ถ้าหากว่าเรานึกถึงความตายเป็นอารมณ์ จะเป็นคนไม่ประมาท มีกำไรมาก
เพราะอะไร เพราะรู้ว่า "ตายนี่มีสภาพไม่สูญ" ถ้าเรามีบุญวาสนาบารมีมาก อย่างท่าน พระเทวทัต ก็สามารถไปนอนเล่นในอเวจีได้
ถ้าหากว่าอย่างเลวที่สุด เราเจริญ "อานาปานุสสติกรรมฐาน" จนจิตเข้าสู่ "อุปจารสมาธ"ิ เอาแค่ "ขณิกสมาธิ" ได้เล็กๆ น้อยๆ ภาวนาไปบ้าง รู้ลมหายใจเข้าออกไปบ้าง เที่ยวบ้านโน้น เที่ยวบ้านนี้เสียบ้าง จิตมันฟุ้งไปฟุ้งมา พอนึกขึ้นมาได้ก็เริ่มต้นใหม่ ว่าไปนาทีสองนาที มันไปอีกแล้ว อย่างนี้ท่านเรียกว่า "ขณิกสมาธิ" แต่ว่า "ขณิกสมาธิ" นี่ ตายแล้วเป็นเทวดาชั้นกามาวจรไม่ใช่ของต่ำ อย่าประมาทตัวว่าเลวนะ
คือว่าวันหนึ่งเราสามารถทำจิตให้ว่างจากกิเลส คือรู้คำภาวนาอยู่ วันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงชมเชยว่า
"ผู้นั้นเป็นผู้มีจิตไม่ว่างจากฌาน"
อย่าไปคิดว่าเล็กน้อยไม่มีผล มีผลมาก
คนที่มี "มรณานุสสติ" อยู่เสมอ
"นึกถึงความตายเป็นอารมณ์"
นึกถึงความตาย ก็อย่าไปท้อ คิดว่าถ้าเราตายคราวนี้เราจะไปไหน ทางที่เราจะไปได้ คือ
๑. นรก
๒. เปรต
๓. อสุรกาย
๔. สัตว์เดรัจฉาน
๕. มนุษย์
๖. สัมภเวสี
๗. รุกขเทวดา
๘. ภุมเทวดา
๙. อากาศเทวดา
๑๐. พรหม
๑๑. นิพพาน
ถ้าเรานึกถึงความตาย ถ้าเราตายเวลานี้
"ไอ้ความตายเราต้องคิดว่า จะต้องตายเวลานี้อยู่เสมอ"
อย่าไปคิดว่าอีกไม่กี่วันตาย เวลานี้เราอาจจะตายเมื่อไรก็ได้ ถ้าเราคิดอย่างนี้ เราก็ต้องคุมกำลังใจว่าเราจะไปไหน คุมกำลังใจเอาไว้ ถ้าเราอยากจะไปอบายภูมิ ๔ "ศีล ๕" ก็ไม่ต้องไปเคารพมันเก็บไว้สักตัวสองตัวก็ได้ หรือ ๓ ตัว มันก็ดึงลงนรกเองไม่ต้องห่วง
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
______
จาก "ธัมมวิโมกข์" ฉบับที่ ๔๓๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ หน้า ๒๙ - ๓๐ คัดลอกโดย คณะบุญสุประวีณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น