16 เมษายน 2563

การทำสมาธิ​และอาการของณาน

#ญาติโยมทั้งหลาย​วันนี้​เป็นวันแรกของเดือ​น​กรกฎาคม​เป็นวันที่​ ๑๘​ กรกฎาคม​ ๒๕๓๕​  หลัง​กลางเดือนแล้วนะ​  อีกไม่กี่วันก็มาวันใหม่อีกแล้วนะจะมาไหวหรือไม่ไหวก็ไม่ทราบ​ 
#ก็ขอเริ่มแนะนำ​ในการเจริญ​พระกรรมฐาน​ อันดับ​แรก​ขอพูดตอนต้นก่อน​  เพราะ​ว่าการเจริญ​พระกรรมฐาน​มีความสำคัญ​เบื้องต้น​  คือว่าต้องระงับนิวรณ์​ทั้ง​ ๕​ ประการ
#คำว่า​ นิวรณ์​ แปลว่า​ กิเลส​หยาบทำให้ปัญญา​ให้ถอยหลัง​ มี​ ๕​ อย่าง

✔️ ๑..กามฉันทะ​ พอใจในรูปสวย​ เสียง​เพราะ​ กลิ่นหอม​ รสอร่อย​ สัมผัส​ระหว่าง​เพศ
✔️๒..ความพยาบาท​ การจองล้างจองผลาญ
✔️๓..ความง่วง
✔️๔..จิตฟุ้งซ่าน​เกินไป
✔️๕..สงสัย​ใน​ผลของการปฏิบัติ

#เพราะ​ฉะนั้น​ บรรดา​ญาติ​โยม​พุทธ​บริษัท​ทุกคนในขณะที่​เจริญ​สมาธิ​  หรือว่าพิจารณา​ วิปัสสนา​ญาณ​ก็ตาม​  จงอย่าให้นิวรณ์​ทั้ง​ ๕​ ประการนี้เข้ามากวนใจ​ เวลา​นั้นให้จิตจับไว้เฉพาะ​ลมหายใจเข้าออก​  เวลาหายใจเข้ารู้ว่าหายใจเข้า​ เวลา​หายใจออกก็รู้ว่าหายใจออก​  หายใจเข้ายาวหรือสั้นก็รู้อยู่​  แต่ว่าการที่จะ​บังคับ​นิวรณ์​ในเวลาประเดี๋ยว​เดียว​ให้มันอยู่ในขอบเขตที่เราต้องการย่อมเป็นไปไม่ได้​  ทั้งนี้เพราะ​ว่าจิตของเราคบนิวรณ์​มาหลายแสนชาติ​  เราเกิดแต่ละชาติก็เป็นทาสของนิวรณ์​ทุกชาติ​ เกิดทุก​ชาติ​มีความรักทุกชาติ​ มีความโกรธ​ทุก​ชาติ​  มีความง่วงทุกชาติ​ มีจิตฟุ้งซ่าน​ทุกชาติ​ สงสัย​ทุกชาติ​จริงใหม​ เราเกิดกี่ชาติแล้วละ​ ก็ต้องตอบว่านับไม่ถ้วน​ เพราะ​ว่าไม่ได้นับไช่ใหม​ แล้วต่อมาเราคิดว่าจะระงับ​ให้มันหายในทันทีทันใดย่อมเป็นไปไม่ได้​  ฉะนั้น​ เวลที่บรรดา​ญาติ​โยมพุทธ​บริษัท​ขณะที่รู้ลมหายใจเข้าออกก็ดี​  รู้คำภาวนาก็ตาม​ หรือพิจรณาก็ตาม​ ถ้าทำได้สัก​ ๒..๓​ นาทีแล้วจิตก็เคลื่อนไปสู่อารมณ์​อื่น​  คิดถึง​อารมณ์​อื่นเข้ามาแทรก​ การเป็นอย่างนี้ก็อย่าไปโทษ​ว่าจิตของเราเลวเกินไป​  ต้องถือว่ามันเป็นของธรรมดา​  เราก็เริ่ม​ต้นใหม่

#คำว่า​นิวรณ์​ทั้ง​ ๕​ ประการนี้​  ถ้าบรรดา​ท่านพุทธ​บริษัท​ยังปฏิบัติ​อยู่​ใน​ ฌาน​โลกีย์​ก็ดี​  หรือเป็นพระอริยเจ้ายังไม่ถึงพระอนาคามีก็ดี​  มันก็ยังไม่พ้นไปจากใจของ​เรา
ถ้า​ถึง​พระอนาคามี​ จะทำลายได้​ ๒​ ข้อ​ คือ
✔️๑..ความรัก
✔️๒..ความ​โกรธ
ก็​ยังเหลืออีกสาม​ อีก​ ๓​ ข้อ​นี้จะทำลายได้ต่อเมื่อถึงพระอรหันต์​ ถ้ายังไม่ถึง​พระอรหันต์​เพียงใดอีก​ ๓​ ตัวยังไม่หมด​ พระอนาคามี​หรือ​พระอรหัตตมรรค​ก็ยังมีอุทธัจจะและอวิชชา

#การทำสมาธิ​ทำอย่างไรจึงเป็นสมาธิ
คำว่าสมาธิ​แปลว่าตั้งใจ​ เราตั้งใจ​อยู่ในจุด​ใดจุดหนึ่ง​ ขณะนั้น​จิตตั้ง​ใจเฉพาะ​จุดนั้นถือเป็น​สมาธิ​ อย่าง​สมมุติ​ว่าบรรดา​ท่านพุทธ​บริษัท​ตั้งใจรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก​ หรือ​รู้​คำภาวนา​ หรือรู้การพิจารณา​ ขณะใดที่รู้อยู่​  รู้ลมเข้าก็ดีรู้ลมออกก็ดี​  ขณะนั้นชื่อว่าจิตว่างจากนิวรณ์​  ฉะนั้น​ ถ้ายังรู้คำภาวนา​อยู่ก็แปล​ว่า​จิตว่างจากนิวรณ์​  นิวรณ์​กับเราก็ต้องต่อสู้​กันไปอย่าง​นี้จนกว่าจะเข้าถึงระดับฌาน​  เมื่อเข้าถึงฌานแล้วมันก็ยังไม่ตายเป็นแต่เพียง​ว่าระงับ​ชั่วคราว

#ทีนี้การเจริญ​สมาธิ​ของบรรดา​ท่านพุทธ​บริษัท​ก็ขอย้อนต้นนะ​  ถ้าคนเก่าทีี่รู้แล้วก็ขออภัย​ด้วยอาจจะลืมก็ได้​   การเจริญ​สมาธิ​นี้มี​ ๓​ ขั้น

🚩🚩 ขณิกสมาธิ

ขั้นที่​ ๑..เรียก​ว่าขณิกสมาธิ​ นั่นก็หมายความว่าทรงอารมณ์​ได้ชั่วคราว​ประเดี๋ยว​เดียว​อย่างนึกถึง​ลมหายใจเข้า​ นึกถึง​ลมหายใจออก​  นึกถึง​คำภาวนาหรือพิจรนาได้ประเดี๋ยว​เดียว​จิตก็เริ่มฟุ้งซ่าน​  แล้วเริ่มต้น​ใหม่​ประเดี๋ยว​ก็ฟุ้งซ่าน​ใหม่​  แล้วเราก็เริ่มต้น​ใหม่​ สลับ​กันไปอย่างนี้​ ท่านเรียก​ว่า​ ขณิกสมาธิ​  การที่จะเจริญ​ถึงขณิกสมาธิ​ก็ขอให้บรรดา​ท่านพุทธ​บริษัท​จงอย่าคิว่าเราไม่ได้อะไรเลย​ ได้แน่​ ขณิกสมาธิ​นี่เป็นเทวดา​ก็ได้​ เป็นภุมเทวดา​ก็ได้​ เป็นรุกเทวดา​ก็ได้​  สามารถไปสวรรค์​ได้

🚩🚩อุปจารสมาธิ

ต่อมาในขั้นที่​ ๒..อุปจารสมาธิ​   อุปจารสมาธิ​นี่จิตเข้าถึง​ปีติคือสุขทั้ง​ ๒​ ประการ​ จัดว่าเป็นสมาธิ​ท่ามกลาง​ระหว่าง​ฌานกับจิตปกติ
แต่ว่าในเมื่อ​จิตเข้า​ถึง​อุปจารสมาธิ​ จิตจะเริ่มเป็นทิพย์​  เพราะ​จิตว่างจากกิเลสเล็กน้อย

🚩🚩อาการ​ของปีติมี​ ๕​ อย่าง​ คือ
✔️๑..ขนพอง​สยอง​เกล้า​  พอภาวนา​ไปก็ตามขนลุกซู่​ซ่า​ๆ​ ตามตัว​  บังคับ​ให้หยุดมันก็ไม่หยุด​  อย่างนี้​เป็นอาการเบื้องต้น​ของปีติข้อที่​ ๑...
✔️๒..น้ำ​ตาไหล​  ปฏิบัติ​ไปๆน้ำ​ตาเริ่มไหล​ ไม่ไช่ร้องไห้​  ไม่​ได้เสียใจ​ มันจะไหลเอง​  หรือถ้ามีอาการสูงขึ้นบางทีเขาพูดอะไรชอบใจน้ำตา​ก็ไหล​  อย่าง​นี้เป็นอาการของปีติ​ที่​ ๒..
✔️๓..ตัวโยก​ไปโยกมา​  โยกมาโยกไป​  โยกข้างหน้าโยกข้างหลัง​  มันโยกแต่ว่าจิตใจ​สบาย​ จิตใจ​เอิบอิ่ม​ อย่างนี้เป็นอาการของปีติ​ที่​ ๓...
✔️๔..จะมีอาการคล้าย​เต้นเหมือนปลุกพระ​ หรือตัวลอยไปบนอากาศ
✔️๕..มีอาการซาบซ่าน​  หมายความว่า​ ตัวรู้สึกซู่ซ่า​ในตัวเหมือนกับลมออกจากตัวอย่าง​แรง​  ในที่สุดจะรู้สึกว่าไม่มีร่างกาย​ จะรู้สึก​ว่าหน้าตาใหญ่​โตขึ้นมาก​  จิตใจ​สบายมาก​  อันนี้เป็นปีติ​ที่​ ๕..

#ฉะนั้น.. อาการ​ของปีติ​ทั้งหมด​ขอบรรดา​ญาติ​โยมพุทธ​บริษัท​ต้องรู้ต้องมีความเข้าใจ​ ขณะที่มันเกิดขึ้นเราอย่าไปยุ่งกับมัน​  จะขนลุก​หรือน้ำตาไหลหรือร่างกาย​โยกโคลงอย่างไรก็ตามใจเถิด​  ปล่อย​มัน​  เวลานั้นจิตใจ​จะ​สบาย​ใจ​มาก​  แต่ว่าถ้าจิตของเราผ่านเลยไปแล้วอาการอย่างนี้มันก็จะหายไป​  ในขณะที่จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ​ในตอนนี้จิตเริ่มเป็นทิพย์​เล็กน้อย​  บางคนหรือหลายคนจะมีการเห็นภาพ​ เห็นภาพ​แป๊บเดียว​ภาพก็หายไป​  ความจริงภาพไม่ได้หาย​ เมื่อเห็นภาพปั๊บ​จิตตกใจ​  จิตเคลื่อน​จาก​สมาธิ​  จิตมืด​  ภาพไม่​ได้หายแต่ว่าจิตมันมืดมองไม่เห็น​  ก็จงอย่าสนใจในภาพเกินไป​ มันจะเกิดก็เกิดไม่เกิดก็แล้วไป​ ถ้ามันเกิดจับภาพไว้ก็ดี​  ถ้ามันหายไปก็อย่าสนใจ​   หลัง​จากนั้นสมาธิ​ขั้นที่​ ๓​ เรียก​กันว่า  อัปปนาสมาธิ​ หมายถึง​ ฌานสมาบัติ​  คำว่า​ฌานคือรูปฌาน​ มี​ ๔​ ขั้น​  คือ​ ฌานที่๑​  ฌานที่๒​  ฌานที่๓​   ฌานที่๔...

🚩🚩ฌานที่๑..

#เมื่อจิตเข้าถึง​ฌานที่๑..จิต​จะเป็นสุขมีความเอิบอิ่มมาก​  จิตจะมีการทรงตัว​ แต่ถ้าได้ใหม่ๆจะทรงตัวได้ไม่นานประเดี๋ยว​จิตก็เคลื่อนแล้ว​ อาการที่จะสังเกตว่าจิตเราถึง​ฌานที่​ ๑​..หรือ​ยัง​ก็สังเกต​ที่หู​  ถ้าหูเราได้ยินเสียงทุกอย่าง​ เสียง​คนพูด เสียง​ร้องเพลง​ เสียง​วิทยุ​ เสียง​โทรทัศน์​ เสียงทุกอย่างได้ยินชัดเจนหมดแต่ว่าจิตไม่รำคาญ​ในเสียง​ อย่างนี้​ท่านเรียกว่าจิตเข้าถึงปฐมฌาน​ คือฌานที่​ ๑...

#แต่การที่จะเข้าถึง​ฌานที่​ ๑..ก็แสดง​ว่าขณะที่จิตของเราทรงตัว​อยู่ได้ยินเสียง​แล้วไม่รำคาญ​ นี่แสดงว่า​เราเริ่มชนะนิวรณ์​ ๕​ ประการชั่วคราว​ ในช่วงนั้นนิวรณ์​ทั้ง​ ๕​ ประการจะไม่รบกวนใจ​  มันรบกวนไม่ได้​เพราะจิตไม่ยอมรับทราบ​  แต่ว่าจะทรงไม่นาน​ถ้าจะให้จิตทรงตัวนานๆ​ ต้องเริ่มฝึกอานาปานุสสติ​ คือ​ รู้ลมหายใจเข้าออก​ พยายาม​บังคับ​กำลัง​ใจให้รู้ลมหายใจเข้ารู้ลมหายใจออกให้นานที่สุด​ ใหม่ๆก็ไม่นานนักประเดี๋ยว​มันก็เคลื่อน​ ถ้าฝึกบ่อยๆ​จะมีอาการเคยชิน​  มันอาจจะทรงได้สักเวลา​ ๕​ นาทีบ้าง​ ๑๐​ บาท​ ๒๐​ นาทีบ้าง​ ๓๐​ นาทีบ้าง​  สุดแล้วแต่การฝึก

#ที่นี้พอเข้าถึงฌาน​ที่​ ๒..จะมีความรู้สึกว่าลมหายใจเบาลง​ ลมหายใจมีปกติแต่ว่ารู้สึกว่าเบา​  แสดง​ว่าจิตกับประสาทเริ่มแยกตัวกัน​ตั้งแต่​ฌานที่๑..มา​ จิตกับประสาทเริ่มแยกตัวกันแต่แยกน้อย​ พอฌานที่​ ๒..  แยกออกมาไกล​หน่อย​นึง​ ร่างกาย​หายใจตามปกติแต่ว่าจิตจะมีความรู้สึกว่าลมหายใจเบาลง​ เอาอย่างนี้แล้วกันนะ

#ฌานที่​ ๑​ มีองค์​ ๕​ คือ​ วิตก​ วิจาร​ ปีติ​ สุข​ เอกัคคตา
✔️๑..วิตก..หมายถึง​ว่าการนึก​ว่าเราจะภาวนา​ นึกว่าจะรู้ลมหายใจ​เข้าออก
✔️๒..วิจาร..รู้อยู่ว่าการภาวนา​ถูกใหม​ ลมหายใจเข้าออกถูกต้องใหม
✔️๓..ปีติ..ความอิ่ม​ใจ
✔️๔..สุข..มีความสุข​ใจ
✔️๕..เอกัคคตา...จิตทรงอารมณ์​เป็นหนึ่ง

🚩🚩ฌานที่​ ๒...

#พอจิตเข้าถึง​ฌานที่​ ๒.. ตัดอารมณ์​ ๒​ อย่าง​ 
คือ.. วิตก​กับวิจาร​ ตอนนี้​ในขณะทีีบรรดา​ญาติ​โยม​พุทธ​บริษัท​ดำรง​ฌานที่​ ๑​  จิตจะเริ่มละเอียด​ลงและจะเป็นสมาธิ​มากขึ้น​จนกระทั่ง​มีความรู้สึกน้อยลงไปทุกที​  ลมหายใจยังรู้นะ​ แต่จะตัดคำภาวนา​ คือวิตก​กับวิจารทิ้งไป​ จะเหลือแค่​ ๓​ อย่าง​  คือ​ ปีติ​ สุข​ เอกัคคตา   มีการตัดวิตก​กับวิจารทิ้งไป​ นี่หลายคนทีีปฏิบัติ​กัน​มาและอาตมา​เองก็มีความรู้สึก​เช่นเดียวกัน​
เมื่อ​วิตก​กับวิจารหายไปสักครู่​นึง​ จิตก็ถอยหลัง​ มาหาฌานที่​ ๑.. เมื่อรู้สึกขึ้นมาคิดว่าเราหลับเพราะ​ไม่ได้ภาวนา​ แต่ความจริงเวลานั้นสมาธิ​มันตัดเอง​  จิตจะมีความสุข​ยิ่งขึ้น

🚩🚩ฌานที่​ ๓..

#พอจิตเข้าถึง​ฌานที่​ ๓..  จิตจะตัดตัวปีติ​คือความอิ่ม​ใจออกไป​  เหลือแต่​ สุข​ กับ​ เอกัคคตา​ ๒​ อย่าง​  ตอน​นี้เมื่อจิตเข้าถึง​ฌานที่​ ๓..ทุกท่าน​จะมีความรู้สึกว่าลมหายใจ​มันน้อยเต็มที​ เบามาก​ หูได้ยินเสียงภายนอกไม่ชัดเจนนัก​  ยังรู้เรื่องแต่ว่าเสียงดังกลายเป็นเสียงเบา​  จะมีอาการเครียด​คล้ายๆใครเขามัดเราตัวตึงเป๋ง​  มีอาการ​เครียด​  ร่างกาย​ทรงแบบไหน​จะทรงแบบนั้​น​จะไม่มีอาการ​เคลื่อน​ไหว​ จิตจะมีความสุข​มาก​  อันนี้​เป็นอาการ​ของฌานที่​ ๓...

🚩🚩ฌานที่​ ๔..

#พอจิตเข้าถึง​ฌานที่​ ๔..จะตัดสุขออกไป​ เหลือ​แต่​ เอกัคคตากับอุเบกขา​ เข้ามา​  คำว่าเอกัคคตาหมายความ​ว่า​อารมณ์​เป็นหนึ่ง​  จิตจะทรงตัวเฉพาะ​  แล้วเพิ่มอุเบกขา​คือความวางเฉยเข้ามา​  ตอนนี้​ถ้าเราจะสังเกตุ​ว่าจิตเข้า​ถึง​ฌาน​ที่​ ๔..หรือยังก็จะไม่รู้สึกว่าลมหายใจเข้าออกมีในเรา​  ตอนนี้​จิตกับประสาทตัดกันเด็ดขาด​  จิตแยกจากประสาทไม่ยอมรู้สึกทางร่างกาย​ เอกัคคตามีอารมณ์​เฉย​ ฉะนั้น..เวลา​จิตเข้าถึงฌานที่​ ๔..หูไม่​ได้ยินเสียง​ แม้แต่เสียง​ดัง​ขนาดไหนก็ตามจะไม่ได้ยินเลย​  อย่างที่เขาเปิดเครื่องขยายเสียงดังๆมาตั้งใกล้ๆหู​ อย่าง​นี้จะไม่ได้ยินเสียง​เลย​  อันนี้​เป็นฌานที่​ ๔..

#ส่วน​ที่​พูดมานี้ก็คือพูดเพื่อให้ทราบ​ ก็​มีหลายท่านเหมือนกันที่มีความสงสัย​ บางทีขนลุก​ขนพอง​สยอง​เกล้า​บ้าง​  น้ำตาไ​หล​บ้าง​ ร่างกาย​โยกโคลงบ้าง​ เป็นต้น​  ก็สงสัย​ว่ามันเป็นอะไร​ อย่างนี้​ต้องศึกษา​และต้องรู้ไว้ว่าการเจริญ​สมาธิ​ร่างกาย​จะเป็นอย่างไรเป็นเรื่อง​ของ​มัน​  เราไม่ต้องสนใจ​  สนใจอย่าง​เดียว​คือจิตเป็นสุข​  มันจะถึงฌานที่​ ๑..๒​.. ๓.. ๔.. หรือไม่ก็ตามใจมันเถิด​ อย่าสนใจ​  สนใจอย่างเดียวคือจิตเป็นสุข​  ไม่สนใจนิวรณ์​ ๕..นี่ใช้ได้​  นี่เป็นการเริ่มต้นของบรรดา​ท่านพุทธ​บริษัท​ในตอนแรก

🖊️📖พิมพ์​จากหนังสือ​คำสอนหลวงพ่อ​วัดท่า​ซุง​ ๖๔
หน้าทีี​ ๑๐๑​ ถึงหน้าทีี​ ๑๐๖
🙏🙏พระธรรม​คำสอน​ หลวงพ่อ​พระราชพรหมยาน​
                  (พระมหาวีระ​ ถาวโร  ป.ธ.๔)
วัด​จันทรา​ราม​(ท่า​ซุง)​ อำเภอ​เมือง​ จังหวัด​อุทัยธานี

🖊️พิมพ์​โดย​ นภา​ อิน🙏🙏

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...