22 เมษายน 2563

หลวงพ่อเดิมเรียกฝนช่วยชาวบ้าน

ตอนที่ ๗
อาตมาขอพูดถึงเรื่องการที่ผู้ใหญ่ให้ของแล้วเด็กไม่รับ หรือไม่รู้จักว่าผู้ใหญ่เขาเมตตาขนาดไหน อาตมาจะเล่าให้ฟังเรื่องมีอยู่ว่า

มีญาติโยมอยู่รายหนึ่งมาเล่าให้อาตมาฟังว่า ที่เขาร่ำรวยมาได้ทุกวันนี้ เพราะเขาได้ของดีมาโดยไม่คาดฝัน เรื่องมีอยู่ดังนี้ เขาเองนั้นเป็นเพื่อนกับหลานชายของคุณย่า ซึ่งรักหลานชายคนนี้มาก แต่สมบัติที่มีนั้นแบ่งให้ลูกๆ ไปหมดแล้ว เหลือแต่หลานชายคนนี้ จึงได้เรียกไปมอบสมบัติที่ย่าสุดจะหวง

“หลานเอ๊ย ! ย่ามีของจะให้หลาน เป็นของที่ย่ารักมากที่สุด เอาเก็บไว้นะหลาน เก็บไว้ให้ดี ย่าให้เจ้าเพราะเป็นหลานที่ย่ารักที่สุด”

เจ้าหลานชายคิดว่าถ้าไม่ใช่เงินสดก็คงเป็นเครื่องเพชรเครื่องทองโบราณ แต่พอเห็นสิ่งที่ย่ายื่นมาให้ก็หน้าเสีย เพราะมันเป็นเพียงตลับเงินโบราณเล็กๆ ใบหนึ่งเท่านั้น

“ตลับสีผึ้งที่ย่ารักมาก เป็นของมีค่าเหนือกว่าอะไรทั้งสิ้น เก็บไว้ให้ดีนะ”

หลานรับตลับสีผึ้งมาแล้วด้วยความแค้นเคือง แต่ไม่กล้าแสดงออก พอกลับมาถึงบ้านก็บอกกับภรรยาว่า ดูนี่ซิ เห็นไหมล่ะ ย่าของฉันท่านมีเมตตามาก แบ่งสมบัติให้ลูกหมดแล้ว เหลือตลับสีผึ้งอันนี้ไว้ให้ ว่าแล้วก็โยนตลับสีผึ้งลงไปกับพื้นตรงหน้าภรรยา ซึ่งมองด้วยความไม่พอใจเหมือนสามี แล้วพูดว่า

“โธ่เอ๋ย ! ให้หลานทั้งทีให้มันดีกว่านี้ไม่ได้เชอะ เอาไปไหนก็เอาไปไป๊ เอาไปให้พ้นเลย”

หลานผู้นั้นเก็บตลับสีผึ้งไว้ระยะหนึ่ง พอเพื่อนมาเห็นเข้าก็ชอบใจ จึงได้ออกปากขอเอาไปใช้ ผู้เป็นหลานกำลังเคืองอยู่พอดี ก็ให้เป็นการประชดไปทันทีโดยไม่ได้คิดว่าตลับสีผึ้งนั้นผู้ให้คือมารดาของผู้ให้กำเนิดตัวเอง

เพื่อนได้ตลับสีผึ้งไปแล้วก็เอาไปสีปาก ทำมาค้าขึ้น ก็ทำบุญอุทิศให้ผู้เป็นเจ้าของตลับสีผึ้งทุกเช้า ฐานะก็ดีขึ้นทันตาเห็น ทำให้ชาวบ้านถึงกับออกปากว่าครอบครัวนี้ทำมาค้าขึ้นจริงๆ เรื่องรู้ไปเข้าหูของเจ้าของเก่าเข้า ก็พูดว่าดวงมันดีก็รวยนะซี ตลับสีผึ้งขี้กะโล้โท้แบบนั้นจะมีอะไร

วิญญาณย่าได้รับการอุทิศกุศลหนักเข้า ก็ไปเข้าฝันคนที่บูชาตลับสีผึ้งว่า

“สีผึ้งธรรมดาน่ะ ไม่มีอิทธิฤทธิ์อะไร แต่ที่อยู่ก้นตลับนั้นให้นำขึ้นมาเป็นเครื่องประดับให้เหมาะสม เพราะเป็นเพชรตาแมวที่เจ้าของหวงมาก ตั้งใจจะให้หลานได้ไว้ แต่หลานก็กลับไม่ใส่ใจ”

ความมาแตกรู้ถึงหูของหลาน ก็มาขอคืน แต่เพื่อนก็ไม่ยอมให้คืน เพราะเจ้าของให้มาด้วยความเสน่หาแล้ว ถือว่าถูกต้อง ฟ้องร้องกัน ก็ปรากฏว่า เจ้าของเดิมแพ้คดีด้วยพยานรู้เห็นกันอยู่เป็นการให้ด้วยเสน่หา จึงได้แต่น้ำตาตกเพราะไม่เฉลียวใจ ดูถูกปู่ย่าตายายตัวเอง

ดังนั้น โปรดจำไว้ ผู้ใหญ่ให้ของอะไรอย่าไปรังเกียจ เก็บเอาไว้ให้ดี วันนี้ไม่มีประโยชน์ วันพรุ่งนี้มีประโยชน์ วันพรุ่งนี้ไม่มีประโยชน์ วันมะรืนไม่มีประโยชน์ ปีหน้าอาจมีประโยชน์ ตั้งแต่อาตมาอยู่กับหลวงพ่อเดิมได้รับฟังคำสั่งสอนของท่านแล้ว อาตมาก็จำเอาไว้เลย พระผู้ใหญ่ให้อะไรอาตมารับหมดไม่ยอมทิ้งเลย

จึงได้บอกว่า ผู้ใหญ่ให้ของล่ะก็อย่าปฏิเสธ รับเอาไว้เลย เขาให้น่ะเขาเห็นแล้วว่าต่อไปได้ใช้ สำหรับอาตมานั้นใครมีวิชาก็เรียนเอาไว้ แม้แต่เขมรมาจากสุรินทร์ พวกส่วยเอาผ้าไหมทอมาขายที่แถววัดอัมพวัน นักเลงใหญ่มีลูกสาวซื้อผ้าไหมซิ่นและเสื้อไหมไว้แล้วไม่ให้สตางค์เขา เขาก็เลยใช้วิชาปิดประตู กำลังท้องใช้วิชาไม่ให้ลูกคลอดออก ก่อนจะไปส่วยเขามาพักกับอาตมา เขาเรียกอาตมาว่า หลวงพี่ เขาว่า

“บ้านนักเลงนั้นซื้อของแล้วไม่ให้เงิน มันโกงฉันก็เลยเอากุญแจใส่ไม่ให้มันคลอดลูกออกมาได้”

อาตมาก็เลยขอเรียนรู้เจ้าส่วยนั้นก็สอนให้ สอนทั้งวิธีใส่กลอนลั่นกุญแจ และการเปิด การถอนให้ เขาคิดค่ายกครู ๑๒ บาท อาตมาก็หาให้ เรียกว่า เรียนเอาไว้เพราะว่าเวลาจำเป็นจะได้ช่วยเหลือสัตว์ผู้ยาก ก็เพราะถือคติของหลวงพ่อเดิมนั่นแหละ เรียนแล้วส่วยคนนั้นก็กลับไป อาตมาก็เฉยไว้

พอได้กำหนดคลอดเท่านั้นแหละ หมอตำแยห้าหมอส่ายหน้าดิก บอกว่ายอมแพ้ เพราะไม่ว่าจะใช้ความรู้ที่เล่าเรียนมาจนหมดไส้หมดพุง เด็กมันก็ไม่กลับหัวลงมา ลมเบ่งมีแต่มันช่วยไม่ได้ ร้องได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน

อาตมาจึงรู้ว่า อ้อ ! บ้านนี้เองที่ส่วยทำวิชาเอาไว้ อาตมาก็จะช่วย ช่วยไม่ได้เพราะวิชาที่เรียนมามีเคล็ดว่าต้องให้เขาออกปากเชิญจึงจะช่วย ถ้าอยู่ๆ ไม่มีใครขอร้อง ไปช่วยวิชามันเสื่อมหมด อาตมาก็บอกให้เจ้าศิษย์วัดไปทำลับๆ ล่อๆ แล้วก็พูดเปรยๆ ว่า ไปให้หลวงพ่อจรัญท่านรักษาซี ได้การแห่กันมาทั้งบ้าน มาบอก “หลวงพ่อขา ช่วยทีเถอะเด็กน่ะตายแน่แล้ว ก็เอาเด็กออกไม่ได้ แม่มันก็ต้องตายอีกคนหนึ่ง”

อาตมาก็ทำน้ำมนต์ตามที่เจ้าส่วยสอน ก็ยังไม่เคยทำสักที ถ้ามันหลอกก็คงจะหน้าแตก แต่มันพูดจริง พอทำน้ำมนต์แล้วเพ่งพลังจิตลงไปแล้ว ก็ให้เอาไปกินที่บ้านของเขา ปรากฏว่าพอน้ำมนต์ถึงท้อง เด็กที่ตายก็ออกมาพร้อมรก ตัวแม่รอดชีวิตได้

นี่แหละอาตมาจึงว่า รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม หลวงพ่อเดิมท่านสอนอย่างนั้น เดี๋ยวนี้อาตมาไม่ได้ใช้แล้วคาถาอาคม เพราะเรามาเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐาน แล้วก็ละทิ้งเสียทั้งหมดเพราะไม่รู้จะใช้ไปทำไม แต่ก็ยังอยู่ในไส้พุงนะ ไม่ใช่ทิ้งแล้วลืมเลย คือไม่ทำเท่านั้น

เมื่ออาตมาเรียนจบแล้ว หลวงพ่อเดิมท่านอาพาธหนัก ทรุดลงทันที เหมือนกับว่าท่านทรงสังขารอยู่เพื่อสอนวิชาคชศาสตร์ให้กับอาตมาเป็นครั้งสุดท้าย หลวงพ่อเดิมท่านอาพาธคราวนี้อาตมาได้ใกล้ชิดอยู่จนมรณภาพ เพราะอยู่กับท่านมาตลอดหกเดือนจนคุ้น ลูกหลานหลวงพ่อเขาช่วยกันพยาบาลอย่างใกล้ชิด อาตมาก็อยู่หน้ากุฏิ เพราะไม่มีที่และหลวงพ่อก็อาพาธหนัก

ปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ อาตมาอยู่กับหลวงพ่อเดิมจนวาระสุดท้ายมาถึง วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใส เมฆไม่มี อากาศร้อนอบอ้าว มันแล้งจริงๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเมฆฝนตั้งเค้าทะมึนมาเหนือท้องฟ้าบ้านหนองโพ และฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา มันเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกมาก อาตมารู้ตอนหลังนี้ว่า หลวงพ่อเดิมท่านปรารภก่อนหน้าที่ฝนจะตกว่า “น้ำในสระบ้านหนองโพมีกินกันพอหรือ” ลูกหลานก็บอกว่า “ถ้าฝนไม่ตกในสี่ห้าวันนี้ก็ต้องอดกันแน่ เพราะน้ำแห้งลงไปมาก”

หลวงพ่อเดิมท่านก็ให้ลูกหลานช่วยแต่งจีวรครองให้ท่านให้รัดกุม แล้วท่านก็หลับตา มือสองข้างพนมไว้ที่หน้าอก ปากสวดพร่ำภาวนาคาถาและเจริญกสิณของท่านไปเพียงไม่นาน เมฆฝนก็ก่อตัวขึ้นดำมืดไปหมด แล้วก็ตกลงมาอย่างหนักจนน้ำไหลลงสระถึงค่อนสระจึงขาดเม็ด และเมื่อฝนขาดเม็ด หลวงพ่อเดิมท่านก็ขาดใจเหมือนสายฝน

อาตมารู้ว่าหลวงพ่อสิ้นเมื่อได้ยินเสียงลูกหลานหลวงพ่อที่อยู่ด้านในห้องร้องไห้ และออกมาร้องบอกคนข้างนอกว่า หลวงพ่อเดิมท่านมรณภาพแล้ว ให้ตีกลองและระฆังเป็นสัญญาณ อาตมารู้สึกใจหาย แม้จะเป็นศิษย์เพียงหกเดือนสุดท้าย แต่อาตมาได้รับสมบัติตกทอดจากหลวงพ่อเดิมอย่างมหาศาล คือ กสิณและความเป็นพระมาจนทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้หลวงพ่อเดิมป่านนี้อาตมาก็คงไม่ได้มาเล่าเรื่องนี้ทั้งที่ครองผ้าเหลืองหรอกนะ

อาตมาอยู่ช่วยงานศพหลวงพ่อเดิมตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืน ที่มีการตั้งศพหลวงพ่อเพื่อสวดพระอภิธรรม ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธินายก (เดิมเป็นมหาห้อง) เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ เป็นประธานจัดงานศพ เพราะเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อเดิมอย่างยิ่ง ตอนนั้นอาตมาได้เข้าใกล้ชิดท่านเพราะท่านเคยมาเยี่ยมหลวงพ่อเดิม และหลวงพ่อเดิมก็คงจะบอกกับท่านว่า พระจรัญรูปนั้นเขาจะสึกไปเป็นฆราวาสแล้ว ท่านยับยั้งเอาไว้ พอว่างแขกท่านก็เรียกอาตมาเข้าไป อาตมาก็เข้าไปกราบ ท่านพูดว่า

“เธอใช่ไหมชื่อ จรัญ มาจากพรหมบุรี”

“ขอรับกระผม หลวงพ่อบอกกับพระคุณท่านหรือขอรับ”

“นี่เธอฟังฉันนะ ฟังให้ดีๆ เธอเคารพหลวงพ่อเดิมหรือเปล่า”

“ขอรับ กระผมเคารพขอรับ”

“ดีแล้ว ฉันจะบอกกับเธอตรงนี้โดยไม่ปิดบังว่า ฉันเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ฉันนี่แหละคือศิษย์ของหลวงพ่อเดิมองค์หนึ่ง ได้ดีมาทุกวันนี้ก็ด้วยบารมีหลวงพ่อเดิมนี่แหละ เธอเป็นศิษย์ที่หลวงพ่อเลือกสรรแล้ว”

อาตมาก็งงนอกจากเจ้าคณะจังหวัดจะเป็นศิษย์หลวงพ่อเดิมแล้ว จึงเรียนถามเจ้าคณะจังหวัดไปตามประสาซื่อว่า

“กระผมไม่เข้าใจขอรับว่าทำไมพระคุณท่านจึงว่า หลวงพ่อเดิมเลือกสรรกระผมแล้ว”

“เธอฟังฉันให้ดีๆ นะ วิชาคชศาสตร์นี้ไม่ว่าฆราวาสหรือสงฆ์ในหรือนอกบ้านหนองโพ หลวงพ่อเดิมไม่เคยถ่ายทอดให้ แต่คุณคนเดียวนี่แหละที่หลวงพ่อมอบให้ จึงนับเป็นวาสนาบารมีของคุณโดยแท้ มีผู้มาขอเรียนกับหลวงพ่อเดิมตรงๆ แต่หลวงพ่อเดิมก็ได้แต่หัวเราะ อย่างเก่งก็บอกว่า รอไปก่อนนะ ยังไม่ถึงเวลา จนแล้วจนรอดหลวงพ่อท่านก็ไม่พูดถึง เป็นอันว่าไม่ได้เรียน”

อาตมาจึงเข้าใจในทันทีว่า หลวงพ่อเดิมท่านเมตตาต่อตัวอาตมามากเป็นพิเศษ จึงถ่ายทอดวิชาคชศาสตร์ให้จนครบถ้วนกระบวนความ เหมือนท่านจะมีญาณวิเศษหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเมื่อท่านมรณภาพแล้ว อาตมาจะได้เข้าไปในป่าเรียนวิชากับพระอาจารย์อีกองค์หนึ่งของท่าน แล้วออกเดินธุดงค์เดี่ยวหาความชำนาญ วันนั้นก็ได้พบกับช้างป่าตัวเบ่อเริ่ม ส่งเสียงร้องแปร๋นๆ กางหูชูงารี่เข้ามาจะกระทืบอาตมาให้แบนติดเท้า

อาตมาจึงเข้าที่เจริญพระกรรมฐานและกสิณจนแน่วแน่ แล้วแผ่เมตตาให้เทวดาประจำตัวช้าง ช้างที่กำลังวิ่งแปร๋นเข้ามามีอันเป็นหน้าหงายสะบัดหูชูงา สะบัดงวงไปมาเข้ามาไม่ได้ เทวดาเขารั้งเอาไว้จนอยู่ บอกว่าอย่าไปทำร้ายพระสงฆ์ท่านไม่ใช่ผู้เบียดเบียน เจ้ามาเกิดเป็นเดรัจฉานก็นับว่ากรรมแล้ว ถ้าไปแทงท่านตายก็กรรมหนักเข้าไปอีก ไม่ต้องมีโอกาสได้เป็นคนกัน

มันเป็นเสี้ยวชีวิตแห่งความเป็นความตายทีเดียว เพราะช้างมันแล่นเข้ามาเกือบจะถึงอยู่แล้ว มันจึงเบนออกจากอาตมา หลังจากนั้นได้มองเห็นภาพหลวงพ่อเดิมทุกอิริยาบถ นึกถึงคำที่ท่านว่า ผู้ใหญ่เขาให้อะไร อย่าหยิ่งยะโสโอหัง เอาไว้ก่อน วันหน้าจะเป็นประโยชน์ อาตมายกมือขึ้นจบที่หน้าผากระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อเดิมว่า

“หลวงพ่อครับ ถ้าหลวงพ่อไม่สอนวิชาคชศาสตร์ให้กระผมในวันนั้น วันนี้ผมต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี้แน่ๆ ดีแต่ว่าหลวงพ่อสอนวิชาคชศาสตร์ให้ จึงรอดมาได้ หลวงพ่อครับ ชาตินี้ผมไม่ลืมหลวงพ่อเด็ดขาด”

อาตมายังย้อนไปถึงคำหลวงพ่อเดิมว่า “ฉันรู้นะว่าเธอน่ะต้องการสึก และเมื่อก่อนเธอเกลียดผู้หญิงมาก แต่เธอจะกลับสึกไปหาผู้หญิง ต่อไปเธอจำไว้นะ จำคำหลวงพ่อไว้”

“ยิ่งเกลียดยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งรักยิ่งออกห่าง เมื่อเรามีความเกลียดแล้วแผ่เมตตา ความเกลียดก็หายไป ความรักใคร่ก็เข้ามาแทนที่ต่อไป”

(มีต่อ ๘ )

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...