(Credit the picture from internet)
ในปี ค.ศ. 1999 Dolores Cannon ได้ทำการสะกดจิตระลึกชาติเพื่อบำบัดรักษาให้กับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Ann ซึ่งผู้หญิงคนนี้มีอาการป่วยหลายอย่าง คือ เป็นทั้งโรคหัวใจ, เป็นทั้งเบาหวานต้องฉีดอินซูลินทุกวัน เพราะระดับน้ำตาลในเลือดประมาณ 300 และเธอก็เป็นมะเร็งในลำคออีกด้วย ซึ่งหมอนัดให้ไปผ่าแล้ว แค่รอถึงวันผ่าตัดเท่านั้นเอง
และในชีวิตแต่งงานของแอน เธอก็ยังมีปัญหาชีวิตแต่งงานที่ขมขื่นอีกด้วยนะครับ ดังนั้น ในช่วงท้ายๆของบทความในหนังสือของ Doroles เธอจึงสรุปเอาไว้ว่า สาเหตุทางจิตของโรคเบาหวาน มาจากการขาด "ความหวาน" ในชีวิตไป อันเนื่องมาจากชีวิตแต่งงานที่ขมขื่นนั่นเอง ดังนั้นร่างกายจึงสะท้อนออกมาให้เห็นผ่านโรคเบาหวาน
ส่วนโรคหัวใจนั้น ก็สืบเนื่องมาจากสาเหตุเดียวกัน คือ เพราะต้องเก็บกดอารมณ์ไว้ในจักระหัวใจอยู่เสมอ และก็ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอยู่เสมอๆ อันเนื่องมาจากชีวิตแต่งงานที่ขมขื่นที่ว่านั้น เช่นเดียวกัน
และโรคมะเร็งในลำคอ ซึ่งก็คือจักระที่ 5 ก็มาจาก "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และไม่รู้จะบอกหรือระบายความทุกข์กับใคร และอย่างไรดี?" นั่นเอง จึงทำให้พลังงานอุดตันและติดขัดอยู่ที่จักระ 5 ซึ่งเป็นจักระแห่งการติดต่อสื่อสาร และสำแดงตัวตนของตัวเองออกมาของเธอ
แต่ก่อนจะไปผ่าตัดนั้น เธอมาหา Healer คนหนึ่งที่เป็นเพื่อนของ Doroles เพื่อมาให้เพื่อนคนนั้นช่วยนวดแบบผ่อนคลายให้ แต่ในระหว่างที่เธอกำลังรับการนวดผ่อนคลายอยู่นั้น เธอก็รู้สึกว่าเธอไม่ได้นอนอยู่ในห้องเดิมแล้ว เพราะว่ารอบๆเตียงของเธอเธอเห็นรูปธรรมชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์มายืนล้อมเตียงเธออยู่มากมายเลย
พวกนั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเจลใสๆสีเขียว ใบหน้าสีส้มๆ ดวงตากลมโตสีดำ มือมี 4 นิ้ว กำลังเอามือมานวดๆและแตะๆเบาๆที่มือกับเท้าของเธออยู่ โดยที่พวกเขาแตะเธอในจังหวะเดียวกันกับที่เพื่อนคนนั้นนวดและแตะให้กับเธอแบบเป๊ะๆเลย
ตอนนั้นเธอไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร เพราะเหมือนเธอจะสื่อสารทางจิตกับพวกเขาอยู่ พวกเขาพูดกับเธอโดยไม่ได้เปิดปากว่า พวกเขาไม่ได้มาเพื่อทำร้ายเธอ แค่อยากมาศึกษาอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนของมนุษย์เท่านั้นเอง เพราะว่าพวกเขาไม่มีอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนแบบมนุษย์โลกเลย
ตอนนั้นแอน เหมือนจะรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในสองห้องในเวลาเดียวกัน คือทั้งในห้องที่เพื่อนกำลังนวดให้อยู่ กับในห้องที่รูปธรรมชีวิตต่างมิติกำลังแตะๆตัวเธออยู่
ซึ่งพอหลังจากจบการนวดนั้นแล้ว เพราะความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เธอจึงมาทำการสะกดจิตระลึกชาติกับ Dolores ซึ่ง Dolores ก็นำพาจิตสำนึกของเธอย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ในวันนั้น แล้ว Dolores ก็เลยได้พูดคุยกับรูปธรรมชีวิตจากต่างมิติเหล่านั้น ผ่านทางแอน ซึ่งกำลังถูกสะกดจิตให้อยู่ในภวังค์อยู่
พวกเขาพูดคุยกันหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ผมเห็นว่าน่าสนใจมากๆจนต้องเอามาแชร์ในโพสต์นี้ก็คือ:
1).รูปธรรมชีวิตเหล่านั้น มาจากมิติที่สูงมากๆมิติหนึ่ง พวกเขาเรียกว่า มิติที่ 7 หรือระนาบที่ 7 อะไรทำนองนั้น ซึ่งไม่มีกายเนื้อแล้ว เพราะว่าพวกเขาดำรงอยู่ในกายแห่งพลังงานแสงสว่างๆล้วนๆ และถ้าจำเป็นพวกเขาก็สามารถที่จะเนรมิตเอากายเนื้อมาสวมใส่ได้ ตามความเหมาะสมของแต่ละสถานการณ์
แต่ที่แอนเห็นว่าร่างกายของพวกเขาเป็นแบบนั้นแบบนี้นั้น ก็เพราะว่าระดับจิตและความเข้าใจ และความคาดหวังของแอน ฉายภาพออกมาให้เธอได้รับรู้เช่นนั้น
2).ประเด็นที่น่าสนใจ และผมเคยอ่านเจออยู่บ่อยๆในข้อความจากต่างมิติ หรืออะไรทำนองนี้ก็คือ "รูปลักษณ์" ของสิ่งมีชีวิตจากต่างมิติเหล่านี้ ที่มนุษย์โลกเราจะสามารถรับรู้ได้ "ขึ้นอยู่กับพื้นฐานทางจิตและความเข้าใจของมนุษย์โลกแต่ละคนเป็นหลัก"
แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่ารูปธรรมชีวิตเหล่านั้นอยากให้เราเห็นว่าพวกเขาเป็นอย่างไรด้วย คือพวกเขาจะพยายามให้พวกเราได้เห็นพวกเขา ในแบบที่พวกเราจะสามารถเข้าใจได้
คือ ความจริงแล้ว พวกเขาดำรงอยู่ในลักษณะของพลังงาน ดังนั้น รูปลักษณ์ที่พวกเขาจะแสดงออกมาให้มนุษย์แต่ละคนได้รับรู้นั้น จึงขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์โลกคนนั้น ต้องการ หรือคาดหวังว่าจะได้เห็นอะไร ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับระดับจิตและระดับความเข้าใจของมนุษย์แต่ละคนดังว่า
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า สิ่งที่เราเห็นนั้น มันไม่จำเป็นจะต้องถูกต้องตามความเป็นจริงเสมอไป!!
ดังนั้น ผมจึงเคยพูดเอาไว้หลายครั้งแล้วว่า แม้แต่ผู้ทรงญาณ หรือทรงฌาณทั้งหลาย ก็ยังเชื่อไม่ได้เลยนะครับ ว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นและเอามาเล่าให้เราฟังนั้น มันจะเป็นจริงตามนั้นเสมอไป
เพราะว่ามนุษย์โลกทุกคน มีสิ่งที่ Kryon ใช้คำว่า "ตัวกรอง" หรือ Filter อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งก็มาจากประสบการณ์, ความเชื่อ, ความคิด, ความเข้าใจ และระดับจิตของเรานั่นเอง
ดังนั้น แม้แต่สิ่งเดียวกัน หรือเรื่องเดียวกัน ที่ผู้ทรงจิต-ทรงฌาณเหล่านั้นไปรู้ไปเห็นมาในมิติที่อยู่เหนือช่องว่างและกาลเวลานั้น มันจึงอาจจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเราขึ้นไปสู่มิติที่ยิ่งสูงมากเท่าไหร่ จิตของเราก็จะยิ่งมีพลังอำนาจมากเท่านั้น ซึ่งก็แปลว่าทันทีที่เรากระดิกจิตคิดอยากเห็น หรืออยากได้ อยากมีอะไรนิดเดียวเท่านั้นแหละ อำนาจจิตของเราก็จะเนรมิตสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาให้เราทันทีเลย!
ดังนั้น ก็อย่าแปลกใจนะครับ ถ้าใครมีความเชื่อด้านไหนอยากจริงจังหนักแน่นแล้ว เมื่อเดินทางด้วยจิตไปเข้าสู่มิติที่ไร้กาลเวลาแบบนี้แล้ว ก็จะไปได้แต่ข้อมูลด้านนั้นๆออกมาบอกเล่าให้เราฟังเสมอๆเลย เพราะ Filter ของเขา หรือตัวกรองของใคร หรือแว่นตาที่เขาสวมใส่อยู่ มันอยู่ในช่องนั้น หรือเป็นสีนั้นนั่นเอง
3).รูปธรรมชีวิตจากมิติที่ 7 เหล่านี้ได้บอกเอาไว้ว่า มนุษย์โลกเรา เป็นผู้เลือกที่จะทำร้ายตัวเองให้ป่วยเอง ด้วยวิธีการต่างๆ และส่วนหนึ่งคือการเลือกใช้เชื้อเพลิงที่เป็นพิษเป็นภัยต่อตัวเอง ซึ่งก็คือพวกเชื้อเพลิงจากฟอสซิลทั้งหลาย (ถ่านหิน, น้ำมัน, แกสธรรมชาติ เป็นต้น)
และมนุษย์เอง ก็ยังเลือกที่ใช้สารเคมีที่มีพิษ ในการบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ตัวเองด้วย เช่น ยาแผนปัจจุบันทั้งหลาย ทั้งๆที่จักรวาล หรือเบื้องบนได้มอบพืชชนิดหนึ่งมาให้กับมนุษย์เพื่อเป็นทางเลือกในการใช้งานเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งพืชชนิดนั้น เมื่อสรุปออกมาจากบทสนทนาอันนั้นแล้วก็คือ กัญชง และกัญชา นั่นเอง ซึ่งต่างมิติบอกว่า นั่นแหละคือยารักษาโรคที่ดีมากๆสำหรับมนุษย์หละ และก็ในขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนพวกฟอสซิลได้อีกด้วย โดยการใช้ใบและลำต้นของมัน
และคงด้วยเหตุนี้กระมัง ที่กัญชงและกัญชากลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายไปเมื่อประมาณร้อยปีก่อน (ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ) เพราะว่ากลุ่มบุคคลฝ่ายมืดที่ต้องการควบคุมโลก ก็คงรู้เรื่องนี้ด้วย ก็เลยใช้กลอุบายสกัดกั้นเอาไว้ซะเลย และผลก็เป็นอย่างที่เรารู้ๆกันอยู่ในปัจจุบันนี้แหละครับ
เรื่องพวกนี้ผมไม่ได้พูดเองนะครับ ท่านใดที่สนใจก็ลองไปค้นในเน็ตดูได้ ใช้คำว่า The Cabal หรือ Illuminati อะไรแบบนั้น แล้วท่านจะเจอข้อมูลเพียบเลยหละครับ ผมเองก็เคยแปลบทความเกี่ยวกับกลุ่มนี้เอาไว้บ้างเหมือนกัน เมื่อราวๆ 10 ปีก่อน..แต่ตอนนี้มีคนอื่นตามกระแสเรื่องนี้ต่อให้แล้วครับ คือคุณ Mead Nations นะครับ..ลองเข้าไปค้นหาในเฟสบุ้คดู
4).ในช่วงที่คุณแอนกำลังอยู่ใน Session นั้น Dolores ก็มีขอให้รูปธรรมชีวิตจากต่างมิติเหล่านั้น ช่วยสแกนดูร่างกายเนื้อของแอนให้หน่อย ว่าพอจะแก้ไขอะไรให้ได้บ้างไหม ซึ่งพอแอนอนุญาตให้พวกเขาสามารถช่วยได้แล้ว พวกเขาก็ช่วยจัดการกับทั้ง เบาหวาน และมะเร็งให้กับเธอในทันที
ซึ่งพอกลับไปถึงบ้านแล้ว เธอก็เอาอุปกรณ์ตรวจน้ำตาลในเลือดมาตรวจตามปกติของเธอ และเธอก็พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดของเธอตอนนี้เหลือแค่ 80 เอง ดังนั้น เธอจึงไม่จำเป็นต้องฉีดอินซูลินอีกต่อไปแล้ว
ส่วนเรื่องโรคมะเร็งในลำคอของเธอนั้น ก่อนที่หมอจะผ่าเธอ เธอก็ขอให้หมอช่วยตรวจใหม่หมดทุกอย่างอีกรอบหนึ่งก่อน ซึ่งผลก็ปรากฎว่า..ค่าต่างๆบ่งชี้ว่าเธอไม่ได้เป็นมะเร็งอีกต่อไปแล้ว แล้วหมอก็เลยเขียนในใบรายงานว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถให้คำอธิบายได้!
#ตรงนี้ มีสิ่งที่ผมอยากจะหยิบยกขึ้นมาให้พิจารณากันอยู่นะครับ ซึ่งก็คือ "การร้องขอความช่วยเหลือจากรูปธรรมชีวิตต่างมิติ, จากทวยเทพ, จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย, จากพระเจ้า, จากพระพุทธเจ้า" เป็นต้น เป็นสิ่งที่สามารถทำได้แน่นอน และก็เคยมีผู้ทำได้ผลมาแล้วจริงๆซะด้วย! ถ้าเราเปิดใจให้กับความเชื่อตรงนี้ได้จริงๆ
ซึ่งพวกท่านทั้งหลายเหล่านี้ ก็จะไม่นิ่งนอนใจอย่างแน่นอน และก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือพวกเราอยู่แล้วในทุกๆด้านเสมอ เพราะว่าพวกท่านอยู่กับเราเสมอทุกๆลมหายใจของเรา
ดังนั้น ตราบใดที่ความช่วยเหลือนั้นๆ มันจะไม่ไปแทรกแซง หรือก้าวก่าย Free will และพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณ หรือกรรมของเราแล้ว พวกท่านก็จะยินดีช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้สึกว่าอยากจะร้องขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ก็จงร้องขอเถอะครับ หรืออย่างน้อยก็ร้องขอการชี้นำทาง หรือข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาจากพวกท่านก็ได้
5).ประเด็นเรื่องพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณ และเรื่องกรรม แล้วก็ Free will ที่ว่านี้ก็เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนอีกนั่นแหละ
คือ มันจะมีด้วยนะ ที่พวกเราหลายคนได้เขียนบทละครชีวิตของตัวเองเอาไว้ตั้งแต่ก่อนลงมาเกิดว่า เราจะมาป่วยเป็นโรคอะไรซักอย่าง ที่อาจจะยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ เพื่อที่เราเองนี่แหละ จะมาค้นหาทางรักษามันเอง จนตัวเองหายขาดแล้วก็จะไปช่วยเหลือมวลหมู่มนุษยชาติต่อไป
หรือบางคนที่เป็น Starseed ประเภท Divine Template Holder ก็อาจจะลงมาเกิดเพื่อที่จะนำพาเอาพิมพ์เขียวศักดิ์สิทธิ์ของร่างกายเนื้อมนุษย์ฉบับสมบูรณ์แบบ ที่ถูกออกแบบมาตั้งแต่แรก กลับคืนมาสู่สนามพลังงานของจิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลกอีกครั้งหนึ่งก็ได้
คือ..พิมพ์เขียวของร่างกายเนื้อมนุษย์นั้น เดิมทีมันถูกออกแบบมาให้สมบูรณ์แบบชนิดที่เรียกว่า กายมหาบุรุษ หรือ Avatar body อะไรแบบนั้นเลย แต่ว่าเมื่อระดับพลังงานของโลกและของมนุษย์ตกต่ำลงมาเรื่อยๆนั้น พิมพ์เขียวนี้ มันก็ค่อยๆมีข้อบกพร่องมากขึ้นเรื่อยๆตามไปด้วย จน DNA ส่วนใหญ่ของเราตอนนี้ หยุดการทำงานไปเลย
ดังนั้น Starseed กลุ่มที่ว่านี้ จึงรับอาสาลงมาทำงานด้านนี้ โดยการรักษาตัวเองให้หายป่วยจากโรคอะไรบางอย่าง แล้วกอบกู้เอาความสมบูรณ์แบบของตัวเองกลับคืนมา ในระดับ DNA, และในระดับ Matrix หรือพิมพ์เขียวของร่างกายเนื้อของมนุษย์ดังว่า
ซึ่งเมื่อใดที่พวกเขาทำสำเร็จกับตัวเองแล้ว พลังงานอันนี้มันก็จะไปสถิตย์อยู่ในสนามพลังงานของจิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลกโดยอัตโนมัติ แล้วก็จะเริ่มบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ลงไปใน matrix หรือพิมพ์เขียวของร่างกายเนื้อของมนุษย์โลกคนอื่นๆด้วยโดยอัตโนมัติ แต่ผลของมันยังจะไม่แสดงออกมาชัดเจน จนกว่าจะถึงระดับ Critical Mass เสียก่อน
ซึ่งเมื่อใดที่มีชาวโลกจำนวนมากพอ ที่ได้ทำสำเร็จแบบเดียวกันนี้ จนระดับพลังงานถึงขั้น Critical Mass ได้แล้ว ร่างกายเนื้อของมนุษย์โลกทุกๆคนก็จะ "เริ่ม" ที่จะได้รับผลกระทบ และแสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ จนเห็นเป็นรูปธรรมได้ในที่สุด!
ทุกๆอย่างมันจะมีระดับพลังงานที่เป็น Critical Mass ของมันอยู่ มันถึงจะส่งผลกระทบแบบพลิกกลับขั้วได้ เหมือนเราเล่นไม้กระดานกระดกนี่แหละครับ การจะให้ไม้เอียงลงมาทางฝั่งเราได้นั้น มันต้องใช้น้ำหนักกดลงไปมากเพียงพอซะก่อน อะไรแบบนั้น
ดังนั้น ถ้าใครกำลังมีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรอยู่ก็ตามในตอนนี้ ก็อย่าเพิ่งคิดแต่ว่า เพราะเรามีกรรม หรือเพราะว่าเราโชคร้าย หรือเพราะว่าเราทำอะไรผิดพลาดมาแต่เพียงอย่างเดียวนะครับ เพราะว่าความเป็นจริง มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ เพราะว่ามันอาจจะเป็นภารกิจแห่งแสงสว่างของเรา ที่เราตั้งใจลงมาทำด้วยความรักและเสียสละแก่ชาวโลกทั้งมวลก็ได้
แต่อย่างไรก็ตาม..แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็น Starseed กลุ่มที่ว่านี้เลยก็ตาม แต่ผมเคยรู้มาว่า อะไรก็ตามที่เราเอาใจไปจดจ่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดของทุกผู้ทุกนามแล้วหละก็ อานุภาพของการจดจ่อนั้น ก็จะยิ่งใหญ่กว่าการทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเราเองเพียงลำพังอย่างมากมายมหาศาลเสมอ!
และความจริงที่ว่า มนุษย์โลกทุกๆคนนั้น ล้วนกำลังเชื่อมต่อกันอยู่ตลอดเวลาในทางพลังงานนั้น ก็เป็นสิ่งที่เราจะปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้น แม้ว่าเราจะเป็น Starseed กลุ่มนี้หรือไม่ก็ตาม แต่จงตระหนักรู้ไว้เลยว่า การพยายามรักษาตัวเองให้กลับคืนมาสู่ความแข็งแรง สมบูรณ์ และสมดุลใหม่อีกครั้งหนึ่งนี้ ก็จะไปส่งผลกระทบต่อสนามพลังงานของจิตสำนึกมวลรวมของโลกด้วยเสมอ
ดังนั้น ให้จดจ่อในระดับสูงแบบนี้เอาไว้เลยนะครับ เพราะมีแต่ได้กับได้ครับ เพราะว่าแค่การดำรงอยู่ในความสมดุล และความสุข ความเบิกบานของตัวเองให้ได้นี้ ก็เป็นการช่วยเหลือโลกทั้งโลกอีกทางหนึ่งแล้วหละครับ
ดังนั้น ทุกๆครั้งที่เราตั้งใจจะรักษาตัวเองให้หายขาดจากโรคภัยไข้เจ็บนั้น ให้ทำใจให้ใหญ่ ให้กว้าง ในระดับโลกเอาไว้ อย่างที่ผมพูดไปแล้วนั่นเลยนะครับ ว่านอกจากเรากำลังช่วยเหลือตัวเราเองแล้ว นี่เราก็กำลังช่วยเหลือคนทั้งโลกไปพร้อมๆกันด้วยนะ อะไรแบบนั้น
ในกรณีของกรรม ที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้น จริงๆแล้วเรื่องมันก็ยาวและสลับซับซ้อนอีกนั่นแหละครับ แต่คร่าวๆคือ ถ้าเมื่อใดที่ the lesson is learned! หรือบทเรียนใดที่เราควรเรียนรู้ เราก็ได้เรียนรู้มันไปแล้วนั้น ก็ถือว่ากรรมนั้น เป็นกรรมที่หมดวาระลงแล้ว
ดังนั้น เราจึงไม่จำเป็นต้องแบกหามเอาผลกระทบของบทเรียนหรือกรรมเหล่านั้น ติดตัวไปด้วยอีกแล้ว..เช่น ในรูปแบบของโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น..และก็..กรรมประเภทนี้แหละที่ใครๆก็สามารถช่วยเคลียร์มันออกไปจากชีวิตเราได้ ไม่ว่าจะเป็น Healer ที่เป็นมนุษย์ด้วยกันเอง หรือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากเบื้องบนก็ตาม
ดังนั้น พวกเขาจึงสื่อสารมาบอกเราตลอดไงครับ ว่าให้เราร้องขอออกไป ไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจยื่นมือเข้ามาก้าวก่าย หรือแทรกแซงทางเลือกอิสระ หรือ Free will ของเราได้ เพราะว่าพวกเขาจะไม่ทำเช่นนั้นโดยเด็ดขาดครับ เพราะมันผิดกฎของจักรวาล
แต่ถ้ากรรมไหนเป็นกรรมที่ยังไม่หมดวาระ เราก็ยังจำเป็นที่จะต้องได้รับบทเรียน หรือได้เรียนรู้บทเรียนนั้นอยู่
แต่ก็นี่แหละคือส่วนหนึ่งของงานบำบัดรักษาแบบสะกดจิตระลึกชาติของ Dolores หละครับ ที่จะช่วยนำพาให้ผู้ที่มารับการบำบัด ย้อนระลึกชาติไปถึงจุดเริ่มต้นของปัญหาหรือกรรมนั้น ที่ส่งผลกระทบข้ามภพชาติมาถึงปัจจุบัน แล้วจากนั้น เธอก็จะนำพาความเข้าใจมาสู่ผู้ที่มารับการบำบัดให้ได้เรียนรู้และเข้าใจบทเรียนนั้นๆในบัดดล
จากนั้น เธอก็จะร้องขอให้จิตใต้สำนึกของคนผู้นั้น ช่วยเคลียร์ปัญหาสุขภาพให้กับร่างกายเนื้อนั้นในตอนนั้นเลย หลังจากที่เขาเข้าใจบทเรียนนั้นๆแล้ว แล้วปัญหาสุขภาพของคนผู้นั้นก็จะหายไป
ปล.
การชดใช้กรรมจากหนังสือของ Dolores นั้น หลายๆกรณีที่ผมอ่านมา มันจะไม่ใช่การไปชดใช้ความผิดให้ใครหรอกนะครับ แต่มันคือการให้อภัยตัวเอง และคือการกลับมามอบความรักและความเข้าใจให้กับตัวเองอย่างถ่องแท้ และอย่างหมดจิตหมดใจ และอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วย
และมันก็คือการตัดสินใจแล้วว่า..เอาหละ..ฉันลงโทษตัวฉันเอง มาหลายภพหลายชาติแล้ว และบัดนี้ ตัวฉันเองก็ได้เรียนรู้แล้วว่า คนที่ถูกฉันทำให้เจ็บปวดนั้น เขารู้สึกอย่างไร
ดังนั้น ฉันจึงคู่ควรที่จะปลดปล่อยความรู้สึกผิดและการให้โทษตัวเองเหล่านั้นไปเสียที..ณ.บัดนี้..พิ้ว...แล้วเราก็ปลดปล่อยมันไปด้วยความรักตลอดกาล อะไรแบบนั้นครับ
ที่มา
Ref: The Convoluted Universe-4 by Doroles Cannon.
Chayutt Naowarat
Date: 28/04/2020
..............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น