19 สิงหาคม 2563

คนที่เข้าถึงกระแสพระโสดาบัน

คนที่เข้าถึงกระแสพระโสดาบันได้..จิตจะเป็นอย่างไร อาการของจิตนั้นจะหาความเศร้าหมองก็ได้ยาก จะหมดห่วงในทางโลกนั่นเอง เห็นว่าทุกสรรพสิ่งทุกดวงจิตก็ดีที่เกิดมาแล้ว..ล้วนมีวิบากกรรมเป็นของของตน

หากเราอนุเคราะห์แล้วช่วยเหลือแล้วเท่าที่เราทำได้แล้วนั่นแล..ก็ควรจะปล่อยวาง แม้ว่ามีการพลัดพรากอย่างนี้ ไม่มีเราเค้าก็ต้องพลัดพราก แม้เรายังอยู่เค้าก็ต้องตายอยู่ดี นั้นกระแสของพระโสดาบันคือจะปล่อยวาง ตัดกังวล มีความเชื่อศรัทธาในทางเดินแห่งมรรค 

นั้นในขณะนี้เรียกว่าเราเดินโสดาปัตติมรรค ก็เรียกว่าเรายังเดินอยู่ ประพฤติอยู่ กระทำอยู่ ระลึกอยู่ก็ดี ผลมันเกิดบ้างไม่เกิดบ้าง รู้รสบ้างไม่รู้รสบ้าง ถ้าเราสิ้นสงสัยแล้วนั่นแลเค้าเรียกว่าเราเข้าถึงรสแล้ว 

คนที่เข้าถึงรสแล้วจะไม่ถาม จะไม่ข้องไม่สงสัยในพระพุทธ ในพระธรรม พระสงฆ์ แล้วจะไม่กล้าทำความชั่วอีกต่อไปนั่นเอง เมื่อมันเป็นอย่างนี้แม้ความคิดก็ดี เมื่อมันเกิดในอกุศลจิตเกิดขึ้น ก็จะกำหนดรู้และดับมันลงด้วยการวางเฉย แล้วแผ่เมตตาและให้อภัยอย่างนี้..

นั้นความกลัวความชั่วแห่งความคิดก็ดีในอกุศล มันเป็นของธรรมดาถ้ายังมีกายสังขารอยู่ ถ้าเรายังไม่ได้บรรลุธรรมขั้นสูง เราเป็นแค่กระแส..คำว่ากระแสนี้ เค้าเรียกว่าเป็นการเพิ่งรับเข้าถึง..แต่ยังไม่เต็มขั้นเต็มภูมิในธรรม

ถ้าเต็มภูมิเต็มธรรมแล้วเป็นอย่างไร เราจะหันหลังให้โลกแต่ไม่ได้หนีโลก การหันหลังให้โลกเป็นอย่างไร คือไม่สนใจโลก ไม่ยึดโลกแต่ไม่ได้หนีโลก ยังอยู่กับโลก คือเรียกเป็นผู้เท่าทันโลก เมื่อเป็นผู้เท่าทันโลกแล้วก็เป็นผู้ไม่ติดโรค เมื่อไม่เผู้ไม่ติดโรคแล้วก็ไม่ต้องรักษา อย่างนี้ก็แค่รักษาอยู่ที่แค่กาย วาจา ใจ คือรักษาใจอย่างเดียว

อันว่ากายนั้นไม่ต้องรักษาแล้ว เพราะกายมันน้อมไปแต่ความเสื่อม ดังนั้นขอให้โยมเข้าใจในทางเดินของพระโสดาบันเป็นอย่างไร เมื่อจิตเรายังข้องเกี่ยวในผู้เป็นที่ระหว่างเพศ หรือยังมีความพอใจมักชอบอยู่ จะเป็นสตรีหรือบุรุษก็ดี นั่นก็เรียกว่าเรายังกำลังเดินอยู่ประพฤติอยู่..ยังไม่ได้เข้าถึง ยังไม่ได้เกิดผลของกระแสพระโสดาบัน มันจึงเป็นธรรมดาที่เรายังมีความชอบ ความพอใจ ความหลง เค้าเรียกว่าอินทรีย์เรายังมีความอ่อนอยู่บ้าง

แต่เมื่อเราปฏิบัติเข้าถึงทุกข์แล้วในคู่แล้วก็ดี เห็นชัดได้ว่าที่ใดมีรักนั้น..ที่นั่นย่อมมีทุกข์เป็นของธรรมดา อันว่าของธรรมดาถ้ามนุษย์ทั้งหลายยอมรับมันได้ นั่นแลเค้าเรียกว่าความชินของธรรมชาติ ถ้ายอมรับไม่ได้ก็ย่อมต้องแสวงหาอีกต่อไปเป็นของธรรมดาเช่นเดียวกัน 

แต่ถ้าว่ายอมรับตามความเป็นจริงของธรรมชาติ..ผู้นั้นจะเห็นทุกข์เห็นธรรม แล้วจะวางอารมณ์นั้นได้ เมื่อวางมันได้อยู่บ่อยๆเค้าเรียกว่าเป็นผู้ที่ดับที่ใจ เป็นผู้เจริญนิโรธไปในตัว 

ดังนั้นเมื่อบุคคลผู้นี้เมื่อประพฤติปฏิบัติธรรมก็เอาวาระแห่งกรรมนั้นที่เคยประสบมา..มาพิจารณา มาหนุนนำให้เกิดภาวะแห่งธรรมนั้นให้เข้าถึงกระแส เมื่อเป็นอย่างนี้ผู้นั้นเค้าเรียกว่าเป็นเนื้อนาบุญของศาสนาอย่างหนึ่ง

นั้นบุคคลไม่ว่าใครเป็นบุรุษหรือสตรีก็ดี เมื่อพวกโยมเกิดขึ้นมาแล้วก็ขอให้โยมมีความจริงจัง หนักแน่นในการประพฤติปฏิบัติ กรรมฐานนี้เป็นวิชชาเป็นสิ่งลี้ลับที่เราต้องค้นหาด้วยจิตในกายของตน แสดงว่าเมื่อเรามีกรรมฐานแล้วก็เท่ากับมีวิชชา ผู้ใดมีกรรมฐาน..แม้ผู้นั้นจะมีทุกข์มีภัยเพียงใด ผู้นั้นจะเห็นทางออกอยู่เสมอ นั่นเค้าเรียกว่ามีสติอยู่ตลอด

เมื่อครั้นเกิดภัยเกิดทุกข์ขึ้นมา ไม่ว่าโยมจะอยู่เรือนอยู่ที่ใดก็ตาม ก็สามารถประพฤติปฏิบัติอบรมบ่มจิตได้ในทาน ศีล ภาวนา แม้ไม่มีหิ้งพระบูชาองค์พระปฏิมากร เมื่อจิตเมื่อใจเราเข้าถึงความสงบ เข้าถึงพุทโธเป็นผู้รู้แล้วในขณะนี้ เราจะทำอะไรจิตเราตื่นแล้วในอกุศล ในอวิชชาทั้งหลาย จิตเราเป็นผู้เบิกบานแจ่มใส มีความพอใจมีปิติและสุขในการเจริญภาวนาแล้ว นั้นเรียกว่าเรานั้นอยู่ต่อหน้าพระพักตร์องค์พระปฏิมากร เท่ากับว่าเราจะได้อยู่ในโบสถ์ในวิหาร อยู่ในเขตพุทธาวาสอย่างนี้ เป็นเขตอภัยทาน จิตนั้นย่อมไม่มีความอาฆาตพยาบาท ก็เรียกว่าศีลก็บังเกิด..

ศีลบังเกิดอย่างนี้ในขณะนั้นเมื่อจิตเราจะแผ่เมตตาแผ่กุศลให้กับดวงจิตวิญญาณเหล่าใดก็ดี กระแสแห่งบุญนี้ย่อมมาถึงในดวงจิตในดวงวิญญาณนั้นได้ ได้เต็มกำลังเต็มภูมิของมัน ดังนั้นนักปฏิบัติก็ควรเจริญเมตตาอยู่บ่อยๆ 

มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...