สมาธิแบบพระพุทธเจ้า คือ การกำหนดรู้เรื่องชีวิตประจำวัน
นี่เป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญ สำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาสมาธิ
คนเราทุกคนเกิดมาอาศัยสมาธิเป็นหลักใจ
คนที่ทำอะไรด้วยความจริงใจ … เป็นลูกของพ่อของแม่ก็เป็นลูกด้วยความจริงใจ
เป็นศิษย์ของครูบาอาจารย์ก็เป็นศิษย์ด้วยความจริงใจ
จะเป็นอะไร ทำอะไร คิดอะไร เป็นไปด้วยความจริงใจ
ได้ชื่อว่า " เป็นผู้มีสัจจะ ความจริงใจ "
เมื่อมีสัจจะความจริงใจอย่างแน่วแน่
ชีวิตของเราทุกคนจึงเกี่ยวข้องกับสมาธิตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งวันตาย
คนที่ไม่มีสมาธิย่อมมีนิสัยเหลาะแหละ ทำอะไรมีแต่จับจดไม่เอาจริงเอาจัง
สมาธิเป็นกิริยาของจิต เมื่อเรามีสติกำหนดรู้จิตอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเรานั่งกำหนดรู้จิตของเรา เรียกว่า " ปฏิบัติสมาธิในท่านั่ง "
ถ้ากำหนดรู้จิตในท่ายืน เรียกว่า " ปฏิบัติสมาธิในท่ายืน "
เมื่อเรามีสติกำหนดรู้จิตในท่านอน เรียกว่า " ปฏิบัติสมาธิในท่านอน "
เวลาเดินจงกรม เรามีสติกำหนดรู้จิตของเรา เรียกว่า " ปฏิบัติสมาธิในท่าเดิน "
ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นแต่เพียงการเปลี่ยนอิริยาบถ บริหารกาย
เพื่อมิให้ส่วนใดส่วนหนึ่งถูกทรมานเกินไป
เพราะฉะนั้น สมาธิจึงมิใช่เพียงการนั่งสมาธิอย่างเดียว
แม้แต่การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
ถ้าเรามีสติรู้ตัวตลอดเวลา เราก็ได้ปฏิบัติสมาธิตลอดเวลา
ถ้าหากเรายึดหลักว่า เราจะฝึกสติของเราให้รู้อยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน
รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ทุกๆ ขณะจิต ทุกลมหายใจ
เราก็ได้ฝึกสมาธิอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ มาขัดขวาง
เมื่อเราเข้าใจกันอย่างนี้ การฝึกสมาธิจะไม่มีอุปสรรค
เพราะเราจะปฏิบัติได้ทุกเวลา ทุกโอกาส
ผลที่เราจะได้จากการฝึกสมาธิ
ทำให้จิตของเราตั้งมั่น หรือมั่นคงต่อการทำธุรกิจต่างๆ
ทำให้เรามีจิตที่สงบเยือกเย็น และมีเมตตาปราณีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
จะมีความเคารพ บูชา รักในบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ดีขึ้น
จะทำให้เราหมั่นขยันในการงาน ทำให้ความจำดี
มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดรอบรู้ คิดการงานใดจะไม่ท้อถอย
โดยเฉพาะสมาธิจะเสริมกำลังปัญญาของเราให้ปราดเปรื่อง
กฎ หรือระเบียบที่จะประพฤติบำเพ็ญตน
ให้เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ที่เราจะตั้งใจปฏิบัติโดยเจตนา คือ ' การรักษาศีล '
เรามาฝึกสมาธินี้เพื่ออบรมจิตของเราให้มีพลังงาน
มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา
เพื่อให้จิตของเรานี้เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าโดยอัตโนมัติ
เมื่อจิตมีสภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน ก็ได้ชื่อว่า " จิตมีคุณธรรมความเป็นพุทธะ "
.
คำสอนโดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ที่มา... http://www.thaniyo.com/index.php/news-a ... 9-07-13-38
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น