๒๗ เมษายน
น้อมรำลึกเหตุการณ์สูญเสียครูอาจารย์พระกรรมฐานพร้อมกันถึง ๕ รูป
ก่อนที่จะได้เริ่มเรื่องเล่าเหตุการณ์สูญเสียครูอาจารย์พระกรรมฐานผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบประกอบด้วยธรรมนั้น ขอเริ่มต้นเรื่องก่อนว่า ในวันจันทร์ที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลในวโรกาสครบรอบ ๓๐ ปี วันราชาภิเษกสมรส ซึ่งในการพระราชพิธีนี้ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้รับอาราธนาจากราชสำนักด้วย
ในยุคสมัยนั้นการเดินทางยังไม่สะดวกสบายดั่งในปัจจุบันนัก ทำให้เวลาที่หลวงปู่สมชายมีกิจนิมนต์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครติดต่อกันหลายวัน ท่านจึงเลือกที่จะไปพักตามวัดในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ดังเช่นในครั้งนี้ท่านเลือกไปพัก ณ วัดเขาอีโต้ จ.ปราจีนบุรี มีพระเณรติดตาม ๘ รูป
คืนวันที่ ๒๖ เมษายน เวลาค่อนรุ่งเข้าสู่วันที่ ๒๗ นั้น ระหว่างที่หลวงปู่สมชายได้พักภาวนาอยู่ภายในกลดขององค์ท่านนั้น ท่านได้กระแอมออกมา ซึ่งการที่หลวงปู่ส่งเสียงกระแอมในเวลาพักบำเพ็ญถือเป็นเหตุ 'ผิดปกติ'
พระเณรจึงพากันออกจากกลดมาดูว่าหลวงปู่มีอาพาธหรือมีเหตุใดเกิดขึ้นหรือไม่?
ขณะที่พระเณรมารวมตัวกันที่กลดหลวงปู่นั้น หลวงปู่ท่านก็ได้ออกมานั่งที่ตั่งตัวเล็กๆ ของท่าน โดยมิได้พูดอะไร ในเวลานั้นมีเพียงแต่ความเงียบภายในเขาอีโต้ พระเณรก็ต่างตั้งใจรอฟังว่าหลวงปู่จะปรารภหรือสั่งอะไรออกมา
เวลาผ่านไปพอสมควร พระอุปัฏฐากจึงกราบเรียนว่า "ขอโอกาส ท่านอาจารย์ไม่สบายหรือครับผม.. จึงลุกออกมากลางดึกเช่นนี้" กระนั้นหลวงปู่ก็ยังไม่ตอบอะไรออกมา ยังคงนิ่งเงียบต่อไป
จนเวลาผ่านไปประมาณครู่หนึ่ง.. หลวงปู่จึงได้เอ่ยประโยคแรกท่ามกลางความเงียบออกมาว่า
"ครูบาอาจารย์ของเราจะสิ้นอีก ๕ รูป ในวันนี้"
พระเณรต่างตลึงในคำปรารภของหลวงปู่แต่ก็ยังคงไม่มีรูปใดจะพูดอะไรออกมา ท่ามกลางความสงัดและอากาศที่หนาวเย็น หลวงปู่จึงปรารภต่อไปอีกว่า
"วงการพระกรรมฐานเราต้องสูญเสียครูบาอาจารย์พร้อมๆ กันถึง ๕ รูป เพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในวันนี้...
ล้วนแต่เป็นที่เคารพนับถือของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอีกด้วย แต่อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด"
"ทุกสิ่ง.. ทุกอย่าง.. ย่อมหนีกรรมไม่พ้น มันเป็นเรื่องวิบากกรรมที่ท่านจะต้องมาตายพร้อมกันเช่นนี้ ตายอย่างแหลกเหลวแทบหาร่างไม่พบเลยทีเดียว.."
พระเณรต่างรอว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับครูอาจารย์รูปใดบ้าง แต่ก็มิกล้าถามหลวงปู่ ความเงียบผ่านไปครู่ใหญ่หลวงปู่จึงกล่าวต่อไปอีกว่า
"ท่านเคยทำกรรมร่วมกันมาก็หนีไม่พ้น
สมัยพุทธกาลขนาดพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ พระโมคคัลลาน์ เป็นถึงพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธาศักดานุภาพมากกว่าใครในสมัยนั้น ไปนรกได้ ไปสวรรค์ได้..
แต่สุดท้ายที่จะนิพพานกลับมาถูกโจรทุบกระดูกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี ตายไม่สมเกียรติของพระอัครสาวกเลย
พระโมคคัลาน์ท่านหนีทุกอย่างได้ แต่ท่านหนีกรรมไม่พ้น
สมัยนั้น.. พระพุทธเจ้าก็ยังถูกโจมตีจากคณาจารย์เจ้าลัทธิต่างๆ
เหมือนกัน.. ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็หนีกรรมไม่พ้นเช่นกัน"
หลวงปู่หยุดปรารภธรรมไว้เพียงเท่านี้ และนิ่งในลักษณะปลงพิจารณาธรรม ซึ่งก็พอดีกับเวลาใกล้รุ่ง แสงเงินแสงทองจับขอบฟ้าแล้ว
พระเณรได้ถวายน้ำล้างหน้าและยาสีฟันแด่หลวงปู่ตามกิจวัตรประจำวัน โดยที่หลวงปู่ยังคงไม่ปรารภอะไรออกมาเพิ่มเติม หลังจากที่หลวงปู่ล้างหน้าเสร็จท่านก็เข้าที่เดินจงกรมภาวนาต่อคล้ายๆ กับว่าอยู่ในระหว่างรอเวลา ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ หลวงปู่จึงเรียกพระอุปัฏฐากให้นำจีวรมาให้ท่าน
พระอุปัฏฐากสังเกตเห็นว่าหลวงปู่มีความกังวลบางอย่างจึงกราบเรียนถามว่า "ขอโอกาสครับ ท่านอาจารย์จะเดินทางตอนนี้หรือครับ?"
หลวงปู่จึงตอบออกมาว่า "อืม.. ไปกันเถอะ! ไปดูแลครูบาอาจารย์กันก่อน เดี๋ยวจะไม่ทัน ท่านมาบอกลาผมเมื่อคืน หลวงปู่บุญมา ท่านอาจารย์วัน ท่านอาจารย์จวน ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ท่านอาจารย์สุพัฒน์.."
"..ท่านจะนิพพานในอีกไม่ช้านี้"
ด้วยความที่พระเณรเป็นห่วงครูอาจารย์ที่ท่านกำลังจะมรณภาพ รีบเดินตามหลวงปู่ไปขึ้นรถซึ่งติดเครื่องรอไว้แล้ว
หลวงปู่ได้หยุดเดินแล้วกล่าวขึ้นมาว่า
"ไม่ทันแล้ว!"
จากนั้นจึงเดินขึ้นรถต่อไป
วันนี้ (๒๗ เมษายน ๒๕๒๓) หลวงปู่สั่งคนขับรถให้ไปทางคลองหก รถวิ่งมาถึงตัวจังหวัดปราจีนบุรี เสียงวิทยุที่คนขับรถได้เปิดไว้ได้ประกาศข่าวด่วน เครื่องบินเดินอากาศไทย(การบินไทยในปัจจุบัน) เที่ยวบินที่ ๒๓๑ อุดรธานี-กรุงเทพฯ รุ่น HS-748 รหัส HS-THB บินออกจากท่าอากาศยานอุดรธานี จะไปลงที่ท่าอากาศยานดอนเมือง แต่เนื่องจากสภาพอากาศเลวร้าย มีลมกระโชกแรง ทำให้เครื่องบินเสียการควบคุมและตกลงมากระแทกกับพื้นดิน ก่อนจะถึงกรุงเทพประมาณเพียง ๒๐ กิโลเมตร เครื่องบินได้ลงบนท้องนา ทุ่งรังสิต บริเวณหมู่ที่ ๔ ต.คลอง ๔ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ทำให้ผู้โดยสารบนเครื่องจำนวน ๕๓ คน เสียชีวิต ๔๐ คน
ในจำนวนนี้มีพระสงฆ์มรณภาพ ๗ รูป เป็นพระสายป่า ๕ รูป คือ
๑.พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม)
๒.หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม
๓.พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ
๔.พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร
๕.พระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม
เมื่อรถหลวงปู่มาถึงยังที่เกิดเหตุ ขณะนั้นยังมีควันขาวๆ โพยพุ่งออกมาจากซากเครื่องบินที่กระจายนั้น ชาวบ้านวิ่งสับสนอลหม่าน เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจแน่นทั้งสองข้างทาง
พระเณรได้ช่วยเก็บอัฐบริขารของครูอาจารย์ที่กระจายอยู่นั้นมาวางในสถานที่เหมาะเรียบร้อย ส่วนหลวงปู่สมชายได้เก็บชิ้นส่วนของครูอาจารย์มารวมไว้ โดยที่หลวงปู่ได้ปรารภในระหว่างหยิบชิ้นส่วนครูอาจารย์ว่า
"ท่านอาจารย์วัน ท่านอาจารย์จวน มาบอกเมื่อคืนว่าให้ช่วยมาเก็บธาตุขันธ์ให้ท่านด้วย.. รับปากท่านไว้เมื่อคืน"
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีหลวงปู่ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่จัดการต่อไป ตกกลางคืนหลวงปู่ก็พาพระเณรไปกราบสรีระครูอาจารย์ที่ตั้งบำเพ็ญกุศล ณ วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน กรุงเทพฯ
ขณะที่นั่งรอเวลา หลวงปู่ต้องตอบคำถามพระและบรรดาญาติโยมที่เข้ามาถามหลวงปู่ หลวงปู่ก็ตอบไปเพียงว่า
"ไม่มีใครในโลกนี้หนีกรรมได้ วิบากกรรมของท่านหมดแล้ว ไม่ต้องห่วง
ให้ห่วงตัวเราเองให้มาก ทำตัวเราเองให้ดีที่สุด นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง"
การบำเพ็ญกุศลได้ดำเนินไปจนถึงวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๒๓ อันเป็นกำหนดวันเชิญสรีระครูอาจารย์กลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดของแต่ละท่าน ข้างหน้าสุดเป็นรถตำรวจทางหลวง ถัดมาเป็นรถหลวง รถของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย และรถเชิญสรีระครูอาจารย์แต่ละรูป ตามลำดับ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มีพระเณร ๘ รูป เป็นสักขีพยานรับทราบเรื่องราวของครูอาจารย์ที่ได้ส่งกระแสจิตบอกลากันในคราวที่จะแตกกายทำลายขันธ์นี้เอง
เรียบเรียงถวายครูอาจารย์โดย : ทิวา จ.
แฟนเพจ : เล่าเรื่อง หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิม
https://web.facebook.com/เล่าเรื่อง-หลวงปู่สมชาย-ฐิตวิริโย-วัดเขาสุกิม-313943561966785
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น