฏบริบูรณ์สิ้นทั้งกาย จะปรากฏเหมือนที่สัตว์กัดกินนั้นมิได้
(16) วิธีเจริญวิขิตตกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจร พึงนำมาเองหรือให้ผู้อื่นนำมาซึ่งซากอสุภะที่ตกเรี่ยรายอยู่ในที่ต่างๆ แล้วมากองไว้ในที่เดียวกัน แล้วกำหนดพิจารณา บริกรรมว่า วิขิตตกํ ปฏิกูลํ ซากศพอันซัดไปในที่ต่างๆ เป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป จนกว่าจะได้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏเป็นช่องๆ เป็นระยะๆ เหมือนร่างอสุภะนั้นเอง ปฏิภาคนิมิตปรากกเหมือนกายบริบูรณ์จะมีช่องมีระยะหามิได้ฯ

(17) วิธีเจริญหตวิขิตตอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพึงนำเอามาหรือให้ผู้อื่นนำเอามา ซึ่งซากอสุภะที่คนเป็นข้าศึก สับฟันกันเป็นท่อนท่อนใหญ่ทิ้งไว้ในที่ต่างๆ ลำดับเข้าให้ห่างกันประมาณนิ้วมือหนึ่ง แล้วกำหนดพิจารณาบริกรรมว่า หตวิขิตตกํ ปฏิกูลํ ซากศพขาดเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ เป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะได้อุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏดุจรอยปากแผลอันบุคคลประหาร ปฏิภาคนิมิตปรากฏดังเต็มบริบูรณ์ทั้งกาย มิได้เป็นช่องเป็นระยะฯ
(18) วิธีเจริญโลหิตกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซากศพที่คนประหารสับฟันในอวัยวะ มีมือแล เท้าเป็นต้น มีโลหิตไหลออกอยู่และทิ้งไว้ในที่ทั้งหลายมีสนามรบเป็นต้น หรือพิจารณาอสุภะที่มีโลหิตไหลออกจากแผล มีแผลฝีเป็นต้นก็ได้ บริกรรมว่า โลหิตกํ ปฏิกูลํ อสุภะนี้โลหิตไหลเปรอะเปื้อนเป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะได้อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏดุจจะผ้าแดงอันต้องลมแล้วแลไหวๆ อยู่ ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นอันดีจะได้ไหวหามิได้

(19) วิธีเจริญปุฬุวกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซากศพของมนุษย์หรือสัตว์ มีสุนัขเป็นต้น ที่มีหนอนคลานคร่ำอยู่ บริกรรมว่า ปุฬุวกํ ปฏิกูลํ อสุภะที่หนอนคลานคร่ำอยู่ เป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะได้อุคคหนิมิต แลปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะนี้ ปรากฏมีอาการหวั่นไหว ดั่งหมู่หนอนอันสัญจรคลานอยู่ ปฏิภาคนิมิตปรากฏมีอาการอันสงบเป็นอันดีดุจกองข้าวสาลีอันขาวฉะนั้นฯ
(20) วิธีเจริญอัฏฐิกอสุภกรรมฐาน ให้โยคาวจรพิจารณาซึ่งซากศพที่เหลือแต่กระดูกอย่างเดียว จะพิจารณาร่างกระดูกที่ติดกันอยู่ทั้งหมดยังไม่เคลื่อนหลุดไปจากกันเลยก็ได้ จะพิจารณาร่างกระดูกที่เคลื่อนหลุดไปจากกันแล้วโดยมากยังติดกันอยู่บ้างก็ได้ จะพิจารณาท่อนกระดูกอันเดียวก็ได้ ตามแต่จะเลือกพิจารณา แล้วพึงบริกรรมว่า อฏฐิกํ ปฏิกูลํ กระดูกเป็นของน่าเกลียดดังนี้ร่ำไป กว่าจะสำเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ถ้าโยคาวจรพิจารณาแต่ท่อนกระดูกอันเดียว อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นอย่างเดียวกัน ถ้าโยคาวจรพิจารณากระดูกที่ยังติดกันอยู่ทั้งสิ้น อุคคหนิมิตปรากฏปรากฏเป็นช่องๆ เป็นระยะๆ ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นร่างกายอสุภะบริบูรณ์สิ้นทั้งนั้นฯ
(21-30) วิธีเจริญอนุสสติ 10 ประการ คือ พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ธมมานุสสติ ระลึกถึงคุณพระธรรม สงฆานุสสติ ระลึกถึงคุณพระสงฆ์ สีลานุสสติ ระลึกถึงคุณศีล จาคานุสสติ ระลึกถึงคุณทาน เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณเทวดา อุปสมานุสสติ ระลึกถึงคุณพระนิพพาน มรณสสติ ระลึกถึงความตาย กายคตาสติ ระลึกไปในกายของตน อานาปานสติ ระลึกถึงลมหายใจเข้าออก 
ในอนุสสติ 10 ประการนี้ จะอธิบายพิสดารเฉพาะอานาปานสติดังต่อไปนี้ 
โยคาวจรกุลบุตรผู้เจริญอานาปานสติกรรมฐานพึงเข้าไปอาศัยอยู่ในป่า หรือโคนไม้ หรืออยู่ในเรือนโรงศาลากุฏิวิหารอันว่างเปล่า เป็นที่เงียบสงัดแห่งใดแห่งหนึ่งอันสมควรแก่ภาวนานุโยคแล้ว พึงนั่งคู้บัลลังค์ขัดสมาธิเท้าขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรงดำรงสติไว้ให้มั่น คอยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก อย่าให้ลืมหลง เมื่อหายใจเข้าก็พึงกำหนดรู้ว่าหายใจเข้า เมื่อหายใจออกก็พึงกำหนดรู้ว่าหายใจออก เมื่อหายใจเข้าออกยาวหรือสั้น ก็พึงกำหนดรู้ประจักษ์ชัดทุกๆ ครั้งไปอย่าลืมหลง อนึ่งท่านสอนให้กำหนดนับด้วย เมื่อลมหายใจเข้าและออกอันใดปรากฏแจ้ง ก็ให้นึกนับว่าหนึ่ง ๆ รอบที่สองนับว่าสองๆ ไปจนถึงห้าๆ เป็นปัญจกะ แล้วตั้งต้นหนึ่งๆ ไปใหม่ไปจนถึงหกๆ เป็นฉักกะ แล้วนับตั้งต้นใหม่ไปถึงเจ็ดๆ เป็นสัตตกะ แล้วนับตั้งต้นใหม่ไปจนถึงแปดๆ เป็นอัฏฐกะ แล้วนับตั้งแต่ต้นใหม่ไปจนถึงเก้าๆ เป็นนวกะ แล้วนับตั้งต้นใหม่ไปจนถึงสิบๆ เป็นทสกะแล้วกลับนับตั้งต้นใหม่ตั้งแต่ปัญจกะหมวด 5 ไปถึงทสกะหมวด 10 โดยนัยนี้เรื่อยไป เมื่อกำหนดนับลมที่เดินโดยคลองนาสิกด้วยประการดังนี้ ลมหายใจเข้าออกก็จะปรากฏแก่โยคาวจรกุลบุตรชัดและเร็วเข้าทุกที อย่าพึงเอาสติตามลมเข้าออกนั้นเลย พึงคอยกำหนดนับให้เร็วตามลมเข้าออกนั้นว่า 1. 2. 3. 4. 5. /1. 2. 3. 4. 5. 6. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. /1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. / พึงนับตามลมหายใจเข้าออกดังนี้ร่ำไป จิตก็จะเป็นเอกัคคตาถึงซึ่งความเป็นหนึ่ง มีอารมณ์เดียวด้วยกำลังอันนับลมนั้นเทียว บางองค์ก็เจริญแต่มนสิการกรรมฐานนี้ด้วยสามารถถอนนับลมนั้น ลมอัสสาสะ-ปัสสาสะ ก็ดับไปโดยลำดับๆ กระวนกระวายก็ระงับลง จิตก็เบาขึ้น แล้วกายก็เบาขึ้นด้วยดุจถึงซึ่งอาการอันลอยไปในอากาศ เมื่อลมอัสสาสะ-ปัสสาสะหยาบดับลงแล้ว จิตของโยคาวจรนั้นก็มีแต่นิมิตคิลมอัสสาสะ-ปัสสาสะสุขุมละเอียดเป็นอารมณ์ เมื่อพยายามต่อไปลมสุขุมก็ดับลง เกิดลมสุขุมละเอียดยิ่งขึ้นประหนึ่งหายไปหมดโดยลำดับๆ ครั้นปรากฏเป็นเช่นนั้นอย่าพึงตกใจและลุกหนีไป เพราะจะทำให้กรรมฐานเสื่อมไป พึงทำความเข้าใจไว้ว่า ลมหายใจไม่มีแก่คนตาย คนดำน้ำ คนเข้าฌาณ คนอยู่ในครรภ์มารดาดังนี้แล พึงเตือนตนเองว่าบัดนี้เราก็มิได้ตายลมละเอียดเข้าต่างหาก แล้วพึงคอยกำหนดลมในที่ๆ มันเคยกระทบเช่นปลายจมูกไว้ ลมก็มาปรากฏดังเดิม เมื่อทำความกำหนดไปโดยนัยนี้ มิช้าอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตก็จะปรากฏโดยลำดับไป อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ในอนาปานสติกรรมฐานนี้ย่อมปรากฏแก่โยคาวจรต่างๆ กัน บางองค์ปรากฏดังปุยนุ่นบ้างปุยสำลีบ้าง บางองค์ปรากฏเป็นวงช่องรัศมีบ้าง ดวงแก้วมณีแก้วมุกดาบ้างบางองค์ปรากฏมีสัมผัสหยาบ คือเป็นดังเมล็ดในฝ้ายบ้าง ดังเสี้ยนสะเก็ดไม้แก่นบ้าง บางองค์ปรากฏดังด้ายสายสังวาลย์บ้าง เปลวควันบ้าง บางองค์ปรากฏดังใยแมลงมุมอันขึงอยู่บ้าง แผ่นเมฆและดอกบัวหลวง และจักรรถบ้าง บางทีปรากฏดังดวงพระจันทร์พระอาทิตย์ก็มี การที่ปรากฏนิมิตต่างๆ กันนั้นเป็นด้วยปัญญาของโยคาวจรต่างกัน
อนึ่งธรรม 3 ประการ คือ ลมเข้า 1 ลมออก 1 นิมิต1 จะได้เป็นอารมณ์ของจิตอันเดียวกันหามิได้ลมเข้าก็เป็นอารมณ์ของจิตอันหนึ่ง ลมออกก็เป็นอารมณ์ของจิตอันหนึ่ง นิมิตก็เป็นอารมณ์ของจิตอันหนึ่ง เมื่อรู้ธรรม 3 ประการนี้แจ้งชัดแล้วจึงจะสำเร็จอุปจารฌาณและอัปปนาฌาณ เมื่อไม่รู้ธรรม 3 ประการก็ย่อมไม่สำเร็จ อานาปานสติกรรมฐานนี้เป็นไปเพื่อตัดเสียซึ่งวิตกต่างๆ เป็นอย่างดีด้วยประการฉะนี้ฯ
(31-40) ส่วนกรรมฐานอีก 6 ประการคือ อัปปมัญญาพรหมวิหาร 4 อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 จตุธาตุวัตถาน 1 จะไม่อธิบาย จะได้อธิบายแต่อรูปกรรมฐาน 4 ดังต่อไปนี้ 
โยคาวจรกุลบุตรผู้เจริญอรูปกรรมฐานที่หนึ่งพึงกสิณทั้ง 9 มีปฐวีกสิณเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งเว้นอากาศกสิณเสีย เมื่อสำเร็จรูปาวจรฌาณอันเป็นที่สุดแล้วเจริญอรูปาวจรฌาณในอรูปกรรมฐานต่อไป พึงเพิกกสิณนั้นเสีย คืออย่ากำหนดนึกหมายเอากสิณนิมิตเป็นอารมณ์ พึงตั้งจิตเพ่งนึกพิจารณาอากาศที่ดวงกสิณเกาะหรือเพิกแล้วเหลืออยู่แต่อากาศ ที่ดวงกสิณเกาะหรือเพิกแล้วเหลืออยู่แต่อากาศเปล่าเป็นอารมณ์ พิจารณาไปๆ จนอากาศเปล่าเท่าวงกสิณปรากฏในมโนทวารในกาลใด ในกาลนั้นให้โยคาวจรพิจารณาอากาศอันเป็นอารมณ์ บริกรรมว่า อนนโต อากาโส อากาศไม่มีที่สิ้นสุดดังนี้ร่ำไป เมื่อบริกรรมนึกอยู่ดังนี้เนืองๆ จิตก็สงบระงับตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิไปจนถึงอัปปนาสมาธิโดยลำดับ สำเร็จเป็นอรูปฌาณที่ 1 ชื่อว่า อากาสานัญจายตนฌาณ เมื่อจะเจริญอรูปกรรมฐานที่ 2 ต่อไป พึงละอากาศนิมิตที่เป็นอารมณ์ของอรูปฌาณที่แรกนั้นเสีย พึงกำหนดจิตที่ยึดหน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ์นั้นมาเป็นอารมณ์ต่อไป บริกรรมว่า อนนตํ วิญญาณํ วิญญาณไม่มีที่สุดดังนี้ร่ำไปจนกว่าจะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 2 ชื่อว่า วิญญาณัญจายตนฌาณ
เมื่อจะเจริญอรูปฌาณที่ 3 ต่อไป พึงละอรูปวิญญาณทีแรกที่เป็นอารมณ์ของอรูปฌาณที่ 2 นั้นเสีย มายึดหน่วงเอาความที่ไม่มีของอรูปฌาณทีแรก คือกำหนดว่าอรูปวิญญาณแรกนี้ไม่มีในที่ใด ดังนี้เป็นอารมณ์แล้วบริกรรมว่า นตถิกิญจิๆ อรูปวิญญาณทีแรกนี้มิได้มีมิได้เหลือติดอยู่ในอากาศดังนี้ เนืองๆ ไปก็ะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 3 ชื่อว่า อากิญจัญญายตนฌาณ
เมื่อจะเจริญอรูปกรรมฐานที่ 4 ต่อไป พึงปล่อยวางอารมณ์ของอรูปฌาณที่ 3 คือ ที่สำคัญมั่นว่าอรูปฌาณทีแรกไม่มีดังนี้เสีย พึงกำหนดเอาแต่ความละเอียดปราณีตของอรูปฌาณที่ 3 เป็นอารมณ์ทำบริกรรมว่า สนตเมตํ ปณีตเมตํ อรูปฌาณที่ 3 นี้ละเอียดนักประณีตนัก จะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ดังนี้เนืองๆ ไป ก็จะได้สำเร็จอรูปฌาณที่ 4 ชื่อว่า เนวสัญญานาสัญญายตนฌาณ
จะอธิบายฌาณและสมาบัติต่อไป ฌาณนั้นว่าโดยประเภทเป็น 2 อย่างคือ รูปฌาณและอรูปฌาณอย่างละ 4 ฌาน เป็นฌาณ 8 ประการ ฌาณทั้ง 8 นี้ เป็นเหตุให้เกิดสมาบัติ 8 ประการ บางแห่งท่านก็กล่าวว่า ผลสมาบัติ ต่อได้ฌาณมีวสี ชำนาญดีแล้ว จึงทำให้สมาบัติบริบูรณ์ขึ้นด้วยดีได้ เพราะเหตุนี้สมาบัติจึงเป็นผลของฌาณ ก็สมาบัติ 8 ประการนี้ ในภายนอกพระพุทธศาสนาก็มี แต่ไม่เป็นไปเพื่อดับกิเลส ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ได้แต่เป็นไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหารและเป็นไปเพื่อเกิดในพรหมโลกเท่านั้น เหมือนสมาบัติของอาฬารดาบส และอุทุกดาบสฉนั้น ส่วนสมาบัติพระพุทธศาสนานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อรำงับดับกิเลส ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ ว่าโดยประเภทเป็น 2 อย่าง คือ ผลสมาบัติและนิโรธสมาบัติ ผลสมาบัตินั้นย่อมสาธารณะทั่วไปแก่พระอริยเจ้าสองจำพวกคือ พระอนาคามีกับพระอรหันต์ที่ได้สมาบัติ 8 เท่านั้น
อนึ่งฌาณและสมาบัตินี้ ถ้าว่าโดยอรรถก็เป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น เพราะฌาณนั้นเป็นที่ถึงด้วยดีของฌานลาภีบุคคล จริงอยู่ในอรรถกถาท่านกล่าวไว้ว่า ฌานลาภีบุคคล ถึงด้วยดีซึ่งสมาบัติ คือฌาณเป็นที่ถึงด้วยดี มีปฐมฌาณเป็นต้นดังนี้ อนึ่ง ในพระบาลีแสดง อนุบุพพวิหารสมาบัติ 9 ไว้ คือปฐม ทุติย ตติย จตุตถฌาณ อากาสานัญจายตน วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาณ และสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นสมาบัติที่อยู่ตามลำของฌาณลาภีบุคคลดังนี้ อนึ่งท่านแสดง อนุบุพพนิโรธสมบัติ 9 ไว้ว่า ฌาณลาภีบุคคลเมื่อถึงด้วยปฐมฌาณ วิตก วิจารณ์ดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งตติยฌาณ ปิติดับไป เมื่อถึงด้วยดี ซึ่งจตุตถฌาณ ลมอัสสาสะปัสสาสะดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งอากาสานัญจายตนฌาณ รูปสัญญาดับไปเมื่อถึงด้วยดีซึ่งวิญญาณัญจายตนฌาณ สัญญาในอากาสานัญจายตนฌาณดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งอากิญจัญญายตนฌาณ สัญญาในวิญญานัญจายตนฌาณดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งเนวสัญญานาสัญญยตนฌาณสัญญาในอากิญจัญญายตนฌาณดับไป เมื่อถึงด้วยดีซึ่งสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาดับไป ธรรม9 อย่างนี้ชื่อ อนุบุพพนิโรธสมาบัติ สมาบัติเป็นที่ดับหมดแห่งธรรมอันเป็นปัจจนึกแก่ตนตามลำดับฉะนี้ คำในอรรถกถาและบาลีทั้ง 2 นี้ส่องความให้ชัดว่า ฌาณและสมาบัติ สมาบัติเป็นผล วิเศษแปลกกันแต่เท่านี้
บุคคลใดปฏิบัติชอบแล้ว บุคคลนั้นย่อมพิจารณาความเป็นไปแห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตายในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมไม่เห็นความสุข ความยินดีน้อยหนึ่งในสังขารทั้งหลายเหล่านั้น ไม่เห็นซึ่งอะไรๆ ในเบื้องต้น ท่ามกลาง หรือที่สุดในสังขารทั้งหลายเหล่านั้นซึ่งจะเข้าถึงความเป็นของไม่ควรถือเอา อุปมาเหมือนบุรุษไม่เห็นซึ่งที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ในเบื้องต้น ท่ามกลาง หรือที่สุด ในก้อนเหล็กแดงอันร้อนอยู่ตลอดวัน ที่เข้าถึงความเป็นของควรจับถือสักแห่งเดียวฉันใด บุคคลพิจารณาเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บไข้ และความตายในสังขารทั้งหลายนั้น ย่อมไม่เห็นความสุข ความยินดีในสังขารเหลานั้นแม้น้อยหนึ่งฉันนั้น เมื่อบุคคลพิจารณาเห็นว่าเป็นของร้อนพร้อม ร้อนมาแต่ต้นตลอดโดยรวบ มีทุกข์มากมีคับแค้นมาก ถ้าใครมาเห็นได้ซึ่งความไม่เป็นไปแห่งสังขารทั้งหลายไซร้ ธรรมชาตินี้คือธรรมชาติเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง ธรรมชาติเป็นที่สลัดคืนแห่งอุปธิทั้งปวง ธรรมชาติเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา ธรรมชาติเป็นที่ปราศจากเครื่องย้อม ธรรมชาติเป็นที่ระงับความกระหาย ธรรมชาติเป็นที่ดับทุกข์ ธรรมชาตินั้นเป็นที่สงบ เป็นของปราณีตดังนี้ ฐานที่ตั้งแห่งธรรมอันอุดมนี้คือ ศีล บุคคลตั้งมั่นในศีลแล้ว เมื่อกระทำในใจโดยชอบแล้ว จะอยู่ในที่ใดๆ ก็ตามปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานด้วยประการฉะนี้
เมื่อโยคาวจรตั้งธรรม 6 กอง มีขันธ์ 5 เป็นต้น มีปฏิจจสมุปบาทเป็นที่สุดได้เป็นพื้น คือพิจารณาให้รู้จักลักษณะแห่งธรรม 6 กอง ยึดหน่วงเอาธรรม 6 กองไว้เป็นอารมณ์ได้แล้ว ลำดับนั้นจึงเอาศีลวิสุทธิและจิตตวิสุทธิมาเป็นรากฐาน ศีลวิสิทธินั้นได้แก่ปาฏิโมกขสังวรศีล จิตตวิสุทธินั้นได้แก่อัฏฐสมาบัติ 8 ประการ เมื่อตั้งศีลวิสุทธิ และจิตตวิสุทธิเป็นรากฐานแล้ว ลำดับนั้นโยคาวจรพึงเจริญวิสุทธิทั้ง 5 สืบต่อไปโดยลำดับๆ เอาทิฏฐิวิสุทธิและกังขาวิตรณวิสุทธิเป็นเท้าซ้ายเท้าขวา เอามัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ และปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิเป็นมือซ้ายมือขวา เอาญาณทัสสนวิสุทธิเป็นศีรษะเถิด จึงจะอาจสามารถยกตนออกจากวัฏฏสงสารได้
ทิฏฐิวิสุทธินั่นคือปัญญาอันพิจารณาซึ่งนามและรูปโดยสามัญลักษณะ มีสภาวะเป็นปริณามธรรมมิได้เที่ยงแท้ มีปกติแปรผันเป็นต้น เป็นปัญญาเครื่องชำระตนให้บริสุทธิ์จากความเห็นผิดต่างๆ โยคาวจรเจ้าผู้ปรารถนาจะยังทิฏฐิวิสุทธิให้บริบูรณ์ พึงเข้าสู่ฌาณสมาบัติตามจิตประสงค์ ยกเว้นเสียแต่เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ เพราะละเอียดเกินไป ปัญญาของโยคาวจรจะพิจารณาได้โดยยาก พึงเข้าแต่เพียงรูปฌาณ 4 อรูปฌาณ 3 ประการนั้นเถิด เมื่ออกจากฌาณสมาบัติอันใดอันหนึ่งแล้ว พึงพิจารณาองค์ฌาณ มีวิตกวิจารณ์เป็นต้น แล้วเจตสิกธรรมอันสัมปยุตต์ด้วยองค์ฌาณนั้นให้แจ้งชัดโดยลักษณะ กิจ ปัจจุปัฏฐานและอาสันนการณ์ แล้วพึงกำหนดกฏหมายว่า องค์ฌาณและธรรมอันสัมปยุตต์ด้วยองค์ฌาณนี้ล้วนแต่เป็นนามธรรม เพราะเป็นสิ่งที่น้อมไปสู่อารมณ์สิ้นด้วยกัน แล้วพึงกำหนดพิจารณาที่อยู่ของนามธรรม จนเห็นแจ้งว่า หทัยวัตถุ เป็นที่อยู่แห่งนามธรรม อุปมาเหมือนบุรุษเห็นอสรพิษภายในเรือน เมื่อติดตามสกัดดูก็รู้ว่าอสรพิษอยู่ที่นี่ๆ ฉันใด โยคาวจรผู้แสวงหาที่อยู่แห่งนามธรรมฉันนั้น ครั้นแล้วพึงพิจารณารูปธรรมสืบต่อไป จนเห็นแจ้งว่า หทัยวัตถุนั้นอาศัยซึ่งภูตรูปทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แม้อุปาทานรูปอื่นๆ ก็อาศัยภูตรูปสิ้นด้วยกัน รูปธรรมนี้ย่อมเป็นสิ่งฉิบหายด้วยอันตรายต่างๆ มีหนาวร้อนเป็นต้น เมื่อโยคาวจรมาพิจารณารู้แจ้งซึ่งนามและรูปฉะนี้แล้ว พึงพิจารณาธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เห็นแจ้งด้วยปัญญาโดยสังเขปหรือพิสดารก็ได้ ตามแต่ปัญญาของโยคาวจรจะพึงหยั่งรู้หยั่งเห็น ครั้นพิจารณาธาตุแจ่มแจ้งแล้ว พึงพิจารณาอาการ 32 ในร่างกาย มีเกสา โลมา เป็นต้น จนถึงมัตถลุงคังเป็นที่สุด ให้เห็นชัดด้วยปัญญา โดย วณโณ สี คนโธ กลิ่น รโส รส โอช ความซึมซาบ สณฐาโน สัณฐาน สั้นยาวใหญ่น้อย แล้วพึงประมวลรูปธรรมทั้งปวงมาพิจารณาในทีเดียวกันว่า รูปธรรมทั้งปวงล้วนมีลักษณะฉิบหายเหมือนกัน จะมั่น จะคง จะเที่ยง จะแท้ สักสิ่งหนึ่งก็มิได้มี เมื่อโยคาวจรเจ้าพิจารณาเห็นกองรูปดังนี้แล้ว อรูปธรรมทั้ง 2 คือจิต เจตสิก ก็ปรากฏแจ้งแก่พระโยคาวจรด้วยอำนาจทวาร คือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย ใจ เพราะว่าจิตและเจตสิกนี้มีทวารทั้ง 6 เป็นที่อาศัย เมื่อพิจารณาทวารทั้ง 6 แจ้งประจักษ์แล้ว ก็รู้จักจิตและเจตสิกอันอาศัยทวารทั้ง 6 นั้นแน่แท้ จิตที่อาศัยทวารทั้ง 6 นั้นจัดเป็นโลกีย์ 81 คือทวิปัญจวิญญาณ 10 มโนธาตุ 3 มโนวิญญาณธาตุ 68 และเจตสิกที่เกิดพร้อมกับโลกียจิต 81 คือผัสโส เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิต อินทรีย์ มนสิการ ทั้ง 7 นี้เป็นเจตสิกที่สาธารณะทั่วไปในจิตทั้งปวง การกล่าวดังนี้มิได้แปลกกันเพราะจิตทั้งปวงนั้น ถ้ามีเจตสิกอันทั่วไปแก่จิตทั้งปวงเกิดพร้อมย่อมมีเพียง 7 ประการเท่านี้
เมื่อโยคาวจรบุคคลมาพิจารณา นามและรูปอันกล่าวโดยสรุปคือ ขันธ์ 5 แจ้งชัดด้วยปัญญาญาณตามความเป็นจริงแล้ว ย่อมถอนความเห็นผิด และตัดความสงสัยในธรรมเสียได้ ย่อมรู้จักทางผิดหรือถูกความดำเนินและไม่ควรดำเนิน แจ่มแจ้งแก่ใจย่อมสามารถถอนอาลัยในโลกทั้งสามเสียได้ ไม่ใยดีติดอยู่ในโลกไหนๆ จิตใจของโยคาวจรย่อมหลุดพ้นจากอาสวกิเลส เป็นสมุจเฉทประหารได้โดยแน่นอนด้วยประการฉะนี้แล

ที่มา
https://84000.org/supatipanno/dham3.html

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...