ลูกศิษย์ : หลวงปู่เจ้าคะ อย่างเราเข้ากรรมฐานแล้วหลวงปู่สอนให้เราอดทนต่อเวทนาได้ ในขณะนั้นเราสามารถแยกกายแยกจิตได้ ทีนี้เราก็เข้าใจว่าสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติมานี่ เพื่อที่จะมาใช้ในระหว่างตอนที่จิตเราจะดับ แต่พอเราเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาปรากฏว่าสิ่งที่เราคิดว่าเราแยกกายแยกจิตได้นี่ กลายเป็นว่าพอเจอเวทนาจากการเจ็บป่วยอย่างนี้กลายเป็นว่าเราแยกไม่ได้เลย จิตมันเข้าไปกับการเจ็บป่วยตรงนั้น กลายเป็นว่ากายมาควบคุมจิตเราได้มากกว่า ทำให้คิดว่าสิ่งที่เราคิดว่าเราปฏิบัติได้ ณ ขณะจิตที่เราเข้ากรรมฐาน พอเราไปเจอเหตุการณ์จริงเราไม่ได้เลย ก็เลยกลับมาคิดว่าเราจะปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้ ณ จิตขณะนั้นเราจะทำได้
หลวงปู่ : โยมไปมัวแต่คิดอยู่นี่จ๊ะ เพราะว่าเวทนาที่เกิดขึ้น..เกิดขึ้นจริงในกาย ทำไมโยมไม่เอาเวทนานั้นมาเป็นตัวสติเล่า โยมต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก่อน จิตกับกายต้องเป็นหนึ่งก่อน เมื่อจิตสงบแล้วโยมจะเห็นกาย แต่นี่จิตโยมไม่ได้สงบ เข้าใจมั้ยจ๊ะ จิตโยมนั้นไปอุปาทานกับกาย..คือความกังวลต่อเวทนา เมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้วมันจะไปแยกกันได้อย่างไร..
จริงๆของแบบนี้มันจะไปแยกกันตอนไหน ความละเอียดนั้นเมื่อมันเข้ามาหากันแล้ว ถ้าจิตกับกายของโยมนั้น แม้เวทนาที่เกิดขึ้นก็ดี ก็ขอให้โยมนั้นเอาเวทนานั้นเป็นอารมณ์ ยังไม่ต้องไปแยกอะไรกับมันทั้งนั้น เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นแล..มันเรียกว่าทุกข์ โยมต้องเห็นทุกข์เสียก่อน เมื่อโยมเห็นทุกข์แล้ว รู้ทุกข์แล้ว..แล้วโยมไปละอารมณ์ที่เกิดขึ้น คือไม่ยึดในกายนี้นั่นแล..มันถึงจะแยกกันได้ นั้นอุปาทานแห่งขันธ์ในการทุกข์เวทนานี้เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วไม่มีใครสามารถจะระงับเวทนาได้ถ้าไม่ได้ฝึกมาอย่างยิ่งยวด เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นการที่ฝึกกรรมฐานไม่ได้บอกว่าอยู่ในกรรมฐานแล้วอยู่ในฌานแล้วโยมข่มอารมณ์ได้ แต่เมื่อโยมออกจากฌานออกจากกรรมฐาน ออกจากการเจริญภาวนาสมาธิแล้ว อารมณ์ที่มากระทบในความไม่พอใจที่โยมได้ยินได้ฟังได้สดับในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในอายตนะเหล่านี้..แล้วโยมยังข่ม ยังแยกมันไม่ได้ ยังละมันไม่ได้ สิ่งเหล่านี้แลเค้าเรียกว่าอินทรีย์เรายังไม่แข็ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ หรือเรียกว่า"ยังไม่เท่าทัน"
เมื่อยังไม่เท่าทันจะไปแยกทันได้ยังไงจ๊ะ ว่าไอ้ทุกข์นั้นที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นมาก่อน โยมไม่ได้เอาสตินำหน้านี่จ๊ะ โยมไปเอาเวทนาความรู้สึกไปเกิดขึ้นก่อน ความรู้สึกเค้าเรียกอุปาทานแห่งขันธ์เกิดแล้ว เมื่ออุปาทานแห่งขันธ์เกิดแล้วทุกข์มันก็บังเกิดแล้วตอนนี้ จะเอาความสงบไปเอาที่ไหน เมื่อไม่สงบสติมันจะไปตั้งมั่นจะไปแยกอะไรได้ มันจะเป็นอุปาทาน
ดังนั้นแล้วขอให้โยมรู้ว่าไม่ว่าทุกข์ในเวทนา ถ้าเราปวดเราเจ็บอะไร พระพุทธองค์ไม่ได้ให้หนีมัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะมันอยู่ในกายนี้มันคือความเป็นจริง ก็เอาเวทนานั้นเป็นทุกข์เอามาพิจารณาเอามาดู..ว่ากายเรานี้มีความเสื่อมมีความเจ็บมันเป็นอย่างนี้ เราต้องมีถึงที่สุดแห่งความตาย อย่างนี้เมื่อพิจารณาเป็นกรรมฐาน
เมื่อโยมพิจารณาเป็นกรรมฐานอารมณ์มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่นั่นแล..ความปลงสละสังเวชจะบังเกิดขึ้น..นี่มันถึงจะแยกกันตรงนี้ มันแยกกันตรงด้วย"ปัญญา" มันแยกอย่างอื่นไม่ได้ มันต้องแยกเกิดจากปัญญา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าอย่างอื่นแยกไม่ได้เลย ถ้าโยมยังไม่มีอารมณ์แห่งการสละความปลงมันจะแยกได้อย่างไร มันก็ละไม่ได้วางไม่ได้ มันก็ยึดในขันธ์อยู่
นี่เค้าเรียกว่าขณะจิตที่จิตมันจะออกไป..มันยังยื้อกันอยู่อย่างนั้น เพราะมันไม่อยากตาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ พอมันยื้อมากๆเข้าเวทนามันก็มีมาก เค้าเรียกว่าตายแบบทรมาน แต่พอเราพิจารณาปลงสังขาร อ้อ..ร่างกายสังขารนี้มันเป็นธรรมดา เมื่อถึงที่สุดของมันแล้วมันก็ต้องแตกต้องสลาย ต้องพลัดพราก เป็นของธรรมดา เหมือนที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั้งหลายทั้งปวงเค้าได้เห็นแล้วอย่างนี้ เพราะว่ากายสังขารนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงว่าของสมมุติที่เราได้อาศัย เมื่อถึงเวลาแล้วต้องละ ต้องจาก ต้องวาง
เมื่อเป็นอย่างนี้เราพิจารณาได้อย่างนี้แล..อารมณ์กรรมฐานมันเกิดขึ้น..นี่แลฉันถึงบอกว่าเมื่อโยมระลึกถึงกรรมฐาน..มันต้องเกิดแบบนี้ แล้วเมื่อมันเกิดแบบนี้แล้ว อารมณ์แห่งความสละสลดสังเวชนี้ที่เราจะไม่ละจากกายนี้ ไม่ยึดมัน มันจะหลุดออกตรงนี้ทันที เวทนาจะดับทันที เกิดนิโรธในขณะนั้น เมื่อนิโรธเกิดขึ้น ฌานมันเกิดไปข่มอารมณ์นั้นอยู่ จิตโยมจะเกษมเบิกบาน แล้วโยมจะระลึกถึงบุญกุศลทีนี้..หลุดจากตรงนั้นทันที เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่มันถึงจะแยกกันตรงนี้ได้ ถ้าไม่งั้นแล้วมันจะแยกไม่ได้เลย เพราะเวทนามันยิ่งรุมรัด..สติโยมจะตั้งมั่นไม่ได้ เมื่อสติไม่ตั้งมั่น จิตมันก็ฟุ้งซ่านทีนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ภาวนาก็เอาไม่อยู่..
นั้นโยมอย่าไปหนีอะไร ฉันถึงบอกว่าถ้าเวทนามันเกิดขึ้นให้โยมดูเวทนาเป็นอารมณ์ไปเลย ในขณะที่โยมดูเวทนาเป็นอารมณ์ ในขณะนั้นโยมเจริญขันติธรรมอยู่ ในขณะที่โยมเพ่งอยู่แต่ในเวทนานั้นเค้าเรียกว่าการตรึกตรองในธรรมอยู่ เรียกว่าทรงฌานอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
อย่างนั้นแล้วถ้าโยมจะไปแยก..อย่าไปแยก..แยกไม่ได้ ถ้าจะแยกได้โยมต้องเข้าถึงกรรมฐานก่อน กรรมฐานคืออะไร ระลึกถึงการอะไรที่โยมต้องไปละไปปลงไปสละ..คือไม่ยึดนั่นเอง ถ้ายึดเวทนาก็มีมาก แล้วโยมจะดิ้นรนกวัดแกว่ง จิตมันจะดิ้นรนกวัดแกว่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ บทการปลงกรรมฐานบุญกุศลโยมจะลืมไปทั้งหมดทีนี้ เพราะอะไร..วิบากกรรมมันเข้ามาแทรก เค้าเรียกว่าวิบากกรรมมันมีมากกว่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นขณะตอนที่โยมเจริญกรรมฐานแล้วเมื่อโยมออกไป กรรมฐานโยมต้องฝึกในขณะที่โยมไม่ต้องเข้ากรรมฐาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ฝึกอย่างไร ต้องฝึกทดสอบว่าเมื่อมีใครมาพูดมากล่าวร้ายมาว่าเรา..จิตเรานั้นเศร้าหมองหดหู่เป็นอย่างไร เรายังเป็นปรกติดีอยู่หรือไม่ ถ้ามันผิดปรกติเมื่อมีใครกล่าวว่า มีโทสะ โมหะ โลภะ ตัวตัวตนมันเกิดขึ้นอีกแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ
แต่ถ้าเราโดนว่าโดนกล่าวโดนตำหนิแม้จะผิดไม่ผิดจริงอะไรก็ตาม แต่เรามีเมตตาให้อภัยเค้า เข้าใจมั้ยจ๊ะ วางอุเบกขาเสียได้ ไม่ติดใจเอาโทษอะไร ไม่โกรธเคือง แผ่เมตตาให้เค้าอย่างนี้ นี่เค้าเรียกว่าโยมมีกรรมฐาน เพราะกรรมฐานนำพาไปสู่เมตตาที่ยิ่งใหญ่..คือให้อภัยคนทั้งโลก นี่เรียกว่ากรรมฐาน พระที่อยู่ในป่าเสือก็กินไม่ได้เพราะเมตตา ไม่มีความอาฆาตพยาบาทใคร เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้จะมีไฟอะไรก็ไม่สามารถเผาผลาญบุคคลผู้นั้นได้ เพราะเค้าไม่มีอารมณ์ไฟโทสะแล้ว
นั้นโยมยังมีจิตที่ยังเศร้าหมองอยู่ นั้นต้องฝึก ไม่ใช่มาแค่นั่งข่มในฌาน ในฌานมันเป็นธรรมดาโยมข่มได้ แต่ไอ้ที่โยมที่ทับมันอยู่โยมยังไม่ได้ถอดถอนหรือละมันออกไป พอมันได้เชื้อได้อะไรอีก มีอะไรมากระทบอีก ผัสสะมากระทบอีก มันก็เกิดขึ้นอีก เผลอๆมากกว่าตอนที่นั่งอีก ใช่มั้ยจ๊ะ..
ที่มา
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น