03 เมษายน 2563

สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อวันพุธก่อน ได้ให้บรรดาท่านพุทธบริษัทท่องเที่ยวอยู่ในดินแดนของพระอินทร์พักหนึ่ง มาวันนี้ จะพาบรรดาท่านพุทธบริษัทไปชมวิมานเบ็ดเตล็ดซึ่งเป็นเทวดาตัวอย่างสัก ๒-๓ องค์ตามที่เวลาจะอำนวย เพราะว่าเรื่องราวของสวรรค์ต้องว่ากับแบบรวมๆ

วันนี้ เรามาพูดกันถึงว่า คนที่เคยทำบาป แต่ทว่าตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ แล้วก่อนที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจะทราบเรื่องราวของเทวดาต่างๆ ขอให้รู้อายุของเทวดาชั้นนี้ไว้เสียก่อน เทวดาบนสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์เทวโลก ทุกองค์ มีอายุอยู่ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ ถ้าจะประมาณเปรียบเทียบอายุในเมืองมนุษย์ หนึ่งร้อยปี เท่ากับ ๑ วัน แล้วก็เดือนหนึ่ง ๓๐ วันปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน ก็นั่งนับกันเอาเองก็แล้วกัน นั่งนับกันตามสบายแล้วสำหรับเทวดาที่เกิดในชั้นนี้ หรือชั้นอื่นก็เหมือนกัน ไม่แน่ว่าจะมีอายุเฉพาะกาลที่กำหนดไว้

สมมติว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเคยบวชพระด้วยตนเอง และปฏิบัติตามพระธรรมวินัยด้วยดี ท่านประเภทนี้เวลาบวชแล้วมีอานิสงส์อยู่เป็นเทวดาได้ ๖๐ กัป หมายความว่ามีอายุเป็นเทวดาได้ ๖๐ กัป สำหรับบิดามารดาผู้ให้บวช ผู้ให้กำเนิด ได้อานิสงส์คนละ ๓๐ กัป ต่อลูกชายบวช ๑ คน แล้วสำหรับคนที่เป็นเจ้าภาพ ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ เป็นเจ้าภาพให้กุลบุตรบวชในพระพุทธศาสนาได้อานิสงส์แห่งการบรรพชากุลบุตรใว้ในพระพุทธศาสนาคนละ ๑๒ กัปต่อ ๑ องค์ สำหรับท่านที่ได้ทำบุญอุปสมบทกุลบุตรไว้ในพระพุทธศาสนา 

ช่วยเขาคนละบาทสองบาท หรือช่วยด้วยกำลังแรง อย่างนี้ก็มีอานิสงส์องค์ละ ๘๐ กัป ไม่ใช่ ๘๐ นะ เอาแค่ ๘ เฉยๆ เอาศูนย์ออกเสีย มันจะเหนื่อยเผลอไป เป็นอันว่าถ้าหากว่าอยู่ถึงพันปีทิพย์หรืออยู่ตามกำหนดเทวดาชั้นนั้นๆ อานิสงส์นี่ยังไม่หมด เมื่อตายจากความเป็นเทวดาเมื่อครบกำหนดพันปีทิพย์สมมติเอาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านก็เกิดเป็นเทวดาใหญ่

เพียงแค่พริบตาเดียว ไม่ต้องป่วยไข้ หมดบุญก็หมดตัวพริบตาเดียว คนอื่นไม่รู้ เรียกว่า คนอื่นสังเกตไม่ทัน นี่ว่าถึงอานิสงส์แห่งการอยู่ในฐานะเทวดา ไม่ใช่เฉพาะว่าต้องมีอายุครบพันปีทิพย์แล้วก็ต้องไปที่อื่น ไม่ใช่ยังงั้น นี่สำหรับคนผู้บวช และสำหรับคนที่บวชสามเณรในพระพุทธศาสนา บวชตัวเอง หมายความว่าตัวเองได้บวช แล้วก็เป็นเณรอย่างดี ไม่ใช่เป็นเณรเปรต พระเปรต บวชเข้ามาแล้วไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย บวชเข้ามาแล้วประพฤติดีตามพระธรรมวินัย

มีอานิสงส์เป็นเทวดาได้ ๓๐ กัป สำหรับบิดามารดาได้คนละ ๑๕ กัป สำหรับพ่อกันแม่นี่ มีอานิสงส์เป็นพิเศษ ท่านกล่าวว่า เมื่อบิดามารดาคลอดบุตรออกมาแล้ว พ่อกับแม่จากไป ไม่รู้ว่าลูกชายเป็นใคร ลูกชายไม่รู้ว่าพ่อแม่ชื่ออะไร รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เป็นยังไงไม่รู้จักกัน เวลาลูกชายบวชเมื่อไร พ่อแม่อยู่ที่ไหนก็ตาม 

มีอานิสงส์เต็มที่ คือสามารถเป็นเทวดาได้ ๑๕ กัป เฉพาะลูกชายบวชเณร ถ้าลูกชายบวชพระ ก็มีอานิสงส์เป็นเทวดาได้ ๓๐ กัป นี่การบวชกุลบุตรในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์พิเศษแบบนี้ ซึ่งไม่เหมือนกับอานิสงส์อย่างอื่น การทำบุญอย่างอื่น ต้องอุทิศส่วนกุศลให้ พ่อแม่มีโอกาสโมทนาก็ได้บุญ ถ้าพ่อแม่ไม่มีโอกาสโมทนาก็ไม่ได้บุญ ฉะนั้น การบวชตัวเองก็ดี บวชคนอื่นไว้ในพระพุทธศาสนาก็ดี บวชลูกบวชหลานไว้ในพระพุทธศาสนาก็ดี ต้องให้ลูกให้หลานปฏิบัติให้ดีตามพระธรรมวินัย จะมีอานิสงส์ตามที่กล่าวแล้ว ถ้าลูกหลานปฏิบัติไม่ดี หรือว่าเวลาบวชสร้างบาปไว้มากๆ เวลาจะบวชลูกหลานสักคราว ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าหมู ฆ่าวัว ฆ่าควาย อย่างนี้ เขาเรียกว่าไม่ใช่บวชซื้อบุญ เป็นการลงทุนซื้อบาป การบวชในคราวนั้นไม่มีผล เพราะอะไร? เพราะว่าจิตไม่มีกุศล จิตเป็นอกุศลเป็นบาปไปเสียหมด เลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งซึ่งกันและกัน ไม่ทำอย่างนั้นก็เกรงว่าชาวบ้านจะติเอา เขาทำแล้วเขาเลี้ยงกันแบบนี้ เราเองเราทำเราไม่เลี้ยง หน้าตามันจะไม่เสมอเขา ยังงี้เขาไม่เรียกว่าปรารถนาหน้าตาเป็นเทวดา 

ปรารถนาหน้าตาเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉาน เพราะว่าน้องใช้หนี้กรรมเขามาตามนั้น นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อายุของเทวดาแต่ละชั้นมีจำกัดก็จริง แต่ทว่าท่านพุทธบริษัทชายหญิงที่ทำบุญเข้าไปแล้ว 

อย่างบวชพระบวชเณรเป็นต้น เมื่อครบอายุก็ตายปุ๊บเกิดปั๊บ เป็นเทวดาชั้นนั้นต่อไป นี่ว่ากันถึงว่าเป็นเทวดาธรรมดาไม่สร้างบารมีพิเศษ ถ้าไปสร้างบารมีเป็นพิเศษ อาจจะมีบุญก้าวขึ้นไปสู่ชั้นอื่นก็ได้ เอาละ สำหรับเรื่องนี้ของดไว้ จะพูดต่อไปถึงเทวดาตัวอย่างคนทำบาปไว้มาก แต่ว่าเกิดเป็นเทวดาได้

ตัวอย่างท่านสุปติฏฐเทพบุตร ปรากฏว่าในสมัยที่เป็นมนุษย์ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม ไม่เคยทำบุญ วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ใครเขาบอกบุญบอกทานเห็นแล้วทำเป็นไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ต้องการ กินเหล้าเมายาตลอดเวลา เมื่อเวลาจะตายขึ้นมาจริงๆ เวลานั้นมองเห็นทรัพย์สิน เห็นลูกเห็นเมีย ข้าทาสหญิงชายนั่งกันสะพรั่งตัวเองมีทุกขเวทนาอย่างหนัก ก็มาคิดในใจว่าคนทั้งหลายนี้เป็นคนของเรา เราสร้างฐานะมาด้วยความลำบาก จนกระทั่งเป็นคหบดี คนทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีโอกาสจะช่วยเราได้ เราตายคราวนี้เห็นจะรับโทษคนเดียว เพราะว่าพระพุทธเจ้ากล่าวว่าใครทำบาปแล้วไปตกนรกคนเดียว

ตอนนี้ เกิดกลัวนรกขึ้นมา จิตใจเลยน้อมนึกไปว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ย่อมช่วยคนในยามมีทุกข์ นี่เป็นยังงั้นนะ บรรดาพระนี่เป็นยังงั้น ถ้าคนไม่เห็นทุกข์ คนก็ไม่ค่อยจะเห็นพระ 

ถ้ามีทุกข์ขึ้นมาเมื่อไรก็เห็นพระเมื่อนั้น พระก็ประเภทเดียวกับหมอดู แต่ว่าหมอดูได้เปรียบกว่าพระ เพราะมีโอกาสได้ค่าจ้างรางวัล ดีไม่ดีก็ยุให้สะเดาะเคราะห์ไปเลย เป็นอันว่าคนดูมีเคราะห์เพิ่มขึ้น หมอดูหมดเคราะห์ นี่เป็นเรื่องของท่าน คราวนี้ มาว่ากันไปถึง สุปติฏฐเทพบุตร เมื่อเป็นมนุษย์นึกถึงความชั่วของตัวจะให้ผล ก็นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระทศพล ตอนนี้เอง จิตใจน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ นึกในใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ น้อมจิตไปด้วยความเลื่อมใส ภาวนาได้ไม่กี่คำก็พอดีตาย ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก 

เรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทหลายท่านเคยค้านท่านฤๅษีลิงดำว่า คนทำความชั่วมามาก ทำไมหนอจะมีโอกาสไปสวรรค์ได้แม้ว่าตัวเองจะทำบุญนิดเดียว อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องคิดดูสักนิด จะเปรียบเทียบให้ฟัง 

สมมติว่าเราเองนี่นะ เป็นหนี้เขาอยู่มาก เป็นหนี้เขาอยู่หลายแสนบาท เจ้าหนี้เขาทวงซึ่งอีกไม่กี่วันเขาจะฟ้องล้มละลาย จะยึดทรัพย์ยึดสินจนหมด แต่ก่อนหน้าที่เจ้าหนี้จะฟ้องล้มละลาย บังเอิญทีเดียว เขาไปถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เข้า เวลานี้ได้ล้านบาทเศษ พอได้เงินล้านบาทเศษทำยังไง?

เขาไม่ใช้หนี้ โน่น เดินทางไปต่างประเทศที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน ไปนั่งเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีที่นั่นตามสบาย แต่ทว่า ถ้าหมดเงินเมื่อไร กลับมาเมื่อไร เมื่อนั้นแหละ เจ้าหนี้เขาก็ฟ้องตามหน้าที่ที่เขาจะต้องทำ เวลานั้นเขาหนีไปได้เงินทองที่มีอยู่ก็ไม่ต้องเสียไป ไม่ต้องใช้หนี้เขา ข้อนี้มีอุปมาฉันใด แม้คนเราก็เหมือนกัน ทำความชั่วไว้มาก แต่เวลาจะตายถ้าทำใจผ่องใสนึกถึงสิ่งที่เป็นกุศล อันนี้ 

สมเด็จองค์พระทศพลทรงตรัสเป็นพุทธภาษิตไว้ว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา เมื่อเราจะตายถ้าจิตเศร้าหมอง ทำบุญไว้มากมายเท่าไรก็ตาม ไปรับผลของกรรมชั่วก่อน จิตเต ปริสุทเธ สุคติปาฏิกังขา เมื่อเวลาจะตายถ้าจิตใจผ่องใส จะทำบาปไว้เท่าไรก็ตาม เราไปรับผลของบุญก่อน ตัวท่านสุปติฏฐเทพบุตรทำบาปไว้มาก เมื่อเวลาจะตายจิตใจน้อมนึกถึงคุณพระรัตนตรัย อารมณ์เกิดผ่องใส คิดว่าพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ต้องช่วยเราได้ ภาวนาด้วยความเลื่อมใสและความมั่นใจอันนี้ 

ท่านกล่าวว่าเป็นพุทธานุสสติ คือระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธรรมานุสสตินึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์ สังฆานุสสตินึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์ ฉะนั้น เมื่อท่านตายไปแล้ว แทนที่จะไปเกิดในนรก ก็เกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก

แต่ในฐานะที่ตนเองเป็นคนประมาทมาก่อน เป็นเทวดาก็เป็นเทวดาประมาทไม่สร้างความดีต่อ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา ปรากฏว่า ท่านสุปติฏฐเทพบุตรจะหมดอายุจากความเป็นเทวดา เมื่อหมดแล้วต้องต้องหาใช้หนี้กรรมเก่ารู้ตัวว่าจะต้องตกอเวจีมหานรกสิ้น ๑ กัป เพราะบาปที่ทำปาณาติบาตเป็นอาจิณกรรม ออกจากนั้นแล้วก็ไปเสวยผลในนรกบริวารอีก ๔ ขุม แล้วก็มานั่งไล่เบี้ยในยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม เพราะทำบาปครบถ้วน จากนั้นก็มาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็เป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ พ้นจากนั้นแล้ว ก็มาเป็นคนหูหนวด ๕๐๐ ชาติ เพราะเขาบอกบุญรู้แล้วได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ตาบอด ๕๐๐ ชาติเห็นแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติเพราะการดื่มสุราเมรัยเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขาเดินไม่ได้ ๕๐๐ ชาติ เพราะเศษกรรมของปาณาติบาตทรมานสัตว์ ทำสัตว์ให้ตาย เมื่อแกรู้เข้าแบบนี้ก็ตกใจ วิ่งโร่เข้าไปหาพระอินทร์ขอให้พระอินทร์ช่วย พระอินทร์ก็บอกว่าช่วยไม่ได้ 

ฉันก็เป็นเทวดาเหมือนกัน พระอินทร์พาไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพิจารณาว่า เทวดาองค์นี้ ถ้าเราเทศน์อภิธรรม ๗ คัมภีร์ไม่มีผล เพราะบารมีไม่ถึง เทศน์อะไรจึงจะดี องค์สมเด็จพระชินสีห์ ก็ทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ว่าเราเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เทวดาองค์นี้เมื่อฟังจบ ก็จะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล 

บาปกรรมที่ตนทำไว้ไม่มีโอกาสจะให้ผล เป็นอันว่าสมเด็จพระทศพลจึงได้เทศน์อุณหิสวิชัยสูตร พอเทศน์จบท่านสุปติฏฐเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่าอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดียรัจฉานฉานไม่มีโอกาสจะให้ผล

นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน คนที่เป็นบาปนะเขาทำกันแบบนี้ เรียกว่าเขาทำกันแบบนี้ เวลาจะตายหาความดีเข้าไว้ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้สอนพุทธบริษัทให้เจริญพระกรรมฐานเข้าไว้ ข้อใดข้อหนึ่งให้จิตชิน เมื่อมีอารมณ์ชินแล้ว เวลาจะตายจิตก็จับอารมณ์นั้นเข้าไว้ อารมณ์จะผ่องใส บาปกรรมทั้งหลายจะตามไม่ทัน นี่เป็นเทวดาตัวอย่างพูดให้ฟัง เชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็ตามใจ นี่ หนึ่งละนะ

มาคนที่ ๒ คนทำบุญเล็กๆ น้อยๆ ดูเจตนาเขาให้ดีนะ เทวดานางหนึ่ง เรียกว่านางฟ้าก็แล้วกัน นางฟ้านางหนึ่งมีนามว่า สาตจีเทพธิดา สาตจีเทพธิดานี่เป็นคนจนในสมัยเป็นมนุษย์ ในขณะเป็นมนุษย์จนมาก ตัดฟืนขายทุกวัน โอกาสที่จะบำเพ็ญกุศลไม่มี เช้าก็ป่า ตอนเย็นก็กลับมาบ้านขายฟืนเสร็จหุงข้าวกิน เช้าก็ต้องเข้าป่า เป็นแบบนี้ทุกวัน 

พระจะมาบิณฑบาตหรือจะมาบอกบุญบอกทานไม่มีใครมีโอกาสได้พบเธอ ไม่ใช่ว่าไม่มีศรัทธา ศรัทธามี แต่โอกาสไม่มี วันหนึ่ง สาตจีเทพธิดาเข้าป่า ไปพบดอกบวบขมเข้า มีสีเหลืองคิดถึงพระว่าดอกบวบขมนี่ มีสีคล้ายๆ จีวรพระ ตอนเย็นวันนี้ เรากลับไป เราจะเด็ดเอาไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุอัฐิธาตุของพระอรหันต์ เวลากลับบ้านเธอก็เก็บมาจริงๆ มาถึงบ้านขายฟืนแล้วหุงข้าวกินเสร็จอาบน้ำอาบท่านแต่งตัวดี จึงได้นำดอกบวบขมชุดนี้

ตั้งใจจะเอาไปบูชาเจดีย์ที่เขาบรรจุพระธาตุของพระอรหันต์ แต่ว่าระหว่างที่นางเดินทางไปนั้น ปรากฏว่า มีวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย ขณะที่นางจะตายจิตใจก็นึกว่าเราจะไปบูชาพระรัตนตรัย นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท จิตใจของนางนี้นั้น จัดว่าเป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน เพราะตั้งใจจะไปบูชากระดูกพระอรหันต์ ด้วยอานุภาพแห่งการตั้งใจบูชา ตั้งใจทำบุญด้วยจิตเป็นกุศลจริงๆ 

เมื่อชีวิตของนางออกจากร่าง ก็ไปบังเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำเพราะอาศัยมีสีเหลืองเป็นสำคัญ เครื่องประดับกายของนางก็ดี เครื่องประดับวิมานของนางก็ดี มีสีเหลืองเป็นทองไปหมด แล้วมีนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวาร มีความสุขสำราญอยู่ที่นั่น นี่คนที่ ๒ ละนะ ดูเวลามีพอไหม ถ้ามีพอว่าต่อไป

อีกท่านหนึ่งไม่เคยทำบุญอะไรมาเลยเช่นเดียวกับนางสาตจีเทพธิดา แต่ทว่าก็ไม่เคยทำบาป ท่านองค์นี้คือท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรนี่เป็นลูกของเศรษฐี มีทรัพย์นับได้ ๘๐ โกฏิ แต่เศรษฐีนี่ท่านก็เศษจริงๆ เป็นคนที่ไม่เคยให้ทานเลย ขี้เหนียวตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร เพราะถือว่าทรัพย์ของเรา เราหาเอาไว้ พ่อแม่หาให้ คนอื่นไม่เกี่ยว มีลูกชายคนหนึ่งเวลาที่ลูกชายป่วยหนักท่านรักษาของท่านคนเดียว ไปเก็บยามาให้ 

แต่ว่าขณะนั้นอาการไม่ดีขึ้น ในที่สุดท่านก็คิดว่าลูกชายของเราใกล้จะตาย ดีไม่ดีญาติพี่น้องทั้งหลายพากันมาเยี่ยม ลูกชายนอนอยู่ในห้องแบบนี้ เมื่อเห็นทรัพย์สินเข้า คนนั้นจะขออย่างนั้น คนนี้จะขออย่างนี้ เราก็จำจะต้องให้ ไม่เอา ไม่เอา อีท่านี้ไม่ดี เลยพาลูกชายไปนอนที่ระเบียง เอาไปนอนที่ระเบียงบ้านเผื่อว่าใครเขามาเยี่ยมจะได้ไม่เห็นทรัพย์สมบัติอะไร 

ลูกชายก็มีอาการหนักเข้ามาทุกที เงินทองมีมากจะไปหาหมอมารักษา ท่านก็ไม่ทำ ในที่สุดลูกชายก็ใกล้ตายเต็มที วันนั้นบังเอิญองค์สมเด็จพระชินสีห์กับพระอานนท์เดินผ่านไป ท่านมัฏฐกุณฑลีเห็นเข้าก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่าพ่อแม่ของเรานี้ไม่เป็นที่พึ่ง เป็นเศรษฐีใหญ่ แต่ว่าไม่ยอมจ่ายเงินเพื่อลูกชาย ฉะนั้นจึงได้คิดว่าพ่อแม่ก็ดี ทรัพย์สินก็ดี ไม่เป็นที่พึ่งที่อาศัยสำหรับเราได้ เห็นแต่พระรัตนตรัยเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้เป็นอย่างดี ท่านมัฏฐกุณฑลีจะยกมือขึ้นมาไหว้ก็ไหว้ไม่ไหว ในที่สุดก็เอาใจน้อมไปถึงคุณพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ไม่ช้าท่านก็ตาย 

เมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำ มีเครื่องประดับมาก มีนางฟ้า ๕๐๐ เป็นบริวาร นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านชมวิมานแล้วก็ดูเจตนาของเขานะ คนที่จะถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้นี่ ไม่ใช่ว่าจะมากันได้ง่ายๆ ต้องมีกำลังใจชั้นดีจริงๆ ถ้าหากจะบูชาพระรัตนตรัยนึกถึงพระรัตนตรัยก็ต้องจิตมั่นคง ไม่ใช่สักแต่ว่าสวดมนต์ส่งเดชตามประเพณี ภาวนาส่งเดชตามประเพณี อย่างนี้มาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไม่ได้ อย่างดีก็ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา หรือดีไม่ดี บุญกุศลที่กระทำประเภทนั้นโดยไม่ตั้งใจจริงก็จะพาลงนรกไป เพราะว่าไม่ได้เคารพกราบไหว้บูชาด้วยจริงใจ นี่เล่าให้ฟังนะ เขาตัดใจกันจริงๆ

ตานี้ มาดูคนอีก ๒ คน เวลาเหลืออีกนิดหนึ่ง มาดูอีก ๒ คน คือพระอินทร์กับอังคุละเทพบุตร เวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปใหม่ๆ ไปถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ พระอินทร์ไปนั่งข้างขาเบื้องขวา อังคุละเทพบุตรนั่งข้างขาเบื้องซ้าย พอเทวดาผู้ใหญ่มาเข้าอังคุละเทพบุตรถอยไปๆ ถอยจนกระทั่งไปอยู่ข้างหลังเพื่อน 

สำหรับพระอินทร์ไม่ถอย พระพุทธเจ้าประสงค์จะประกาศผลของคนที่ทำบุญในพระพุทธศาสนามีอานิสงส์มาก จึงได้ถามอังคุละเทพบุตรว่า อังคุละ เมื่อตถาคตมาใหม่ๆ เธอนั่งใกล้อยู่กับพระอินทร์ เวลานี้เธอไปนั่งอยู่ไกลสุด ในสมัยที่เป็นมนุษย์เธอทำอะไรไว้? อังคุละเทพบุตรจึงได้กราบทูลตอบสมเด็จพระจอมไตรว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ตั้งใจให้ทานอยู่ ๒ หมื่นปี คือตั้งเตาไว้ ๑ โยชน์ ตั้งเตา ๑ เตา ๑ โยชน์ตั้ง ๑ เตา เพื่อตั้งโรงครัว ๘๐ โยชน์ ๘๐ เตา เลี้ยงคนกำพร้าและคนเดินทางตลอดเวลา แต่เวลานั้นเป็นเวลาที่ไม่มีพระพุทธเจ้าตรัส เป็นเวลานอกพระศาสนา

อานิสงส์ที่ทำบุญแบบนี้มา ๒ หมื่นปี ตายขึ้นมาเป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุด ต้องอยู่หลังเทวดาอื่นทั้งหมด เพราะอานุภาพไม่เท่าเขา องค์สมเด็จพระผู้มีภาคเจ้าจึงได้ถามพระอินทร์ว่า สมัยที่เป็นมนุษย์พระองค์ทำอะไรไว้ จึงมีศักดาใหญ่ ไม่ต้องถอยหลังให้แก่ใครเป็นเทวดาชั้นหัวหน้า พระอินทร์ก็กราบทูลสมเด็จพระสมมาสัมพุทธเจ้าว่า สมัยเป็นมนุษย์ข้าพเจ้าถวายสังฆทานเป็นปกติ คือนิมนต์พระมาแล้วก็ถวายสังฆทาน อานิสงส์แห่งการถวายสังฆทานนี้มีอานิสงส์มาก เป็นเหตุให้ข้าพระพุทธเจ้านี่เป็นเทวดาอื่นทั้งหมดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เรื่องการชมดาวดึงส์ก็ขอยุติเพียงแค่นี้นะ ถ้าจะนำชมกับจริงๆ ละก็อีกหลายตอน สัก ๑๐๐ ตอนก็ไม่จบเพราะว่าเรื่องนี้จะให้จบภายใน ๒๔ ตอน เอากันแค่นี้ก็แล้วกัน มาพูดไว้ตอนนี้เพื่อให้รู้ว่า การที่จะมีวิมานเข้าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ ต้องใจดีจริงๆ แล้วการทำบุญนอกเขตพระพุทธศาสนากับการทำบุญในเขตพระพุทธศาสนามีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน รวมความว่าทำบุญกับพระ กับการทำบุญกับชาวบ้านน่ะ มีอานิสงส์ไม่เหมือนกัน ดูตัวอย่างอังคุละเทพบุตรกับท่านพระอินทร์ก็แล้วกัน

ตานี้ ทำบุญกับพระก็เหมือนกัน ทำบุญกับพระที่มีศีลบริสุทธิ์ก็สู้ทำบุญกับพระที่ได้ฌานสมาบัติไม่ได้ ทำบุญกับพระที่ได้ฌานสมาบัติก็สู้ทำบุญกับท่านที่เป็นอริยสงฆ์ไม่ได้

เอาละ จะพูดมากไป เวลามันเลยไปสักนิดหนึ่งกระมัง เลยหรือไม่เลย? ถ้าเลยก็ขออภัยท่านเจ้าหน้าที่ด้วย สำหรับวันนี้ ก็ขอชวนบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ เดินทางเที่ยววนไปวนมาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สัก ๗ วันนะขอรับ วันพุธหน้าผมจะพาท่านเที่ยวใหม่ สำหรับวันนี้ หมดเวลาแล้ว ต้องขอลาก่อน

ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ติดตามรับฟังทุกท่าน สวัสดี. .

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หนังสือไตรภูมิ

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...