30 สิงหาคม 2563

จิตทรงฌาน

     คำว่าจิตทรงฌานไม่ใช่ว่าไปนั่งสมาธิทั้งวัน ไอ้นั่นน่ะมันบ้าแล้ว​ ถ้านั่งสมาธิ​ทั้งวันนี่เป็นโรคประสาท เป็นบ้าแน่ #คำว่าสมาธิเขาแปลว่าตั้งใจ #ต้องทำกำลังใจเบาๆ อันดับแรกที่สุดเราจะทำงานทำการต้องทำทุกอย่าง งานอะไรมีขึ้นต้องทำไม่ใช่ทำสมาธิแล้ว ฉันไม่ทำงาน อันนี้ตกนรกแน่ ไม่ช้าความปรารถนาไม่สมหวังเกิดขึ้น ในเมื่อความปรารถนาเกิดขึ้นอารมณ์มันก็ฟุ้งซ่านมีความเดือดร้อน​ เกิดการเดือดร้อนขึ้นมา จิตใจก็เดือดร้อน ลงนรกไปเลย #อย่านึกว่ามีฌานเป็นของดี #ฌานน่ะดีแน่ #แต่ทำให้มันถูก

     คำว่า #ผู้ทรงฌาน แปลว่า #ผู้มีจิตใจปกติ #จะไม่ตกเป็นทาสของนิวรณ์​ อำนาจของนิวรณ์อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามจะไม่ให้มีอำนาจเหนือจิตใจ ยามว่างถ้าเรายังไม่เป็นอรหันต์ ย่อมมีนิวรณ์เข้ากินใจเป็นธรรมดา แต่ถ้าเวลาต้องการฌานเมื่อใด​ นิวรณ์จะต้องกระเด็นออกทันที ถ้ากระเด็นบ่อยๆ ไม่ช้ามันไม่เข้ามายุ่งกับใจ เราทำงานทำการทุกอย่างใจไม่ตกเป็นทาสของนิวรณ์

     อย่าถือว่าทำฌานสมาบัติแล้ว ทำโน่นทำนี่ไม่ได้ ไอ้นั้นล่ะตัวนรกละ ไม่ช้ามานะมันจะเกิด และจะกินที่ไหนล่ะ ไม่ทำตายโหงตายห่าล่ะ มันก็ต้องทำ ทำแล้วจิตใจไม่ตกอยู่ในอำนาจของนิวรณ์เท่านั้น พระอรหันต์ท่านนั่งนิ่งที่ไหนพระพุทธเจ้าท่านไม่นั่งนิ่ง

#ถ้าเราระงับนิวรณ์ได้ #จิตเป็นฌานที่ ๑
#จิตทรงปีติ #ถ้าจิตทรงปีติมันเป็นฌานที่ ๒
#จิตตัดปีติออกเหลือแต่สุข #จิตเป็นฌานที่​ ๓
#จิตตัดสุขออกเหลือแต่เอกัคคต  #อุเบกขาเป็นฌานที่​ ๔

     #ทีนี้เวลาทรงฌานไม่ใช่มานั่งสมาธิ​ทั้ง​วัน​ ทำงานอยู่คุยอยู่กับเพื่อน​ อ่านหนังสือ​อยู่​ ฟังเทป​ ฟังเทศน์​ ดายหญ้าวัด​ ทำงานทุกอย่าง​ หุงข้าวหุงปลา​ ผ่าฟืน​ ดายหญ้า​ จิตสบายใจไม่มีอารมณ์​เป็นอกุศล​ #อย่างนี้เรียกว่าจิตทรงฌาน​ การที่จะรู้ว่าจิตทรงฌาน เราจะรู้กันจริงๆ มันยาก และวิธีวัดนี่ง่าย การที่จะรู้ว่าฌานเราทรงตัวไม่ทรงตัวอาศัย ๑ ในวิชชาสาม หรือว่า​ ๒ ในวิชชาสาม นั่นคือ​ #ทิพจักขุญาณ หรือ​#ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

  #บุพเพนิวาสานุสสติญาณ #ระลึกชาติได้
 #ทิพจักขุญาณอย่างเข้ม #สามารถรู้เห็นพรหมเทวดาได้อย่างนี้จุดหนึ่ง

    กำลัง #มโนมยิทธิ ที่เราฝึกได้ เราทำได้ เวลาดายหญ้าเวลาขุดดิน เวลาผ่าฟืน เวลาตักน้ำ หุงข้าว ใช้มันเวลานั้นแหละ ลองใช้เวลานั้น เวลาที่กำลังนั่งหุงข้าวอยู่ในครัว เวลาทำอยู่เราก็ใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ นึกปั๊บ..ไอ้งานประเภทที่เราทำอย่างนี้เราทำมาแล้วกี่ชาติ ชาติก่อนๆ เราเคยทำไหม ก็ดูภาพ ภาพมันจะปรากฏทันที อันนี้เรียกว่าเราชนะนิวรณ์ ต้องทำอย่างนี้

    ถ้าไปเจอะหมาขี้เรื้อน ก็นึกว่า ไอ้ภาพอย่างนี้เราเคยเป็นไหม ขอดูภาพ ภาพจะปรากฎทันที โดยไม่ต้องไปใช้กำลังสมาธิให้เสียเวลาแม้แต่ ๑ วินาที มันจะปรากฏกับใจ​ แหม...หลายชาติ ชาติละหลายตัว เราเคยเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนมาหลายชาติ เราคุยไปคุยมา นั่งดายหญ้านั่งผ่าฟืน นึกถึงเทวดา เทวดาท่านมีความสุข ก็นึก​ เอ..เราเคยเป็นเทวดา​ มันจะปรากฏทั้งตัวเราเองและวิมานในสมัยที่เป็นเทวดา

     นี่เขาต้องทำอย่างนี้ อย่างนี้ถือว่าถึง
#สังฆัง #สรณังคัจฉามิ นี่อย่างย่อนะ คือการปฏิบัติ #มโนมยิทธิ ต้องทำแบบนี้ ถ้ายังต้องเข้าสมาธิ เครียด ยังใช้ไม่ได้​ เวลาจะตายมันไม่ทันเวลาของนรก เวลาจะตายจริงๆ ไปนั่งขัดสมาธิได้ยังไง มันป่วยไข้ไม่สบาย ต้องใช้กำลังใจเป็นปกติญาณต่างๆ ต้องใช้ให้คล่องคือ ใช้ทุกวันถ้าเราทิ้งไม่ใช้เพียงแค่ ๒ - ๓ วันมันก็มีอารมณ์เฝือ

                     (สองจิต)​

     “หลวงพ่อเจ้าคะ ขณะที่ทำงานอยู่คล้ายๆ ใจมี ๒ จิต​ คือใจหนึ่งก็ทำงาน ใจหนึ่งก็ทำสมาธิพร้อมกัน อย่างนี้จะเรียกว่าขาดสติหรือเปล่าเจ้าคะ”

       อย่างนั้นสติมันสมบูรณ์ เพราะว่าทำงานด้วย จิตก็มีอารมณ์เป็นสมาธิด้วย คือว่าอยากทำสมาธิแล้วทิ้งงานทิ้งหน้าที่ใช้ไม่ได้นะ ให้มีความเข้าใจเสียใหม่ว่า​การทำงานด้วยความระวังด้วยความตั้งใจจริงเฉพาะงานนั้น เป็นการฝึกสมาธิไปในตัว​ แต่ว่าอารมณ์​ของผู้ถามอาจจะเป็นกุศล​ว่าเวลานี้เราทำสมาธิ​ ทำงานแล้วอยากทำจิตให้สงบใช่ไหม​ พอจะทำจิตให้สงบก็เบื่องาน​ อย่าเบื่อนะ

      พระพุทธเจ้าท่านทรงแนะนำ
▪️อะนากุลา​ จะ​ กัมมันตา​ เอตัมมังคะละมุตตะมัง

     การงานดีไม่เลอะเทอะ​ ไม่เกลื่อนกล่น​ คือไม่เสีย  จัดว่าเป็นอุดมมงคล​ การงานที่เราจำเป็นจะต้องทำ​ มันต้องกิน ต้องใช้เวลา ต้องอาศัยงาน​ ต้องพยายาม​ตั้งใจให้ดี​ เวลาที่จิตอยากจะฝึกสมาธิ​ ว่างานที่เราทำหนังสือ​ควรจะเขียนแบบไหน​ ก็ทำให้มันถูกต้องด้วยความตั้งใจ​ นั่นแหละเป็นการฝึกสมาธิ​ไปในตัว​ อารมณ์​นั้นเวลากลับบ้านจิตจะเป็นสมาธิ​ ดีมาก..

🙏🙏พระธรรม​คำสอน​หลวงพ่อ​พระราช​พรหมยาน​ วัดจันทาราม​ (ท่าซุง)
ต.น้ำซึม​ อ.เมือง​ จ.อุทัยธานี
🖊️📖หนังสือ​ ธรรมปฏิบัติ​ ๓๙​ หน้าที่​ ๕๕~๕๙

🖊️นภา​ อิน​ 🙏🙏

: การเทียบบารมี :โดยพระราชพรหมยาน

: การเทียบบารมี :
โดยพระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
การเทียบบารมี บารมีเขาจัดเป็น ๓ ชั้น 

๑.บารมีต้น ท่านเรียก บารมีเฉยๆ
       
๒.บารมีตอนกลางท่านเรียกอุปบารมี

๓.บารมีสูงสุดท่านเรียก ปรมัตถบารมี

   
.....ถ้าคนที่มีบารมีต้นในขั้นเต็ม ท่านผู้นี่จะเก่งเฉพาะ ทาน กับ ศีล เขาจะทำสะดวกเฉพาะ การให้ทานกับการรักษาศีล แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล ๘ อย่างเก่งก็มีกันแค่ศีล ๕ ท่านผู้นี้จะไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐาน 

.....ถ้าชวนในการเจริญสมาธิทำกรรมฐาน ท่านบอกทำไม่ได้ กำลังใจไม่พอ หรือจะพูดให้ดีอีกนิดท่านบอกว่าไม่ว่างพอ 
เวลาไม่มี นี่สำหรับคนที่มีบุญบารมีขั้นต้นจะอยู่กันแค่นี้

     
.....ถ้ามีบารมีเป็นอุปบารมี เขาเรียกว่าบารมีขั้นกลาง อุปบารมีนี่พร้อมที่จะทรงฌานโลกีย์ บารมีนี้พร้อมเรื่องฌานโลกีย์นี่ทรงได้แน่ ท่านพวกนี้จะพอใจในการเจริญพระกรรมฐานแล้วก็พอใจในการทรงฌาน   แต่ว่าถ้าจะชวนในขั้นบุกบั่นในวิปัสสนาญาณ ท่านบอกว่าไม่ไหว 

.....โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิ วิปัสสนาญาณ อาจจะมีบ้างแต่ก็ไม่เข้มแข็งนัก เพราะว่าสมถะกับวิปัสสนานี่แยกกันไม่ได้ ต้องอยู่คู่กัน แต่กำลังด้านวิปัสสนาญาณจะต่ำ  จะเข้มแข็งเฉพาะ
สมถภาวนา  แล้วท่านพวกนี้ถึงแม้จะพอใจในการเจริญกรรมฐาน ถ้าเราบอกว่าหวังนิพพานกันเถอะ   ท่านพวกนี้บอกว่าไม่ไหว กำลังใจไม่พอ จะชวนไปนิพพานขนาดไหนก็ตาม เขาไม่พร้อมจะไป และก็ไม่พร้อมจะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ อันนี้เป็นอุปบารมีนะ

.....ถ้าเป็นปรมัตถบารมี เราจะเห็นว่าอันดับแรกอาจจะยังไม่มีความเข้าใจเรื่องนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อยพอสมควร อาศัยบารมีเก่าเพิ่มพูนขึ้นมา  ก็มีความต้องการเรื่องพระนิพพาน พวกที่มีจิตหวังนิพพานนี่จะไปชาตินี้ได้หรือไม่ได้ 
ไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานกันจริงๆต้องหวังกันหลายชาติจนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ คือต้องหวังหลายๆชาติ ถ้าจิตหวังพระนิพพานจริงๆพวกนี้มีหวัง ที่เรียกว่ามีบารมีเป็นปรมัตถบารมี

.....ฉะนั้นคนที่จะมีบารมีเข้าถึงปรมัตถบารมีก็ดี อุปบารมีก็ดี ท่านพวกนี้จะต้องผ่านความเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมกันมามาก เพราะว่าบารมีขั้นต้นก็สามารถเป็นเทวดาเป็นนางฟ้าได้ แต่เป็นพรหมไม่ได้ เพราะบารมีขั้นต้นนี่จะไม่มีฌานโลกีย์ พรหมนี่จะทำบุญแบบไหนก็ตาม ถ้าไม่มีฌานโลกีย์ จะไม่สามารถเป็นพรหมได้   สำหรับอุปบารมีนี่เขาพร้อมในการทรงฌาน  แต่เวลาตายไม่ได้เข้าฌานตาย ก็ไปเป็นพรหมไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเวลาจะตายเข้าฌานตายก็ไปเป็นพรหมได้ เขาพร้อมแล้ว

   
.....สำหรับท่านที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี บางทีจะเห็นว่าเรายังบกพร่องในความดีอยู่มาก ศีลก็บกพร่อง สมาธิก็ไม่ทรงตัว ปัญญาก็ไม่แน่นอนนัก ไอ้อย่างนี้มันก็ไม่แน่นอน เพราะคนที่จะไปนิพพานจริงๆ  มันอยู่แค่หัวเลี้ยวหัวต่อ  อาศัยความเคยชิน อาศัยการฝึกไปบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง ทำผิดบ้าง ทำถูกบ้าง 

.....แต่ว่าอารมณ์ชินของอารมณ์ดีอยู่อย่างหนึ่ง นั้นคือไม่ต้องการเกิด มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่าการเกิดขึ้นมามันเต็มไปด้วยความทุกข์   ความเกิดอย่างนี้จะไม่มีกับเราอีก  เราจะมีความเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย วันหนึ่งถ้าคิดอย่างนี้สัก ๒ นาที คิดทุกวัน อารมณ์นี้มันจะชิน ความว่าชินคือฌานฌานก็คือชิน

       
.....ในเมื่ออารมณ์ความคิดจนชินเกิดขึ้น แต่มันก็ไม่มากนัก เห็นทุกข์วันละ ๒-๓ นาที  นอกจากนั้นก็เผลอเห็นสุข  หรือเมื่อมีการงานเข้ามาคั่น เขาไม่ได้นึกถึงตัวทุกข์ ก็จะหาว่าเขาเลวไม่ได้ 
ต่อเมื่อเวลาที่ใกล้จะตายขึ้นมาจริงๆ มันป่วยไข้ไม่สบาย การป่วยไข้ไม่สบายมันบังคับจิตให้เห็นว่าร่างการมันเป็นทุกข์ ว่าคนป่วยไม่มีส่วนไหนของร่างการเป็นสุข แม้แต่ลมก็มีการขัดข้องอยู่เสมอ 

.....ก็เห็นว่าการเกิดมันไม่ดีแบบนี้  ร่างกายก็ป่วย  อารมณ์ก็ขัดข้อง อาศัยที่จิตคิดจนชินว่า ร่างกายเกิดเป็นของไม่ดี เป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการมัน อารมณ์นี้ก็จะเกิด ถ้าเป็นฆราวาสอารมณ์นี้จะหนักแน่นในวันนั้นแล้วก็ตายวันนั้น มันอาจจะมาตอนก่อนๆ มันอาจจะอ่อนไปหน่อย

.....ถ้าจิตคิดจริงๆ ว่าการเกิดเป็นของไม่ดี    มันเป็นทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้องการมันอีก  จิตวางเฉย เข้าขั้น สังขารุเปกขาญาณ เป็นวิปัสสนาญาณตัวสุดท้าย   สังขารุเปกขาญาณนี่ญาติโยมฟังแล้วเข้าใจด้วยนะ สังขารุเปกขาญาณ หมายความว่าวางเฉยในร่างกาย ร่างกายคนอื่นไม่สำคัญ สำคัญร่างกายเรา 

.....เรามีความรู้สึกว่าร่างกายเรานี่มันไม่ดีจริงๆ เวลานี้เราปวดที่โน่นบ้าง เสียดที่นี่บ้าง ขัดที่โน่นบ้าง ยอกที่นี่บ้าง มันมีความหิวโหยบ้าง หมดแรงบ้าง จิตใจเพลียไปบ้าง   สรุปแล้วร่างกายทั้งร่างกายไม่มีอะไรดี 

.....ถ้าความรู้สึกว่าร่างกายไม่ดีเกิดขึ้นในวันนั้น แล้วความจริงใจก็เกิดขึ้นว่า  เราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก  จิตก็จะเข้าถึงการวางเฉย ไม่ต้องการอีก มันจะตายก็เชิญตาย   เราจะเชิญมันตายหรือไม่เชิญมันตายมันก็ตาย ใช่ไหม  ในเมื่อมันจะตายแต่เราไม่หนักใจในความตาย เราถือว่ามันตายเมื่อไร  เราก็ไปนิพพานเมื่อนั้น 

.....แต่ว่าเวลานั้นจะนึกถึงหรือไม่นึกถึงนิพพานก็ไม่สำคัญ ถ้านึกว่าเราไม่ต้องการร่างกายอย่างนี้อีก  อารมณ์พระอรหันต์มีแค่นี้นะ วันนั้นท่านจะเป็นพระอรหันต์  จิตใจจะวางเฉยในร่างกายเห็นร่างกายของเรา  เราก็เฉย ไม่ต้องการมันอีก เห็นร่างกายคนอื่นเราก็เฉย อย่างนี้เขาเรียก สังขารุเปกขาญาณ   ถ้าตายเมื่อไรก็ไปนิพพานทันที นี่ว่าถึงพวกปรมัตถบารมีนะ

จาก...หนังสือ บารมี ๑๐ 
หน้า ๑๐๓-๑๐๗ 
โดยพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี)

การยกมิติผ่านแสงสี

สภาแห่งแสง Pleiadian-Sirian-Arcturian:
 “ พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว

 พวกเรารักคุณ.

 เราคือคุณจากอนาคตของคุณเพื่อช่วยเหลือคุณในเส้นทางของคุณ

 เรียนทุกคนกระบวนการเปลี่ยนแปลงโลกของคุณมีผลบังคับใช้อย่างเต็มที่และหลายคนกำลังประสบกับสิ่งต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้น

 ส่วนใหญ่เป็นเศษกรรมที่พร้อมจะออก

 นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่คุณจะต้องล้างซากของอดีตที่ไม่รับใช้คุณอีกต่อไป

 เพียงใช้ Violet Ray / Flame เพื่อถ่ายทอดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและปล่อยให้ Ray of Light นี้ท่วมประสบการณ์ในอดีตที่เกี่ยวข้องกับมัน

 ลองนึกภาพว่ามันท่วมทั้งสิ่งมีชีวิตของคุณโลกปัจจุบันอดีตคู่ขนานและความเป็นจริงในอนาคต

 ในขณะที่คุณสังเกตว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นให้พยายามคำนึงถึงภาพรวม

 คุณอยู่ในจุดสิ้นสุดของวงจรเก่าของโลก

 ในไม่ช้าคุณจะเป็นอิสระจากมิติที่ต่ำกว่าและคุณจะได้ย้ายไปสู่มิติที่สูงขึ้นตราบใดที่คุณเต็มใจที่จะละทิ้งสิ่งเก่า ๆ

 ซึ่งรวมถึงการยึดมั่นในวิถีชีวิตเดิม ๆ ที่คุณใช้ชีวิตและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและโลกของคุณ

 ถอนความสนใจจากสิ่งที่รู้สึกน้อยกว่าความรักและความสามัคคี

 มุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่รู้สึกถึงความรักความสามัคคีและความเป็นอยู่ที่ดี

 โฟกัสนี้จะช่วยให้คุณทิ้งโลกเก่าไว้เบื้องหลังและก้าวเข้าสู่อิสรภาพของคุณ

 คุณมีอิสระที่จะทิ้งโลกเก่าไว้เบื้องหลังและคุณมีอิสระที่จะก้าวเข้าสู่โลกใหม่อันศักดิ์สิทธิ์

 สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าความจริงเพียงอย่างเดียวที่สำคัญคือความสอดคล้องของคุณกับ Source สิ่งที่เราเรียกว่า The ONE

 นี่คือเส้นทางสู่อิสรภาพของคุณ

 ถอนพลังงานของคุณออกจากสถานการณ์ที่ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบของพระเจ้า (ความรัก) และนำพลังทั้งหมดของคุณไปสู่การปรับตัวกับแหล่งที่มา

 ความตั้งใจของคุณในการทำเช่นนั้นจะทำให้ความคิดความรู้สึกและการกระทำกลายเป็นจริงและแสดงออกถึงแหล่งที่มา - เป็นแหล่งที่มา

 ยึดมั่นกับศูนย์กลางภายในของคุณซึ่งเป็นแหล่งที่มา

 ลองจินตนาการว่านี่เป็นเสาแสงสีทองภายในตัวคุณที่ขึ้นไปยังดวงอาทิตย์กลางดวงใหญ่

 ลองนึกภาพใจกลางของคุณเป็นดวงอาทิตย์สีทอง

 ให้แสงสีทองนี้ขยายสู่โลกของคุณ

 โฟกัสนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้บ่อยเท่าที่จะทำได้
 เราถือวิสัยทัศน์ของโลกใหม่กับคุณและจากของเรา
 จุดชมวิวมันรุ่งโรจน์

 เราอยู่กับคุณทุกย่างก้าว

 คุณเป็นที่รักเกินกว่าจะวัดได้

 เราอยู่กับคุณ ... เสมอ  พวกเรารักคุณ.

 เราคือคุณ.  นมัสเต”

 ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

 ขอบคุณ Pleiadian-Sirian-Arcturian Council of Light!

 อาซาร่า ~ อดัมส์
 ผู้ก่อตั้ง The Telos Channel
 Trance-channel สำหรับ
 อดามาแห่งเทลอส
 เทวทูตไมเคิลและ
 สภาแห่งแสงสว่าง Pleiadian-Sirian-Arcturian

 http://www.teloschannel.com/

https://www.facebook.com/groups/342683132960718/permalink/758634838032210/

29 สิงหาคม 2563

กรรมที่ทำให้ได้รับผลเป็นความไม่ตกต่ำ

*****************************
วิบากแห่งกรรม ๓ อย่าง คือ
ผลวิบากแห่งทาน การให้ ๑,
แห่ง ทมะ การบีบบังคับใจ ๑,
แห่งสัญญมะ การสำรวมระวัง ๑,
ภิกษุ ท. ! เราได้เคยเป็นสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งเทวดา
นับได้ ๓๖ ครั้ง
เราได้เคยเป็นราชาจักรพรรดิผู้ประกอบด้วยธรรม
เป็นพระราชาโดยธรรม มีแว่นแคว้นจดมหาสมุทรทั้งสี่เป็นที่สุด เป็นผู้ชนะแล้วอย่างดี มีชนบทอันบริบูรณ์ประกอบด้วยแก้ว
เจ็ดประการ นับด้วยร้อยๆ ครั้ง,
ทำไมจะต้องกล่าวถึงความเป็นราชาตามธรรมดาด้วย.
******************************
พระสูตรที่เกี่ยวข้อง
ภิกษุ ท. ! แต่ชาติที่แล้วมาแต่อดีต ตถาคตได้เคยเจริญเมตตาภาวนาตลอด ๗ ปี จึงไม่เคยมาบังเกิดในโลกมนุษย์นี้ ตลอด ๗ สังวัฏฏกัปป์ และวิวัฏฏกัปป์.

ในระหว่างกาลอันเป็นสังวัฏฏกัปป์นั้น เราได้บังเกิดใน
อาภัสสรพรหม.

ในระหว่างกาลอันเป็นวิวัฏฏกัปป์นั้นเราก็ได้อยู่พรหมวิมาน
อันว่างเปล่าแล้ว.

ภิกษุ ท. ! ในกัปป์นั้น เราได้เคยเป็นพรหมได้เคยเป็นมหาพรหมผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครครอบงำได้ เป็นผู้เห็นสิ่งทั้งปวงโดยเด็ดขาด เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด.

ภิกษุ ท. ! เราได้เคยเป็นสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งเทวดา
นับได้ ๓๖ ครั้ง
เราได้เคยเป็นราชาจักรพรรดิผู้ประกอบด้วยธรรม
เป็นพระราชาโดยธรรม มีแว่นแคว้นจดมหาสมุทรทั้งสี่เป็นที่สุด เป็นผู้ชนะแล้วอย่างดี มีชนบทอันบริบูรณ์ประกอบด้วยแก้ว
เจ็ดประการ นับด้วยร้อยๆ ครั้ง,
ทำไมจะต้องกล่าวถึงความเป็นราชาตามธรรมดาด้วย.

ภิกษุ ท. ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
ผลวิบากแห่งกรรมอะไรของเราหนอ
ที่ทำให้เราเป็นผู้มีฤทธิ์มากถึงอย่างนี้
มีอานุภาพมากถึงอย่างนี้ ในครั้งนั้น ๆ.
ภิกษุ ท. ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ผลวิบากแห่งกรรม ๓ อย่างนี้แล ที่ทำให้เรามีฤทธิ์มากถึงอย่างนี้ มีอานุภาพมากถึงอย่างนี้, วิบากแห่งกรรม ๓ อย่าง ในครั้งนั้น คือ
ผลวิบากแห่งทาน การให้ ๑,
แห่ง ทมะ การบีบบังคับใจ ๑,
แห่งสัญญมะ การสำรวมระวัง ๑, ดังนี้.

อิติวุ. ขุ. ๒๕/๒๔๐/๒๐๐.

ท่านอยากจะสละราชสมบัติแล้วมาบวชอยู่บนเขานี้ ตอนที่ท่านครบอายุ ๖๐

"..... ท่านอยากจะสละราชสมบัติแล้วมาบวชอยู่บนเขานี้ ตอนที่ท่านครบอายุ ๖๐ แต่เนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองมันมีเรื่องราวอยู่เรื่อย ๆ ท่านจึงไม่สามารถสละราชสมบัติได้...."
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

"พระป่า กับ พระราชา"

ศาลาหลังนี้ "ในหลวง ร.๙" ท่านก็ขึ้นมาสนทนาธรรมกับสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวิชรญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) เมื่อปี ๒๕๒๖

สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ท่านชอบปฏิบัติในป่าในเขา เมื่อก่อนไม่มีวัดญาณฯ ท่านก็จะไปปฏิบัติทางภาคอีสาน ไปอยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เช่น หลวงตามหาบัว พระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์วัน ท่านชอบไปวัดป่า ไปภาวนา แล้วพอท่านมาสร้างวัดญาณฯ ก็มีพระปฏิบัติมาสร้างกระต๊อบถวายให้ท่านอยู่บนเขานี้ ท่านก็ชอบ กระต๊อบเล็ก ๆ ไม่ใหญ่

เวลาที่ท่านมาทำภารกิจที่วัดญาณฯ ตกตอนเย็นตอนค่ำท่านก็จะขึ้นมาปฏิบัติพักค้างแรมบนเขา ในหลวง ร.๙ ท่านก็เคยมาเฝ้ามาสนทนาธรรม ท่านก็มารับเสด็จฯ ที่บนศาลาหลังนี้ ในหลวงท่านก็เลยดำริอนุญาตให้พระอยู่อาศัยบนนี้ได้ เพราะทรงประกาศเขตป่านี้ให้เป็นเขตอุทยาน เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามกฏหมายนี้เขาไม่ให้ใครขึ้นมาอยู่ ไม่ให้ใครมาใช้ประโยชน์ แต่เนื่องจากพระมาอยู่ก่อนที่จะประกาศเขต ท่านก็เลยอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ

แล้วท่านเองก็เคยดำริว่า ท่านอยากจะสละราชสมบัติแล้วมาบวชอยู่บนเขานี้ ตอนที่ท่านครบอายุ ๖๐ แต่เนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองมันมีเรื่องราวอยู่เรื่อย ๆ ท่านจึงไม่สามารถสละราชสมบัติได้ ท่านเคยปรารภเคยพูดถึงอยู่ ก็เลยมีการเตรียมสถานที่ทำถนน ราดยางเอาไฟฟ้าขึ้นมาเตรียม

แต่พระเราไม่ได้ใช้ไฟฟ้ากันเพราะว่า วัดป่าพระป่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ไฟฟ้า ไฟฟ้านี้เป็นพิษเป็นภัยมากกว่าเป็นประโยชน์ เพราะมันเป็นช่องให้กิเลสมาได้ พอมีไฟฟ้าเดี๋ยวก็มีเครื่องเสียง มีทีวี วิทยุ โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องอำนวยความสุขต่าง ๆ ซึ่งเป็นความสุขทางร่างกาย ที่เป็นภัยต่อจิตใจ แม้แต่น้ำประปาก็ไม่ต้องมี อยู่กันแบบอยู่ธุดงค์ในป่า อาศัยรองน้ำฝนใส่แท็งค์น้ำใว้ใช้

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๙

Cr.วัดป่า​ ดอทคอม

27 สิงหาคม 2563

"ความศักดิ์สิทธิ์ของรูปในหลวง ร.๙"

#พระเจ้าแผ่นดิน_ผู้เป็นเจ้าของแผ่นดินไทย
เรื่อง​ "ความศักดิ์สิทธิ์ของรูปในหลวง ร.๙"

(ปกิณกธรรม​ หลวงปู่ตื้อ​ อจลธัมโม)​

๐​ รูปในหลวง​ ร.๙ เหตุเกิดที่​ จ.นครพนม 

พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอรหันต์ที่เป็นแม่ทัพธรรม มีลูกศิษย์มากมายที่ไปปฏิบัติธรรมจากท่าน หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอรัญญวิเวก ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ก็เป็นอีกท่านหนึ่ง เช่นเดียวกับหลวงปู่ขาว อนาลโย แต่หลวงปู่ตื้อจะดุหน่อย

เรามาฟังลูกศิษย์หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เล่าให้ฟัง วันนั้นมีคุณนายและบริวารมากราบเยี่ยมหลวงปู่ตี้อ แล้วเรียนถามถึงบ้านที่จะขาย ยังขายไม่ได้สักที ได้เที่ยวบนเจ้าบนวัดไปทั่ว ก็ยังขายไม่ได้ มีแต่คนต่อรองราคา หลังๆ มาต่ออีกก็บอกตกลงไป พอให้ราคาที่ต่อ กลับไม่มาซื้อ หนูอยากขายเหลือเกิน รอมาเป็นปีแล้วเจ้าค่ะ

หลวงปู่มองหน้าคุณนายเจ้าทุกข์ แล้วตอบว่า
ที่ดินนั่นไม่ใช่ของเอ็งสักหน่อย
ของแฟนเอ็งไม่ใช่เหรอ? 

เจ้าค่ะ ของสามีข้าน้อยเจ้าค่ะ 

เออ มันต้องให้เจ้าของเขาบนเอง
ของใครของมัน
แต่มันเป็นฝรั่ง มันจะเชื่อหรือ? 

ถึงตอนนี้ คุณนายและพวกที่มาด้วย
ต่างงงและตื่นเต้น อุทานออกมาว่า
หลวงปู่รู้ได้ไงคะว่าแฟนหนูเป็นฝรั่ง

อ้าว...แค่นี้ไม่รู้แล้วจะเป็นพระให้เขากราบไหว้ได้รึ ไป...ไปบอกแฟนเองให้เขาไปทำพิธีเอาเอง ทำแทนกันไม่ได้!?

คุณนายฝรั่งจึงกลับไปอย่างมีความหวัง อีกหนึ่งเดือนต่อมา เข้ามารายงานหลวงปู่อีก เล่าว่าหนูทำตามหลวงปู่แล้ว คือให้ฝรั่งไปไหว้ไปทำบุญที่พระธาตุ แล้วบนด้วย​ แต่ยังไม่มีคนมาซื้อเลยค่ะ ยังเงียบอยู่เลยค่ะ

หลวงปู่มองหน้า แล้วเอ็ดเสียงค่อนข้างดังว่า เป็นคนต่างชาติ แล้วมาหากินที่เมืองไทย ก็ต้องให้ความเคารพเจ้าของแผ่นดินเขา 

บ้านออกใหญ่โต ติดรูปก็เยอะ แต่มีรูปผู้หญิงแก้ผ้าทั้งนั้น แล้วมันจะไม่ซวยได้ไง!! เจ้าที่เจ้าทางเขาเห็นก็หนีแล้ว ไม่รู้จักเอารูปเจ้าของแผ่นดินมาติด มากราบไหว้ แล้วแบบนี้มันจะเจริญได้อย่างไร อยู่ไปก็มีแต่ฉิบหายหมด!! เพราะเงินทองที่ได้กำไรมา ไม่เคยเสียภาษีเข้าหลวงเลย ไป...กลับไป แก้ไขใหม่ คราวนี้หลวงปู่เทศน์ยาวเลย

แล้วรูปเจ้าของแผ่นดินคือใครคะ​ ? อ้าว...ไอ้โง่ ก็ ในหลวง ไง ยังไม่รู้อีกเรอะ ผัวเองไม่รู้ไม่เป็นไร เพราะเป็นฝรั่งหัวแดง แต่เอ็งน่าจะรู้นะว่าใครคือ เจ้าของแผ่นดินนี้ นังนี่ โง่จริงโว้ย

แล้วคุณนายก็กราบลาไป แต่ยังไม่ทันได้ลงจากศาลา ก็คลานมาถามหลวงปู่อีก​ ถามว่าแล้วต้องนำรูปในหลวงไปทำพิธีตรงที่ดินที่จะขายหรือเปล่าเจ้าคะ 

เออ ต้องนำไปด้วย ไปบอกกล่าวที่นั่น เจ้าที่เจ้าทางเขาจะได้เปิดทางให้ เอาอย่างงี้ ไปตามโยมผัน ให้เขาไปเป็นผู้ทำพิธี แล้วจะดี...ไป

อีก ๑๐ กว่าวัน คุณนายฝรั่งมาหาหลวงปู่อีก คราวนี้พาแฟนฝรั่งหัวแดงมาด้วย สีหน้ายิ้มแย้มกันทั้งคู่ พวกบริวารหอบข้าวของมาเพียบเลย มาถึงฝรั่งก็กราบหลวงปู่ตามเมียเขา กราบแค่นั้นยังไม่พอ เจ้าฝรั่งเอามือจับเท้าหลวงปู่มาไว้ที่หัวตัวเอง!?

เออ...เอาจริงโว้ย ไอ้ฝรั่งคนนี้ ถ้าจะได้เงินทองมาแล้วสิ ใช่ไหม​ ? ฝ่ายเมียฝรั่งตอบแทนว่า ได้มาแล้วเจ้าค่ะ ได้มาเมื่อวาน ฝรั่งเขาดีใจมาก เขานับถือหลวงปู่มาก ทำตามทุกอย่าง 

วันนี้เขานำเงินมาถวายหลวงปู่ ๑ แสนบาท ทำบุญกับหลวงปู่ แล้วให้หลวงปู่ไปซื้อรูปในหลวงแจกชาวบ้านด้วยเจ้าค่ะ นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของรูปในหลวง ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน

25 สิงหาคม 2563

การเข้าถึงตัวตนที่สูงส่งนี้ คือการเปิดรหัสลับชีวิตและจิตใต้สำนึกของการเป็นฮีโร่

The Masterpiece Hero คุณคือคนที่ใช่ 4.0
#ปิ๊งแวบ  
🍀ความรู้สึกของการที่เรายอมรับว่าเรากำลังผ่านช่วงเวลาของความเหนื่อยล้า ความรู้สึกของการที่เราจะบอกกับตัวเองว่าเราพร้อมแล้วที่จะปลดปล่อยตัวเอง พร้อมที่จะเป็นอิสระจากทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ใจของเรากำลังปรารถนา เราจะไม่ผูกพันกับการชดใช้กรรมของเราอีกต่อไป เราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ เราพร้อมที่จะกลับไปมีชีวิตอันงดงาม ชีวิตที่เพียบพร้อมและทรงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ทุกครั้งที่เรากำลังสื่อสารกับจิตใต้สำนึกเพื่อขออภัยกับผู้คนกับโลก มันคือการปลดล็อก มันคือการปลดปล่อยจิตใต้สำนึกและกลับมารู้สำนึกในจักรวาล 

🍀กระบวนการนี้คือกระบวนการที่เราจะต้องเข้าถึงความรู้สึกศิโรราบ เข้าถึงความรู้สึกน้อมรับกับตัวเอง มันเป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่เราจะต้องบอกกับตัวเราเองว่า... ไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตผิดพลาดขนาดไหน ไม่ว่าในอดีตที่นานแสนนาน ในอดีตกาลอันไกลโพ้นที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ เราไม่รู้ว่าเราได้กระทำสิ่งใดบ้างที่ทำให้จิตวิญญาณของเราต้องทุกข์ทรมาน เราได้ทำสิ่งใดบ้างที่ทำให้ผู้คนที่อยู่รอบตัวเราหรือโลกได้รับผลจากการกระทำของเรา นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทุกสิ่งทุกอย่างในวินาทีนี้ ลมหายใจนี้ เราขอให้อภัยกับตัวเองและขอขมา ขออโหสิกรรมกับบุคคลคนนั้น กับเรื่องราวเหล่านั้น กับโลก กับการกระทำเหล่านั้นที่มันเกิดขึ้น โดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม แต่นี่คือสิ่งที่มันอาจจะติดค้างอยู่ในจิตใต้สำนึกหรือสิ่งที่เราไม่สามารถรับรู้ได้ แต่เรารู้สึกถึงการสำนึกผิดแล้ว ถ้าหากมีสิ่งนี้และการกระทำนี้เกิดขึ้น เรารู้สึกถึงความสำนึกผิดแล้วในวินาทีนี้ เพราะเราปิ๊งแวบ เพราะเราตื่นรู้ทางจิตวิญญาณแล้ว และรู้ว่ามันคือความเจ็บปวด มันคือความตรอมตรม มันคือความรู้สึกผิดที่เราพร้อมแล้วที่จะยอมรับและขอขมาลาโทษ พร้อมแล้วที่เราจะยอมรับผิด เรายอมรับว่าเราเหนื่อยล้า เรายอมรับว่าชีวิตของเราที่ผ่านมาทุกภพทุกชาติหรือแม้แต่จากที่เราได้เกิดมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้เรารู้ตัวแล้วว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่มีผลกับชีวิตของเราจากการกระทำของเรา มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ชีวิตของเราต้องประสบกับความรู้สึกมากมายที่ทำให้ชีวิตของเรามันไม่สมบูรณ์อย่างที่เราปรารถนา 

🍀วันนี้เราพร้อมแล้วที่จะชดใช้กรรม พร้อมแล้วที่จะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น เราพร้อมแล้วที่จะสำนึกผิด เราพร้อมแล้วที่จะขอขมาลาโทษความรู้สึกนี้กำลังรู้สึกอยู่อย่างท่วมท้นในหัวใจของเรา เราพร้อมแล้วที่จะปลดเปลื้องพันธนาการของดวงวิญญาณของเรา เราพร้อมแล้วที่จะขอร้องให้ชีวิตของเราเป็นอิสระจากทุกสิ่งทุกอย่าง หัวใจของเราเต็มไปด้วยความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่จะใช้ชีวิตอย่างงดงาม ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีคุณค่า หัวใจของเราพร้อมแล้วที่จะขออโหสิกรรมกับมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม จิตวิญญาณทั้งหลายทั้งปวงในจักรวาล ให้พวกเรารู้สึกตามถ่ายทอดสัญญาณ (ขอให้พวกเรารู้สึกตามไปพร้อมผม) พร้อมแล้วที่จะขอขมากับชีวิต ขอขมากับดวงวิญญาณของเรา ขอขมากับจิตวิญญาณและธาตุรู้หรือสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล เราพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตและจิตวิญญาณของเราสู่ตัวตนใหม่ เราได้ตระหนักรู้ถึงความคิดถึงความทุกข์ทรมาน เราได้ตระหนักรู้ถึงพันธสัญญาทางจิตวิญญาณที่เราเรียกว่า Soul Contract : พันธสัญญาทางจิตวิญญาณ  

เราพร้อมแล้วที่จะยอมรับและทบทวนชีวิตของเราจากภพชาติที่ผ่านมา เราพร้อมแล้วที่จะทบทวนบทเรียนชีวิตของเราในทุกภพชาติที่ผ่านมานับไม่ถ้วนและเราก็สำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี เรารู้ว่าการเกิดใหม่อีกครั้งของเรา คือโอกาสที่เราจะได้มีโอกาสแก้ตัวใหม่อีกครั้ง การเกิดใหม่ การกลับมาเกิดครั้งใหม่ของพวกเราทุกคน ก็เพื่อที่จะได้มีโอกาสแก้ตัวใหม่อีกครั้งหนึ่ง นี่คือเงื่อนไขที่เรากำลังรู้สึกสำนึกกับดวงวิญญาณของเราอย่างแท้จริง 

ขณะที่เรากำลังทำสมาธิและเชื่อมโยงกระแสจิตด้วยคำอธิษฐานและการทำสมาธิจูนจิตของตัวเองไปทั่วทั้งสากลจักรวาล จูนจิตตัวเองไปทั้งสากลจักรวาล จนเรารู้สึก... รู้สึกกับหัวใจของเรา จูนจิตของตัวเองไปทั่วทั้งสากลจักรวาลจนรู้สึกว่าเรากำลังได้รับความรู้สึกตอบสนองจากจิตวิญญาณทั่วทั้งจักรวาล ความรู้สึกของการใช้กระบวนการการจูนจิตเพื่อให้เกิดโมฆะกรรมต่อกันและกัน โมฆะกรรม คือเกิดการอโหสิกรรมนั่นเอง 

จงเป็นอิสระต่อกันและกัน จงเหลือเพียงแค่ความรัก ความเมตตากรุณาและความปรารถนาดีที่มีต่อกันและกัน 
พลังอำนาจของจิตวิญญาณที่ให้อภัยตัวเองจะทำให้เราเป็นอิสระจากการลงทัณฑ์ตัวเอง พระเจ้าไม่ได้ตัดสินลงโทษเราหรอก แต่จิตวิญญาณของเราต่างหากที่มันติดค้างและถูกครอบงำด้วยความทุกข์ทรมาน แต่เมื่อใดก็แล้วแต่ที่วิญญาณของเราให้อภัยตัวเองและชำระล้างดวงวิญญาณด้วยการปิ๊งแวบหรือการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณอย่างสุดขีด ด้วยการให้อภัยกับชีวิต ให้อภัยกับดวงวิญญาณดวงนี้ ด้วยการให้อภัยกับจิตวิญญาณดวงนี้ ด้วยการให้อภัยกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น และขอขมาหรือน้อมรับสำนึกผิดกับสิ่งที่เราเคยประมาทพลาดพลั้งในการกระทำของชีวิตที่เคยเกิดขึ้นในดวงวิญญาณดวงนี้ของเรา เมื่อนั้นก็จงรู้เถิดว่าพวกเราทุกคนกำลังสัมผัสกับจิตวิญญาณใหม่ พวกเราทุกคนกำลังเข้าถึงประสบการณ์ของการค้นพบชีวิตที่ล้ำเลิศที่สุดแล้ว ค้นพบการอโหสิกรรม ค้นพบโมฆะกรรมหรือการทำให้กรรมสิ้นสุดลง ซึ่งจะไม่มีผลกับใครรวมทั้งตัวเราในโลกและจักรวาลทุกอย่างได้สูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง ทุกอย่างเป็นโมฆะกรรม และในที่สุดเราทุกคนก็ได้ค้นพบจิตวิญญาณแห่งความรักและความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นกับการต่อวงจรของการจูนจิตครั้งนี้อย่างสมบูรณ์แบบ 100% แล้ว

 ขอให้พวกเราทุกคนสัมผัสกับหัวใจที่ยิ่งใหญ่ซึ่งบางครั้งเราอาจจะไม่รู้ว่าเราได้เคยเป็นสัตว์ เราเคยเกิดเป็นต้นไม้ เป็นหิน เป็นพลังงาน  เป็นอัญมณีและเป็นทุกสิ่งในดาวเคราะห์ดวงนี้มานานแสนนาน ดังนั้นการย้อนระลึกถึงชีวิตและจิตวิญญาณที่กำลังปลดล็อกตัวมันเองจึงเป็นกระบวนการสำคัญในระดับของจิตไร้สำนึกหรือจิตใต้สำนึกที่เรากำลังเชื่อมโยงกับวิญญาณธาตุของเรา นับตั้งแต่ลงมาเกิดบนดาวเคราะห์ดวงนี้ เชื่อมโยงจิตวิญญาณของการถือกำเนิดในสภาวะของชาติภพแรก ๆ ที่เกิดมาเป็นเพียงแค่พลังงาน เป็นเพียงก้อนเมฆหรือสายลม เป็นเพียงลาวาหรืออากาศ เป็นเพียงก้อนหิน ดินทรายหรืออัญมณีหรือเป็นเพียงฝุ่นธุลีที่หลอมรวมเป็นวัฏจักรอันยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล ซึ่งกลายเป็นวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของความเป็นชีวิตหรือความเป็นตัวเราในที่สุดนั่นเอง

พวกเราที่รักทุกคน เรากำลังค้นพบความรักของดวงวิญญาณอันลึกซึ้ง เรากำลังค้นพบความลับของจิตแห่งการตื่นรู้ ที่เราเรียกว่าการตื่นรู้แบบปิ๊งแวบ เป็นการเข้าถึงความเป็นฮีโร่หรือจิตสำนึกสูงสุด จิตสำนึกที่ทำให้ดวงวิญญาณของเราได้ปิ๊งแวบและตื่นขึ้น ลุกโพลงขึ้นด้วยแสงสว่างแห่งชีวิตอันไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้เราทุกคนได้ค้นพบสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ของความเป็นมนุษย์ ข้ามพ้นข้อจำกัดแห่งวัฏจักรของชีวิตและเป็นอิสระจากความสับสน จนทำให้เราเข้าถึงชีวิตที่แท้จริงอันเป็นแก่นแท้ของการเข้าถึงสัจธรรมนั่นเอง 

..ความรู้สึกมีชีวิต.. จิตวิญญาณเป็นธาตุรู้ เราต่างแสวงหาชีวิตที่งดงาม เราต่างแสวงหาจิตวิญญาณอันสูงสุดเพื่อบรรลุถึงความตื่นรู้ของชีวิตอย่างแท้จริง เราต่างมีชีวิตดำรงอยู่เพื่อความรู้แจ้ง เพื่อการเป็นอิสระอย่างแท้จริง เป็นอิสระจากตัวตน เป็นอิสระจากสภาวะต่าง ๆ ที่มันขวางกั้นสู่ความสมดุล สู่ความว่าง สู่ความเป็นอิสระและสู่ชีวิตที่งดงาม นี่คือช่วงเวลาสำคัญแห่งการค้นพบภูมิปัญญาอันสูงส่งจากการปิ๊งแวบทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นกับพวกเราทุกคน

ขอให้พวกเราทุกคนสัมผัสกับประสบการณ์นี้อีกครั้งหนึ่ง ประสบการณ์แห่งการตื่นรู้เบิกบานที่ทำให้เรารู้ได้ด้วยตัวเอง มิใช่การรู้จากการอ่านผ่านตำรับตำรา แต่คือการลงมือปฏิบัติทางจิตเพื่อความรู้จริงที่ทำให้เราเป็นอิสระจากความโง่งม ที่ทำให้เราได้เข้าใจความจริงของชีวิตจากประสบการณ์ตรง มันไม่ใช่เพียงแค่ได้อ่านหรือได้ฟังจากตำรา แต่เรากำลังค้นพบชีวิตที่ทำให้เรารู้จักตัวเอง ที่ทำให้เราปิ๊งแวบ ที่ทำให้เราค้นพบความเป็นธาตุรู้หรือจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริง 

และการเข้าถึงตัวตนที่สูงส่งนี้ คือการเปิดรหัสลับชีวิตและจิตใต้สำนึกของการเป็นฮีโร่

---------------------------------------------------

การก้าวกระโดดของควอนตัมในระดับมิติ: ความเป็นมนุษย์กำลังก้าวข้ามมิติ


ความเป็นมนุษย์กำลังก้าวข้ามมิติ

จริงๆแล้วแต่ละวันในปัจจุบันมีเพียง 16 ชั่วโมงเท่านั้นและไม่ใช่ 24 ชั่วโมงตามที่ยอมรับโดยทั่วไป -

ฉันขอเชิญคุณศึกษาและไตร่ตรองเอกสารทางวิทยาศาสตร์นี้ซึ่งมาจากประเทศเยอรมนี เราจะพบว่าเป็นเวลาหลายศตวรรษที่โลกหมุนตามแกนของมันที่ 7.8 เฮิร์ต แต่ตอนนี้โลกหมุนตามแกนเร็วขึ้นที่ 12 เฮิร์ต

ใน 2 คำข้างต้นหมายความว่า 24 ชั่วโมงต่อวันที่เรามีชีวิตอยู่ในแต่ละวันไม่นาน แต่เป็นเพียงในนามเพราะจริงๆแล้วเรามีชีวิตอยู่ทุกวันเพียง 16 ชั่วโมงเท่านั้น

หมายความว่าสิ่งนี้จะอธิบายได้ว่าทำไมวัน สัปดาห์ และเดือน จึงผ่านไปด้วยการ "Fly" และทำไมเราจึงใช้ชีวิตอยู่ตลอดทั้งวันเพราะสิ่งที่เราเคยทำใน 24 ชั่วโมงตอนนี้เราทำเหมือนกันใน 16 ชั่วโมงเพราะเรากำลังประสบกับการกระโดดทางมควอนตัมมิติ.

ในแง่วิทยาศาสตร์ความเป็นมนุษย์กำลังก้าวผ่านมิติที่สี่และตามวิทยานิพนธ์ทางวิทยาศาสตร์นี้เมื่อหลายศตวรรษก่อนชาวมายันทำนายว่าในวันที่ 21 ธันวาคม 2555 (ที่ฝ่ายมืดประโคมข่าวให้เกิดความหวาดกลัวกับวันสิ้นโลกแต่ความจริงคือการสิ้นสุดยุคพลังงานเก่า) เราจะผ่านไปสู่มิติที่สี่ (ซึ่งกำลังจะผ่านไปยุคพลังงานใหม่) ในวันนั้นนักดาราศาสตร์ให้เหตุผลว่าเป็นครั้งแรกที่ดาวเคราะห์ทั้งหมดจะเรียงตัวในแนวนอนกับดวงอาทิตย์

การคาดเดาทั้งหมดนี้ควรค่าแก่การถกเถียงอภิปรายและสังเกตปรากฏการณ์เหล่านี้เพื่อไม่ให้สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เราประหลาดใจ อ่านข้อความแล้วเปิดเผย

การกระโดดทางควอนตัมมิติ:

การตอบสนองของ SCHUMANN

ข้อมูลนี้สามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดายโดยข้อเท็จจริงที่ว่าผลตอบสนองของโครงการของโลกของดาวเคราะห์เพิ่มขึ้นจาก 7.8 HZ ถึง 12 HZ ในเวลาเพียง 6 ปีเมื่อมันอยู่ที่ 7.8HZ เป็นเวลาหลายพันปี

ตอนนี้ถามตัวเองว่าเหตุใดจึงเกิดการตอบสนองของ SCHUMANN และเกิดจากอะไร อะไรคือการเร่งกระบวนการนี้

การกระโดดทางควอนตัมมิติ

โลกกำลังมุ่งหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นพลังที่มีอำนาจซึ่งนำไปสู่การผ่านสู่มิติที่สี่ ในการต่อต้านพลังงานนี้เราต้องรู้จักการก้าวกระโดดในระดับมิติซึ่งมนุษย์ต้องดำเนินการในช่วงเวลานี้

จากทุกสารทิศเราไปถึงคำทำนายที่หายนะ และวิธีที่จะเกิดเหตุร้ายก็คือการคิดว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้ เป็นความคิดส่วนรวมที่ทำให้สิ่งต่างๆ (ดีหรือไม่ดี) เกิดขึ้น

จะมีการเปลี่ยนแปลงของดาวเคราะห์และนี่ก็ใกล้เข้ามา โลกและดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจะเคลื่อนออกจากมิติที่สามไปจนถึงมิติที่สี่และห้า เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2000 พลังงานมิติที่สี่ได้เปลี่ยนแปลงประจุแม่เหล็กไฟฟ้าของโลก

ที่ UTN ในมิวนิกประเทศเยอรมนีดร. ชูมันน์ค้นพบเอฟเฟกต์การสั่นพ้องในระบบ Earth-Air-Ionosphere ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติของการมีขั้วและกำหนดทิศทางการสั่นในแนวตั้งฉากที่เป็นไปได้

การค้นพบของดร. ชูมันน์เป็นที่รู้จักในปัจจุบันด้วยคำว่า "ชูมันน์เรโซแนนซ์" หนังสือเล่มนี้เป็นตำราเกี่ยวกับ Quantum Metaphysics และ MetaCuántum Astrophysics มีให้บริการในห้องสมุดสาธารณะและเว็บไซต์อินเทอร์เน็ตทุกแห่ง

Schumann Resonance อยู่ที่ 7.8 hz มานานหลายศตวรรษ ผลประมาน 24 ชม. มันทำให้โลกหมุนแกนของมัน ตั้งแต่ปี 1980 Schumann Resonance ได้เพิ่มขึ้นเป็น 12 Hz ซึ่งหมายความว่าวันนี้ 24 ชั่วโมงเท่ากับ 16 ชั่วโมง เวลาเชิงเส้นได้รับผลกระทบและเชื่อหรือไม่ว่ามันกำลังเร่งขึ้น

หลังจากปี 2000 จนถึงตอนนี้เวลาผ่านไป วัน ๆ ทำทุกอย่างที่อยากทำไม่พอ ก่อนที่เราจะรอคริสต์มาสที่จะมาถึง ตอนนี้วันเกิดคริสต์มาสและกิจกรรมสำคัญอื่น ๆ พบเราโดยไม่ต้องรอ

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงมิติและสิ่งนี้เกิดขึ้นในดาวเคราะห์ทั้งหมดของกาแลคซีสนามแม่เหล็กของโลกจะถูกเปลี่ยนแปลง เป็นเวลาสองพันปีที่สนามแม่เหล็กเริ่มอ่อนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ความมั่นคงทางจิตใจและความทรงจำอยู่ในสนามแม่เหล็กซึ่งเป็นสิ่งที่ค้ำจุนความทรงจำและความมีสติของเรา

เมื่อสนามแม่เหล็กของโลกอ่อนลงสิ่งมีชีวิตจะกลายเป็นอันตรายมากขึ้น มันเริ่มเกิดขึ้นแล้วและภัยพิบัติเช่นแผ่นดินไหวสึนามิและภัยพิบัติทางโลกอื่น ๆ จะยังคงเกิดขึ้นบ่อยขึ้น

สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกจะได้รับผลกระทบเนื่องจากรูปแบบทางจิตใจและวิธีคิดของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนก้าวร้าวและหวาดกลัวมากขึ้นทุกวัน

นกที่ติดตามสนามแม่เหล็กพร้อมกับการอพยพของพวกมันจะพบว่าตัวเองสับสนและจะมีบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ที่ปลาวาฬจะเกยตื้นได้ทุกที่

ถ้าชูมันน์เรโซแนนซ์ถึงความถี่ 13 Hz โลกจะหยุดการหมุนและเราจะอยู่ในสนามแม่เหล็กของจุดศูนย์หรือ 13 Hz ของมาตราส่วนชูมันน์

โลกจะหยุดหมุนและในสองหรือสามวันมันจะเริ่มหมุนอีกครั้งในทิศทางตรงกันข้าม สิ่งนี้จะทำให้เกิดการพลิกกลับในสนามแม่เหล็กของขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ด้วยความไม่สมดุลของระบบนิเวศที่ตามมาและความสับสนวุ่นวายของประชากรโลก

ปัญหาของเสียงสะท้อน Schumann จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ถูกซ่อนไว้โดยรัฐบาลของสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่ วันนี้เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ก็มีการเก็บรายละเอียดที่ต่ำมาก

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราทำอะไรได้บ้าง?

เราเป็นส่วนหนึ่งของเอกภาพแห่งจักรวาลและฟิสิกส์ควอนตัมได้แสดงให้เห็นแล้ว ผู้สังเกตเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ หากเรามีส่วนร่วมในปรากฏการณ์และสร้างความสัมพันธ์กับองค์ประกอบ 4 อย่างนั่นคือ ดิน น้ำ อากาศ ไฟ เรามีโอกาสที่จะสร้างความกลมกลืนกับพวกเขาและเราสามารถขอความร่วมมือจากพวกเขาได้

ไม่สำคัญว่าเราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรสิ่งที่สำคัญคือเราเต็มใจที่จะทำ เราจะเห็นว่าสามารถดำเนินการต่างๆได้ในขณะนี้ มันจะเป็นการกระทำร่วมกันของเราซึ่งอาจย้อนกลับไปในอนาคต

หากสามารถทำให้มวลวิกฤตเพียงเล็กน้อยดำเนินการส่วนบุคคลกับองค์ประกอบเหล่านี้ภัยพิบัติอาจหยุดได้ คน ๆ เดียวที่ดำเนินการในเชิงบวกนี้จะมีอำนาจในการช่วยชีวิตคน 15,000 คน กล่าวอีกนัยหนึ่งถ้ามีคนสองล้านคนบนโลกพร้อมเพรียงกันโลกก็จะเปลี่ยนไป

หลายคนเคยได้ยินถึงพลังแห่งการอธิษฐาน นี่คือตัวอย่างของการที่คนกลุ่มหนึ่งซึ่งแสดงออกในเชิงบวกพร้อมเพรียงกันสามารถย้อนกลับสถานการณ์ได้

เป็นที่เข้าใจเช่นกันเพราะในการแข่งขันกีฬาใด ๆ ในโลกทีมท้องถิ่นมีโอกาสชนะมากกว่า เป็นเหตุผลที่แฟน ๆ ของสถานที่นั้นมีจำนวนมากขึ้นดังนั้นจำนวนคนที่รวมกันพร้อมกันด้วยความคิดเดียวกันจึงมากกว่า

มีความสำคัญสูงสุดที่เราจะพัฒนาตนเองให้มีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณและปฏิบัติหน้าที่ในการรับใช้มนุษยชาติ

ข้อความมิติจะมีผลในช่วงเดือนธันวาคม 2555 ถึงกุมภาพันธ์ 2556 แต่นับจากปี 2010 เมื่อเริ่มเห็นว่าทุกอย่างแย่ลง

เมื่อพลังงานมิติที่สี่เข้าสู่โลกของเราความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลและการสำแดงจะเกิดขึ้นเร็วขึ้น (สิ่งที่คิดทั้งดีและไม่ดีจะปรากฏขึ้นด้วยความเร็วที่มากขึ้น)

หากเรามุ่งความสนใจไปที่ความโชคร้ายและไม่ดำเนินการในเชิงบวกความโชคร้ายจะเลวร้ายลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถ้าเราคิดถึงความหายนะเราจะกระตุ้นมัน เราต้องเฝ้าดูความคิดของเราเพราะทุกอย่างจะเลวร้ายลงเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงช่วงวิกฤตที่ทุกอย่างจะวุ่นวาย

ถึงเวลาที่ต้องตระหนักแล้วสิ่งที่เราเห็นภายนอกคือภาพสะท้อนโดยตรงของสิ่งที่เราดำเนินการภายใน เมื่อเราคิดในแง่ลบและปล่อยให้ตัวเองถูกพัดพาไปด้วยความโกรธความเกลียดชังความกลัวความไม่พอใจและความโลภเรากำลังสร้างหายนะในรูปแบบต่างๆกล่าวคือเรากำลังทำลายตัวเองในแต่ละวันและในทางกลับกันเรากำลังทำลายโลก

เป็นเรื่องจริงที่ไม่มีใครคนเดียวสามารถช่วยโลกได้ แต่ถ้ามนุษย์แต่ละคนรับภารกิจอันยอดเยี่ยมในการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกของตนเองมวลสำคัญที่จำเป็นสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ในการก้าวกระโดดครั้งใหญ่นี้จะสามารถบรรลุได้และด้วยวิธีนี้เราจะอยู่อย่างสันติและสามัคคีกับเพื่อนมนุษย์อีกครั้งและด้วยเหตุนี้ ทำความสะอาดโลกที่พักพิงเรา

ร่วมงานของคุณ !!!

เหตุผลเดียวที่คุณมีความสุขก็เพราะคุณตัดสินใจที่จะมีความสุข

http://isialada.blogspot.com/2020/08/el-salto-cuantico-dimensional-la.html

24 สิงหาคม 2563

"ปริศนาธรรมจากพระพุทธปฏิมา"


1. พระเศียรแหลม

มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมีพระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเราก็เป็นมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็นปริศนาธรรม พระเศียรแหลมนั้นหมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลมในการดำเนินชีวิต สอนให้เราใช้ชีวิตและรู้จักแก้ปัญหาต่างๆด้วยสติปัญญาไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์

ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อยๆคิด ค่อยๆแก้ ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน แล้วความผิดพลาดจะเกิดขึ้นน้อย หรือแม้มันเกิดขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากมันได้อย่างรวดเร็ว

ปัญญาคือที่สุดแห่งธรรม หากมีปัญญา ชีวิตจะไม่มีปัญหา เพราะทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาจะกลายเป็นเครื่องมือที่สามารถนำไปใช้พัฒนาจิตใจได้เสมอ

2. พระกรรณยาน

หูยานเป็นปริศนาธรรมให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือมีความหนักแน่นมั่นคง ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แต่หมั่นคิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคาย แล้วจึงเชื่อในหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ตัวเองได้นำไปทดสอบแล้ว

เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่าบุคคลหว่านพืชเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่าสุดท้ายคนๆเดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือตัวเราเอง และชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ขึ้นอยู่กับความคิด
คำพูด และการกระทำของเราเอง

ฉะนั้น ในการใช้ชีวิต ให้มีความสุขุมเยือกเย็น มีสติ และมีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจไปยึดตามสิ่งที่ได้ยิน เชื่อตามคนอื่น หรือตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นจนเกินไป ลองพิสูจน์สิ่งต่างๆด้วยตัวเองเสียก่อนจะเชื่อ ตามหลัก “กาลามสูตร” เพื่อฝึกฝนการเป็นคนที่มีจิตใจหนักแน่นมั่นคง ดั่งองค์พระพุทธฯ

3. พระเนตรมองต่ำ

พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไปจะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ ไม่ได้มองดูหน้าต่าง หรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง นี่เป็นปริศนาธรรม สอนให้มองตนเองและพิจารณาตนเองเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อนจะไปคอยจับผิดผู้อื่น

ตามปกติคนเรามักจะมองเห็นแต่ความผิดพลาดของบุคคลอื่น โดยลืมมองข้อบกพร่องของตนเอง มัวแต่เอาเวลาไปนินทาว่าร้ายและจ้องแต่จะคอยวิจารณ์หรือเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างอย่างเดียว ทำให้สูญเสียโอกาสในการปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ตรัสให้เตือนตนเองว่า

“อตฺตนา โจทยตฺตาน” ซึ่งแปลเป็นกลอนได้ว่า... 
“จงเตือนตนของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน​ ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน ตนแชเชือนรีบเตือนตนให้พ้นภัย”

นอกจากนั้น พระเนตรที่มองต่ำคือการสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อมองฟ้าจนฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือมัวหลงล่องลอยอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา ตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด... กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก... เพราะนั่นคือดินแดนแห่งสวรรค์ที่แท้จริง”

4. พระพักตร์อันสงบนิ่ง

ไม่ว่าใครจะด่าว่าพระพุทธรูปอย่างไร ท่านก็ยังสงบนิ่ง ไม่ว่าน้ำจะท่วม แผ่นดินจะไหว หรือใครจะเตะ ต่อย นินทา หรือทำร้ายพระพุทธรูปมากแค่ไหน ท่านก็นิ่งสงบรับแรงกระทบต่างๆเหล่านั้นอย่างมั่นคง
เบิกบาน และไม่หวั่นไหวไปกับปัญหาทั้งเล็กและใหญ่ ให้ความรู้สึกเย็นสบายต่อผู้พบเห็นอยู่เสมอ

ในชีวิตของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะต้องยอมคนอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถฝึกรับแรงกระแทกทุกรูปแบบด้วยความนิ่งสงบได้ เราก็จะสามารถตอบโต้อย่างสร้างสรรค์และทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เพราะคนบ้าจะโต้ตอบแบบหน้ามืด และคนโง่จะตอบโต้ตอนที่ตัวเองกำลังโกรธ ส่งผลให้ตัวเองและคนอื่นตกตายไปตามกัน

หากเรารู้จักนิ่งสงบรับแรงกระแทกต่างๆในชีวิตได้เหมือนพระพุทธรูป ขั้นตอนต่อไปของการตอบโต้จะเกิดจากสติ เกิดจากปัญญา และเกิดจากพลังอันยิ่งใหญ่ที่มาจากใจที่สงบนิ่ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สร้างบาดแผลให้กับคนอื่นหรือตัวเอง

5. รอยยิ้มของผู้ที่เข้าใจโลก

สุดท้าย คือปริศนาจากพระโอษฐ์ที่แย้มยิ้มอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่รักสรรพสิ่ง รักโลก และเข้าใจความจริงของโลก... 
ความจริงที่ว่า... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา
ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรแน่นอน 
ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรคงทนถาวร
ความจริงที่ว่า... ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง

ความสุขและความทุกข์ เป็นของคู่กันเสมอ ฉะนั้น “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง

นอกจากนั้น รอยยิ้มของพระพุทธรูป คือรอยยิ้มของผู้ที่ถ่อมตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความยิ่งใหญ่และคุณค่าของความเป็นมนุษย์

รู้ว่าแม้ตัวเองจะเป็นเพียงเศษผงธุลีหนึ่งในจักรวาล แต่ก็เป็นเศษผงธุลีที่สามารถเข้าใจความจริงของจักรวาลได้ จึงทั้งเป็นสิ่งที่พิเศษและไม่พิเศษ ในเวลาเดียวกัน...

ท่านกวนอูตายแล้วไปสวรรค์


"..เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ไฟฟ้ายังสว่าง เวลานั้นอาตมาอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ขโมยมันมาซุ่มอยู่ในป่าไผ่จะขึ้นหลังกุฏิพระครูวิชาญฯ เพราะมีพระพุทธรูปเก่ามากขณะนั่งอยู่นั้นอาตมาเห็นคนแต่งตัวเป็นเจ๊กเครื่องแบบนักรบมาถึงนั่งกราบแบบเจ๊ก ถามว่า "ใคร" ตอบว่า "ผมกวนอูครับ" ถามว่า "มาทำไม" ตอบว่า "พวกโจรมันมาซุ่มอยู่หลังป่าไผ่ 5 คน" ถามว่า "จะทำอย่างไร เพราะวัดไม่มีอาวุธ ไม่มีปืน ขโมยมีปืนไหม" ท่านตอบว่า "มีปืนทุกคน กลางคืนตอนดึกมันจะใช้ยารมให้หลับก่อน ตอนดึกลมจะพัดเข้า มันจะขึ้นหลังกุฏิพระครูวิชาญฯ์ ผมจะจัดกองทัพของผมเอง ก็หมาของท่านนั้นแหละจัดเป็นกองทัพ" วัดปากคลองมะขามเฒ่าตอนนั้นมีหมา 3 ฝูง ของอาตมาฝูงหนึ่ง ของพระครูวิชาญฯฝูงหนึ่ง ลูกศิษย์ครูหง่าฝูงหนึ่ง รวมแล้ว 50 กว่าตัว ปกติหมา 3 ฝูงนี่มันจะเข้ากันไม่ได้มันอยู่ตามเขตของมัน ท่านกวนอูบอกว่า "พอ 3 ทุ่มผมจะจัดกองทัพ พอถึงตี 1 กว่า ๆ หมาไม่นอนกันแล้ว พอตี 2 เสียงโฮกมันเข้าถึงกุฏิแล้ว ถ้าเห่า ๆ มันยังไม่เข้า มันกำลังจะใช้ยาเข้ารม หมาเงียบหมด เงียบสนิทนึกว่าหมาหลับ พอเสียงโฮกไปดู ได้ทั้งปืนได้ทั้งเสื้อ ผ้าขาวม้า ได้ปืน 2 กระบอก มีดพก 1 เล่ม ขโมยหนีเข้าป่า มันกัดหน้าแหลกรานเลย" ท่านกวนอูบอก "พรุ่งนี้บอกตำรวจได้ทั้ง 5 คน" ก็ได้จริง ๆ หมาตั้ง 3 ฝูง ปืนยิงมันกัดเสียปืนหล่น

ทราบทีหลังว่า ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่ามีศาลาท่านกวนอู และอาตมาก็อยู่ใกล้ศาลาท่าน ต่อมาวันหลังนึกถึงท่านกวนอูวันที่ท่านมาในภาพนักรบจีน เลยอยากถามท่านว่า "จริง ๆ แล้วท่านเป็นอะไร" ท่านก็มาใหม่เป็นเทวดาใส่ชฎาพราวเลย จึงถามท่านว่า "ท่านเป็นนักรบ เป็นเทวดาได้อย่างไร" ท่านตอบว่า "นักรบก็ทำบุญเป็นนะครับ สมัยโบราณยามว่างก็ทำบุญกันอยู่เรื่อย ท่านนึกถึงพระที่อกอยู่เรื่อย".."

*คัดลอกจากหนังสือ ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน เรื่องที่ 74 หน้า 181 โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

การเพิ่มรัศมีกาย หรือ..ออร่า

    รัศมีกายมนุษย์ เป็นแสงจากพลังงานไฟฟ้า และ พลังแม่เหล็ก ซึ่งเกิดขึ้นได้และก็หมดไปได้   เมื่อมีชีวิต ย่อมมีแสงออร่า (รัศมีกาย) เพราะเป็นแสงจากธรรมชาติ  . การเพิ่มพลัง  รัศมี ออร่า     เกิดจาก คิดบวก คิดดี ทำดี พูดดีแล้ว.ยังสามารถใช้ธาตุ4(ดิน น้ำ ลม ไฟ)  เช่น..ใช้น้ำพระพุทธมนต์ พลังแสงเทียน มาเพิ่มรัศมีได้    

  การใช้เทียนจุดไฟ   มาเสริมออร่าเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เป็นการเพิ่มพลังปราณทางหนึ่งเทียนที่ใช้ในท้องตลาดทั่วไป  จะทำมาจากสารเคมี แต่ในพิธีเพิ่มรัศมี  ควรเป็นเทียน ทำจากขี้ผึ้งแท้  ยิ่งดี  และเทียนแต่ละสีความหมาย ต่างกัน
1.เทียนสีแดง    เพิ่มพลัง ในผู้ที่รู้สึกหมดแรงไม่กระตือรือร้น เบื่อหน่าย  ”

2.เทียนสีส้ม       ช่วยขจัดความเศร้าซึม หงอยเหงา ทำให้รู้สึกสดชื่น “ 

3.เทียนสีเขียว    เด่นด้านความอุดมสมบูรณ์  เงินทอง ความมั่งคั่ง  
4.เทียนสีน้ำเงิน หรือเทียนสีฟ้า  การใช้พลังคำพูด ใช้ในการสื่อสาร การเจรจา
  
5.เทียนสีม่วง     นำความสงบเข้าสู่ร่างกาย ใช้ลดความกังวล ความฟุ้งซ่าน ความตื่นกลัว และช่วยให้นอนหลับง่าย  

  6. เทียนสีขาว  มีพลังแห่งความบริสุทธิ์และความสงบนิ่ง  ความเป็นอิสระ  และปล่อยวาง 

   7.เทียนสีดำ   ใช้ในพิธีกรรมบางอย่างเท่านั้น เช่น การไหว้พระราหู ไหว้เจ้ามหาป่าช้า หรือพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ เ เป็นสีแห่งความเครียด 

** เทียนสีทอง   เป็นเทียนพิเศษที่ใช้เป็นเกราะปกป้องคุ้มครองออร่า และใช้เชื่อมต่อพลังจากแผ่นดิน...

**..“แต่ก่อนจุดเทียนสีทอง..จะต้องจุดเทียนให้ครบทั้งเจ็ดสีเสียก่อน”..

 //..การจุดเทียน 7 สี    .ให้ตั้งเทียน เป็นครึ่งวงกลม  มีกระเบื้องเซรามิกรองเทียน(แทนธาตุดิน)  + แก้วใส่น้ำให้เต็ม(แทนธาตุน้ำ)  + ธูป (แทนธาตุลม ) +และเทียน(แทนธาตุไฟ)..ตามแม่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
 
 **...การกระทำทุกอย่าง..ทั้งการจินตนาการ ..ความคิด ..ที่เด่นชัด..จะทำให้เกิดพลังสั่นสะเทือนออกไป (มาจาก แสงที่มารวมกันในกายของมนุษย์ แล้วเกิดแรงสั่นสะเทือน )

/**... พลังความคิด จินตนาการ  มันจะสร้างโปรแกรมแห่งจิต  แผนที่ชีวิต.. ถ้าคิดดี พูดดี    ชีวิตของเราจะไปตามนั้น  ดังนั้นอย่าคิดลบ ดูถูกตนเอง...อย่างเช่น ถ้าติดหนี้..จงอย่าบอกว่า”เราไม่มีเงิน เราจน”...แต่ให้คิด พูดว่า  “เรากำลัง จะเป็นอิสระทางการเงิน เรากำลังจะรวยแล้ว..” 

..
**..หากเราถูกทอดทิ้ง ถูกดูถูก เหยียดหยาม.อย่าบอกตนเองว่า..”เรานี่.ไม่ได้เรื่อง..เราไม่เก่ง..เราบุญน้อย..เราไม่ดีพอ”...แต่จงบอกตนเองว่า..”เรากำลังสร้างบารมีใหญ่..จึงถูกทดสอบกำลังใจ..แต่เราจะผ่านมันไปได้..เราเป็นคนดี มีอำนาจวาสนา..มีบารมี..และจะพบความสำเร็จเร็วๆนี้”

     .... คำพูดนี้   จะเป็นแรงสั่นสะเทือน..ให้พลังแสงกายทิพย์...โปรแกรมแห่งจิต..จะหาหนทางที่จะแก้ปัญหาทางการเงิน  ปัญหาชีวิต..ให้เราเอง   ..**เราต้องเคารพจิตของเราให้มาก..เพราะ..ไม่มีใครผูกพันกับเรา..อยู่กับเรามายาวนานเท่า..จิต..นี้อีกแล้ว....รักและเคารพ.ปลอบโยน ให้กำลังใจ..จิต ตนเอง..ให้มากๆ..สาธุ

”สี”..ในที่นี้..หมายถึง.สีรัศมี ของกายทิพย์(ออร่า)..ที่คลุมอยู่รอบกายหยาบกายเนื้อมนุษย์ 

       สีกายทิพย์ คือสีของพื้นฐานจิตใจ   ส่วนสีของรัศมีกาย คือ อารมณ์ในปัจจุบันขณะนั้น ซึ่งสามารถปลี่ยนแปลงได้       ปัจจุบัน มีกล้องเคอร์เลียน (กล้องถ่ายภาพออร่า)  จะเห็นแสงสีต่างๆที่อยู่รายล้อมรอบตัวเรา   จะเปลี่ยนไปได้ตามอารมณ์ 
 
**..แสงกายทิพย์ของเราทุกคน มีตั้งแต่เกิดแล้ว  แสงกายทิพย์แต่ละคน จะมีความถี่หรือแรงสั่นสะเทือนไม่เท่ากัน   ถ้าใกล้เคียงกัน  ย่อมจะมีความรู้สึก   ถูกคอ เข้าใจความรู้สึกดีๆต่อกัน   ถ้ามีความถี่หรือแรงสั่นสะเทือน แตกต่างจากเรา  มักไม่ชอบหน้ากัน  และ.เราสามารถเพิ่มรัศมีกายทิพย์ได้.ทั้งจากตัวเราเอง และสิ่งแวดล้อม

  **... แสงกายทิพย์มีทั้งหมด 7 ชั้น  คนทั่วไปจะมีแสงกายทิพย์ล้อมรอบกายหยาบในระยะ8-10 ฟุต ... สำหรับนักบุญ  พระมหาโพธิสัตว์.อาจแผ่รัศมีกายทิพย์ออกไปไกลได้หลายกิโลเมตร   ใจเมตตา สะอาดเท่าไร.. แสงกายทิพย์ยิ่งมีแรงสั่นสะเทือนมาก..และแผ่รัศมีไปไกลมากขึ้น  

//..ผลของแสงออร่า.เหมือนเกราะกำบัง..ทำให้พลังวิบากกรรม ไม่สามารถเข้าใกล้ตัวของเราได้ง่าย..และพลังกายทิพย์   มีพลังอำนาจ ดึงดูด ความรัก การเงิน การงานเข้ามาในชีวิตของเราได้ง่าย...  

  *...แต่ถ้าเมื่อไหร่แสงกายทิพย์ของเราน้อย  อ่อนแรง  ชีวิตของเราจะมีแต่เรื่อง อุปสรรค หมือนมีเคราะห์ *.. เพราะแสงกายทิพย์ มันแคบมาก  จนทำให้เจ้ากรรมนายเวรสามารถตามมาพบกับตัวเราได้ 

 **..รัศมีกาย(ออร่า)  จะบอกถึงสุขภาพ ทั้งทางกาย ทางจิต  แสงออร่า ริบหรี่  เว้าแหว่งแตกกระจาย ผลก็คือ ทำให้เหน็ดเหนื่อย ท้อถอย ไร้พลัง ถูกผลักไส   หรือพลาดหวัง อกหัก ฯลฯ     เศรษฐกิจ สังคม ครอบครัว  บีบคั้น จะทำให้แสงกายทิพย์ของเราอ่อนแอ   เราจึงรู้สึกล้มเหลว   เจ็บป่วย ท้อใจ  ซึมเศร้า..ฆ่าตัวตาย

ที่มา
มโนธาตุ โพธิญาณ

เรื่อง "หลงตนว่าดีวิเศษเมื่อไร ลงนรกเมื่อนั้น"


(โอวาทธรรม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
(จากหนังสือ พ่อสอนลูก หน้า ๒-๓)

คนเจริญกรรมฐานนี้ มิใช่ไปสวรรค์เสมอไป ถ้าหลงตัวเมื่อไร ลงนรกเมื่อนั้น คนที่จะมีดี หรือไม่มีดีนี่ เราสังเกตุกันง่าย คนที่มีความดี มีสมาธิเข้าถึงใจแล้ว เขาไม่พูดส่งเดช มีกิริยาเรียบร้อย ถ้าจะพูด ก็มีเหตุมีผล ไม่สักแต่ว่าพูด นี่เป็นเครื่องสังเกตุภายนอก

ถ้ายิ่งทรงสมาธิเป็นฌาน ทรงฌานด้วยแล้ว พวกนี้ขี้เกียจพูดมากที่สุด เห็นหน้าคนแล้วก็เบื่อในการพูด ไม่อยากจะพูด เพราะถ้าไปพูดเข้านะ มันเสียเวลาทรงสมาธิเขา ดีไม่ดีไปชวนเขาพูดเหลวไหลเข้า ก็เป็นการทำฌานเขาเสื่อม พวกนี้รังเกียจในการพูด เมื่อไม่มีความจำเป็น เขาจะไม่พูด

เอาสังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดอารมณ์ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง


นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและ
ได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์
เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงจิตกับสังโยชน์ 
ว่าเราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติ
ตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่าเรา
เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหัต ตามแบบคิด
แบบเข้าใจเอาเอง

สังโยชน์ ๑๐

สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จม
อยู่ในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง คือ

๑.สักกายทิฏฐิ
มีความเห็นว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา 
สังขาร วิญญาณ นี้ เป็นเรา เป็นของเรา 
เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา

๒.วิจิกิจฉา
สงสัยในผลการปฏิบัติว่าจะไม่ได้ผลจริงตามที่ฟังมา

๓.สีลัพพตปรามาส
ถือศีลไม่จริงไม่จัง สักแต่ถือตามๆเขาไปอย่างนั้นเอง

สามข้อนี้ ถ้าตัดได้เด็ดขาด ท่านว่าได้บรรลุเป็น
พระโสดากับพระสกิทาคามี

๔.กามราคะ
ความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น 
รส และอาการถูกต้องสัมผัส

๕.ปฏิฆะ
ความกระทบกระทั่งใจ ทำให้ไม่พอใจ อันนี้เป็น
โทสะแบบเบาๆ

ข้อ ๑ ถึง ๕ นี้ ถ้าละได้เด็ดขาด ท่านว่าบรรลุเป็นอนาคามี

๖.รูปราคะ
พอใจในรูปธรรม คือความพอใจในวัตถุ หรือรูปฌาน

๗.รูปราคะ
พอใจในอรูป คือเรื่องราวที่กล่าวถึง หรือในอรูปฌาน

๘.อุทธัจจะ
อารมณ์ฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทาง

๙.มานะ
ความถือตนโดยความรู้สึกว่า เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา 
เราเสมอเขา

๑๐.อวิชชา
ความโง่ คือ หลงพอใจในกามคุณ ๕ และกำหนัดยินดี
ในกามคุณ ๕ ที่ท่านเรียกว่า อุปาทาน เป็นคุณธรรม
ฝ่ายทรามที่ท่านเรียกว่า อวิชชา

สังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อนี้ ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว 
จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ ๑๐ อย่างโดยไม่
กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตผล

ประวัติหลวงพ่อโสธร


มีเรื่องราวที่เล่าขานกันมานานแล้วในครั้งโบราณว่าในกาลครั้งนั้นยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนปลาย มีพระพุทธรูปลอยน้ำมา3องค์ที่แม่น้ำบางปะกง พอมาถึงบริเวณสถานที่ แห่งหนึ่ง ซึ่งเรียกชื่อว่าอะไรก็ไม่ประจักษ์ ก็มีชาวบ้านเห็นพระพุทธรูปลอยน้ำมาทั้ง 3 องค์เกิดเอะอะโวยวายขึ้นให้ช่วยกันอัญเชิญขึ้นมาบนฝั่ง ด้วยการเอาเรือออกไป อัญเชิญ ด้วยการช่วยกันยกขึ้นเรือแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะยกเอาขึ้นมาไม่ไหว จึงเปลี่ยนวิธีการเป็นเอาเชือกเส้นใหญ่ไปคล้ององค์พระทั้ง3องค์อย่างแน่นหนา แล้วให้ชาว บ้านที่มีอยู่ชักลากดึงจะเอาขึ้นมาบนฝั่งน้ำ ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จเพราะแรงชาวบ้านที่มีอยู่เป็นจำนวนมากมายนั้น

ไม่อาจจะฉุดดึงรั้งเอาองค์พระทั้ง3องค์ที่ลอยปริ่มๆน้ำอยู่ขึ้นมาได้ไม่สำเร็จ เพราะเชือกขาด รั้งเอาไว้ไม่อยู่ ประกอบกับ กระแสน้ำเกิดปาฏิหาริย์ปั่นป่วนขึ้นมาเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทำให้พระพุทธรูปทั้ง3องค์จมหายลับสายตาไปท่ามกลาง ความเสียดายของผู้คนที่มีอยู่ ซึ่งเห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน พากันยกมือไหว้ท่วมศีรษะ บางคนก็พูดว่าไม่มีบุญเพียงพอที่จะ อัญเชิญพระพุทธรูปทั้ง3องค์ขึ้นมาได้

ผู้คนในสมัยนั้นโจษขานกันไปต่างๆนานาพากันคิดว่าอย่างนั้นคิดว่าอย่างนี้ไปจนบางทีก็เลยเถิดไปไหนต่อไหน บ้างก็ว่า เทวดาฟ้าดินไม่โปรด หลวงพ่อก็ไม่ยอมมาประดิษฐานอยู่บนฝั่งน้ำ หากอัญเชิญขึ้นมาได้แล้ว ก็จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดทันที เรื่องราวการโจษขานกันไปมากมายนี้เลยทำให้ชาวบ้านพากันเรียกสถานที่ ที่พระพุทธรูปทั้ง3 องค์ มาสำแดงปาฏิหาริย์ ลอยวนเวียนไปมาว่า "สามพระทวน" เรียกกันเรื่อยไปนานเข้าก็เพี้ยนกลายเป็น "สัมปทวน" กันไปในที่สุด

จากนั้นต่อมาพระพุทธรูปทั้ง3องค์ที่ลอยน้ำมาในแม่น้ำบางปะกงก็ล่องลอยกันไปเรื่อยๆ องค์หนึ่งลอยไปทางบางพลี ไปผุดขึ้นที่ลำคลองวัดบางพลี ชาวบ้านอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานเอาไว้ที่วัดบางพลีได้โดยง่าย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะพระพุทธรูปองค์นี้ท่านต้องการจะประดิษฐานอยู่ ณ ที่ตรงนี้ก็ได้

อีกองค์หนึ่งลอยออกไปที่บริเวณบ้านแหลมสมุทรสงคราม ชาวบ้านตีอวนได้องค์พระขึ้นมาแล้วอัญเชิญไปประดิษฐาน ที่วัดบ้านแหลม หรือในปัจจุบันคือวัดเพชรสมุทรวรวิหาร

อีกองค์หนึ่งผุดขึ้นมาที่หน้าวัดเสาธงทอนหรือ "วัดโสธร"ที่แม่น้ำบางปะกงชาวบ้านช่วยกันฉุดลากขึ้นมาด้วยเชือก อีกเช่นเดียวกันแต่ก็ไม่สำเร็จไม่อาจจะอัญเชิญขึ้นมาบนบกได้ มีผู้เสนอให้ไปเชิญอาจารย์ผู้ที่มีความรู้ ทางด้านเวทมนต์คาถามา เพื่อทำพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นมาจากกระแสน้ำให้ได้ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จ เมื่ออาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณท่านนั้นตั้งศาล เพียงตาขึ้นมาตามโบราณพิธีแล้วเอาสายสิญจน์ไปคล้องเอาไว้ที่พระหัตถ์ ตอนนี้เองปรากฏว่าอัญเชิญเอาขึ้นมาบนฝั่งน้ำ ริมตลิ่งของวัดเสาธงทอนได้อย่างง่ายดายมาก แต่เมื่อเอาเชือกเส้นใหญ่ไปคล้องผูกมัดองค์ท่านแล้วดึงเข้ามาไม่เป็นผลอะไรเลย นับว่าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดของผู้ที่พบเห็นเป็นอันมาก

เมื่อนำพระพุทธรูปที่ลอยน้ำขึ้นมาได้ ชาวบ้านก็อัญเชิญเข้าไปประดิษฐานเอาไว้ในพระอุโบสถทันทีรวมกับพระพุทธรูป องค์อื่นๆที่มีอยู่ พระพุทธรูปองค์นี้ปรากฏว่าเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยลงรักปิดทองเอาไว้ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเป็นลักษณะ ของพระพุทธรูปศิลปะล้านช้าง คือศิลปะของเวียงจันทร์ ซึ่งมีการสร้างพระพุทธรูปลักษณะเช่นนี้กันทั่วไปที่ล้านช้าง และหลวงพระบางและเมืองอื่นๆที่ภูมิภาคแถบนี้ ดูได้จากพระพุทธรูปลักษณะเดียวกันที่เวียงจันทร์ และหลวงพระบางตลอดจนอินโดจีน รวมทั้งทางภูมิภาคของภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน ชาวบ้านเลยพากันถือ เป็นเรื่องสำคัญมากที่ได้ พระพุทธรูปองค์สำคัญนี้มาพากันมากราบไหว้กันมากมาย

ในครั้งกระโน้นเล่าลือกันไปทุกสารทิศทีเดียวพากันเรียกท่านว่า"หลวงพ่อโสธร"ตามชื่อวัดที่เปลี่ยนมาจาก "เสาธงทอน" แล้วก็เป็น "หลวงพ่อโสธร"มาตราบกระทั่ง ปัจจุบัน.

"หลวงพ่อโสธร" เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองแปดริ้วหรือจังหวัดฉะเชิงเทราโดยแท้จริงตลอดมา "หลวงพ่อพุทธโสธร" หรือ "หลวงพ่อโสธร" หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง1.48 เมตร เท่าที่มองเห็นองค์หลวงพ่อโสธรอยู่ในปัจจุบันนี้

ผู้รู้เล่าว่าองค์จริงของหลวงพ่อพุทธโสธรนั้นเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ที่องค์เล็กกว่าที่เห็นกันอยู่ แต่เนื่องจาก หลวงพ่อโสธรเป็นพระพุทธรูปที่มีรูปลักษณ์งดงามมาก มีผู้เกรงว่าจะเป็นอันตรายอาจจะมีผู้ใจบาปมากระทำมิดีมิร้ายได้ จึงจัดการสร้างพระพุทธรูปปูนปั้นขึ้นใหม่แล้วเอาองค์จริงของหลวงพ่อโสธรประดิษฐานไว้ข้างในไม่ให้ใครเห็นจนบัดนี้.

ที่มาhttp://chachoengsao.moj.go.th

23 สิงหาคม 2563

วิธีฝึกทรงอารมณ์ให้ความเป็นทิพย์อยู่ได้นานๆ


การทรงอารมณ์มีความสำคัญมาก สมมติว่าถ้า
ท่านได้ ทิพจักขุญาณ หรือว่าได้ มโนมยิทธิ 
บางท่านคุยกับพรหมหรือเทวดาหรือพระอริยะ 
คุยกันได้ไม่นานละ หล่นป๋อง ไม่รู้อย่างไร 
นั่งพลาดเก้าอี้หล่นไม่รู้ตัวแล้ว

บางทีเห็นหน้าเทวดา เห็นหน้าพรหม อยากจะคุย 
ใช้เวลา ๒-๓ นาที ก็คุยกันคำสองคำหายไปแล้ว 
ความจริงท่านไม่ได้หาย เราหาย ทั้งนี้เพราะอะไร 
เพราะว่าไม่ได้ฝึกการรักษาการทรงอารมณ์

วิธีฝึกทรงอารมณ์ให้ทำอย่างนี้ 
เราจะนั่งหลับตาก็ได้ ลืมตาก็ได้ 
ที่ไหนสบายอากาศโปร่งๆ นั่งดูยอดไม้ นั่งดูนกบิน
ผีเสื้อบิน ตามใจเถอะ ปล่อยใจสบายๆ 
ในขณะนั้นจับลมหายใจเข้าออก รู้ลมหายใจเข้า
ออก หายใจเข้าออกคิดเป็น ๑ ภาวนาด้วยก็ได้ 
จับนับ ๑๐ ขยับนิ้ว
หายใจเข้าหายใจออกขยับนิ้วเป็น ๑ 
หายใจเข้าหายใจออกเป็น ๒ เอาแค่ ๑๐ ช่วง นี่ให้
ทรงตัวจริงๆ

ถ้าเราคิดว่าเราจะทรงอารมณ์ให้ถึง ๑๐ 
ถ้าในช่วงที่ไม่ถึง ๑๐ ถ้ามีอารมณ์แทรกเข้ามา
ต้องลงโทษ เริ่มต้นใหม่ทำให้ได้ 
ถ้าหากพยายามรักษาอารมณ์ ๑ ถึง ๑๐ มันก็ไม่
เกิน ๗ วัน มันจะกลายเป็น ๑ ถึง ๒๐๐ ถ้าไม่ถอน
ตัวจะมีสมาธิสูงขึ้นนะ

ถ้าหากว่าพยายามฝึกอารมณ์แบบนี้เรื่อยๆ
ทีหลังเวลาไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมก็ดี ไปนิพพาน
ก็ดี ไปสัตว์นรก ไปสำนักพระยายมก็ดี หรือว่านั่ง
อยู่ตรงนี้เราต้องการจะพบใครที่ตายไปแล้ว 
ท่านจะเป็นเทวดาก็ดี เราจะคุยกันแบบสบายๆ ทั้ง
วันก็ได้ นี่ต้องเป็นการรู้จักการทรงอารมณ์

ธรรมโอวาท พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี
ลิงดํา)

อารมณ์ของณานต่างๆ

หลวงพ่อต้องฝึกทั้ง 4 สาย
ผู้ถาม : ทำไมหลวงพ่อต้องฝึกทั้ง 4 สายล่ะครับ? คือ สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต

หลวงพ่อ : ความจริงมันไม่จำเป็นต้องทำถึง 4 สายหรอก สายเดียวก็พอแล้ว แต่เราไม่หมดสงสัยนี่ ใช่ไหม..ไม่งั้นคุยกับพวกเขามันไม่เข้าใจ อ่านแค่หนังสือมันเข้าใจจริงๆ น่ะเรื่องของด้านจิตใจ ถ้าอ่านหนังสืออย่างเดียวยังหยาบมาก แค่ฌาน 2 นี่พังแล้ว เราดูตำราคล่องเป็นครูเขาด้วย เคยเทศน์ด้วย ตั้งแต่ฌานต้นถึงนิพพานเราพูดได้ พอทำจริงถึงฌาน 2 พังเลย! ไม่รู้!

ฌานที่ 1 มันมีองค์ 5 คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข และ เอกัคคตา ใช่ไหม พอถึงฌานที่ 2 วิตก วิจาร ออกไป..เหลือ ปีติ สุข เอกัคคตา พอทำเข้าจริงๆ ปั๊บ! พอถึงฌาน 2 มันหยุดภาวนา เราเลยไม่รู้เรื่องเลย พอหยุดไปพอจิตมันตกปั๊บ! อุ๊ยตายจริง! ลืมภาวนานี่หว่า นี่ไม่รู้ว่าเข้าญาน 2 แค่นี้แค่ฌานโลกีย์ ถ้าสูงขึ้นไปยิ่งแย่ใหญ่

ผู้ถาม  มันไม่เป็นมารใช่ไหมครับ?

หลวงพ่อ  ไม่ใช่มาร มันเข้าใจผิดว่าคือเข้าฌาน 2 เขาตัด วิตก วิจาร ใช่ไหม พอมันตัดเข้าจริงๆ เราไม่รู้ว่าตัด วิตก-ตรึก วิจาร-ตรอง ใช่ไหม แต่ความจริงไอ้ตัวภาวนานี่มันทั้งตรึกทั้งตรอง พอเข้าถึงญาณ 2 ปั๊บ! มันตัดของมันเอง เราก็เข้าใจผิดคิดว่าหลับ แค่นี้เองไม่ถึงแค่ไหนเลย แค่ประถมปีที่ 2 ตายแล้ว จึงบอกว่าถ้าปฏิบัติไม่ถึงแล้ว อย่าไปคุยกันเลย ท่านได้ขั้นไหน เราถามท่านอธิบายขั้นนั้นเลยไปท่านอธิบายเท่าไรก็ผิด

ฉะนั้น ท่านที่ได้พระโสดาบัน ถ้าไปถามอารมณ์ของพระสกิทาคามี พระอนาคามี ท่านไม่ตอบ ท่านพูดแค่นั้น ถ้าถามต่อไปท่านไม่พูด ถ้าพูดผิดแน่!

แต่ความจริงพวก "สาวกภูมิ" นี่เขาสบาย ถ้าเป็นฝ่ายสุกขวิปัสสโกนะ เขาก็เรียนกันแค่นั้นแหละ! เรียนง่ายๆ จุดใดจุดหนึ่ง ไม่ต้องเอาทั้งหมด แต่ว่าถ้าเราจะเรียนเตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ต้องเรียนมากหน่อย ถ้าจะเรียนถึงขั้นเตวิชโชขึ้นไป ต้องละเอียดนิดหนึ่ง ต้องไปมั่วสุมกับนิวรณ์ 5 ประการให้คล่องตัว แล้วจะต้องไปคบหาสมาคมกับกสิณ ถ้าหากว่าไม่ไปคบกับกสิณ ไม่มีทางได้วิชชาสามใช่ไหม ถ้าเป็น อาทิกัมมิกบุคคล คือ ผู้ที่ยังไม่เคยได้มาก่อน ต้องไปเริ่มต้นใช้กสิน 3 อย่าง คือ กสิณไฟ กสิณสีขาว กสิณแสงสว่าง แต่ว่าคนที่ฝึกมาแล้วในกาลก่อนกสิณอะไรก็ใช้ได้ เพราะเคยได้มาแล้ว

อันนี้หมายความว่าจะต้องได้ถึงฌาน 4 แล้วจะมาปล้ำอารมณ์ให้ได้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ กับ ทิพจักขุญาณ ไม่ใช่ของง่ายเลย ใช้เวลาเยอะ! ต้องใช้ความเพียรอย่างหนัก ต้องใช้ความบ้าพอ ถ้าบ้าไม่พอไม่ได้ ต้องใช้อารมณ์เกินกว่าคนธรรมดา หมายความว่าเราจะต้องไม่หนักใจ ไอ้เรื่องความทุกข์ยากลำบากในการฝึก ไม่หนักใจสู้สะบัด แล้วต้องมั่นใจในกำลังใจของตนเอง

ประการที่ 2 ไม่เห็นความสำคัญของชีวิต จุดนี้แหละเป็นจุดที่มีความสำคัญที่สุด ไม่ว่าฌานชั้นไหนล่ะ! ถ้ายังมีความห่วงในชีวิต ไม่มีทาง บางทีร่างกายดีๆ พอนั่งปุ๊บ! ท้องมันเสียดอืดขึ้นมาแล้ว ฉันเคยโดนหลายหน มันไม่อืดเฉยๆ มันแน่นจุกขึ้นมาหน้าอก ทำท่าจะตาย ทำไงก็ไม่หาย ลองดูสิว่าไม่หายก็กินยาเรื่อย กินยาก็ไม่หาย ดมยาก็ไม่หาย ผลที่สุดจุดธูปจุดเทียนบูชาพระรัตนตรัยบอก เออ..มึงพังได้ก็ดีสิวะ! กูจะได้สบายเสียที เป็นขี้ข้ามานานแล้ว เอ้า! เอาเลยรวบรวมกำลังใจ พอจับลมหายใจเข้าออกมันหายเลย 

ไอ้นี่เขาเรียกอะไรรู้ไหม "ขันธมาร" การป่วยไข้ไม่สบาย การปวดโน่นเจ็บนี่เขาเรียกว่า "ขันธมาร"

ขันธ์ คือร่างกาย มาร คือผู้ฆ่า อาการทางร่างกายมันเกิดขึ้นมาเป็นการฆ่ากำลังใจที่จะก้าวเข้าสู่ความดี ถ้าเราแพ้มันตอนนี้เราพัง นี่ถ้าคนดีเขาไม่ไหวแล้ว หายใจไม่ออกอึ้ดๆ ไม่ไหวเลิกเดี๋ยวตาย แต่คนบ้าบอก เอ้า! จะตายก็ช่างมัน! พอมันเห็นเราบ้ากับมันก็ไม่เอาไปเลย นี่หลายวาระที่มีอาการแบบนี้ บางทีนั่งๆไป หวัดก็ไม่เป็นดันเสือกหายใจไม่ออกเสียอีกแล้ว จมูกตันมาเฉยๆ ก็หายานัตถุ์หายาดมมันก็ไม่หาย ถ้าเชื้อสายของการเป็นหวัดมันมีอยู่เราก็ไม่ว่า ไอ้นี่มันดีโปร่งๆ สบายทั้งกายและใจโปร่งหมด พอเริ่มจับจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิมันมาเลย พอมันมาปั๊บคลายอารมณ์มาหน่อย ยอมแพ้มันนิดเอายาที่เคยใช้ทำไปซีไม่มีอีกแล้ว ไอ้นี่มาอีกแล้วเคยเจอบ่อยๆ เลยบอก เอาเลยเพื่อนเอ๋ย! ตามสบายเถอะ! ถ้าเอ็งอยากจะทรมานขันธ์ 5 ก็ทรมานเถอะ! แต่เอ็งอย่าทรมานข้าคือจิต ไม่มีทาง ร่างกายพังเมื่อไรกูสบายเมื่อนั้น จับอารมณ์ตึ้ก โน่นเผ่นพรวดไปนอนบ้านสบายใช่ไหม ตอนนั้นบ้านอยู่แค่พรหม เพราะว่ายังเป็น "พุทธภูมิ" ขึ้นไปนอนกระดิกเท้าสบายโก๋ มองมาข้างล่างเน่าแล้วยังหว่า..ไม่เน่าก็นอนต่อไป

(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 213 เดือนธันวาคม 2541 หน้า 58-60)

การยกระดับจิตในมิติที่สูงขึ้น

สองแผนใหญ่เผชิญหน้ากัน
โดย Monique Mathieu
22 ส.ค. 2020
“ เราจะพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของคุณสักเล็กน้อยเพราะมันสำคัญมากเพราะพลังแห่งความมืดกำลังเร่งความเร็วในแง่ที่ต่ำกว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก
พวกเขาตั้งค่าเครือข่ายแม่เหล็กไฟฟ้าที่ต่ำกว่า
สิ่งเหล่านี้เป็นเครือข่ายที่ขัดขวางจิตสำนึกของมนุษย์โดยสิ้นเชิงและทำให้ความสามารถในการวิเคราะห์ของมนุษย์และตรรกะของจิตสำนึกของพวกเขาอ่อนแอลงอย่างมาก ดังนั้นผ่านทางอินเทอร์เน็ตโทรศัพท์และสื่อทั้งหมดพวกเขากำลังสร้างเครือข่ายของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์มากมาก
ดังที่เราได้ทำไปแล้วเราต้องการเตือนคุณโดยแนะนำให้คุณดูสื่อของคุณให้น้อยที่สุดอย่างน้อยก็สักระยะหนึ่ง

จะมีเวทีที่ความมืดไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ มันจะหยุดลงในการกระทำของมันและในขณะนั้นหลายสิ่งหลายอย่างจะเปลี่ยนไปราวกับมีเวทมนตร์ เราจะพัฒนาสิ่งนี้ด้วยเพราะเป็นสิ่งสำคัญ
แผนการของเขาจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน จะต้องไม่มีภูมิหลังของโปรแกรมที่น่ากลัวของความมืดและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องเกิดขึ้นและเป็นที่รู้จักของมนุษย์ทุกคน!
น่าเสียดายที่เราพูดว่า“ น่าเสียดาย” นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงเพราะคลื่นที่ส่งไปยังมนุษย์ทำให้ตื่นช้าลง
เราจะถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่คุณอาจเรียกว่า "โล่"! พี่น้องชาวกาแลกติกของคุณและเราจะกระตือรือร้นอย่างมากเพื่อป้องกันการปล่อยคลื่นเหล่านี้ที่เป็นอันตรายและทำลายล้างมนุษยชาติทางโลกให้ได้มากที่สุด
ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยพารามิเตอร์โครงการมืดเริ่มต้น โครงการนี้ได้รับการสะท้อนให้เห็นและดำเนินการมาหลายทศวรรษแล้วโดยกาแล็กซี่ที่ไม่เป็นมิตร
พวกเขามีความกระตือรือร้นมากเพราะโครงการของพวกเขาคือการทำให้โลกเหมาะสมในขณะที่รักษาเพื่อรับใช้พวกเขาซึ่งเป็นส่วนเล็ก ๆ ของมนุษยชาติซึ่งในทางหนึ่งจะถูกทำให้กลายเป็นก้อนกลมและพวกเขาก็ต้องการกำจัดส่วนใหญ่ให้สิ้นซาก ของมนุษยชาติที่จะไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา เราได้กล่าวไปแล้วว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อาศัยอารมณ์ของมนุษย์ส่วนใหญ่เป็นความกลัวความทุกข์ความเกลียดชังความรุนแรง ฯลฯ ...
มนุษย์ปล่อยคลื่นดังนั้นศูนย์กลางทางอารมณ์และจิตสำนึกของพวกเขาจึงปล่อยคลื่นซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ไม่เป็นมิตรเหล่านี้มาเลี้ยง พวกมันกินการสั่นสะเทือนที่ปล่อยออกมาจากส่วนของมนุษย์
แผนการของสิ่งมีชีวิตในกาแลคซีที่ไม่เป็นมิตรนั้นมีความวิปริตการชักใยและความวิปริตจนถึงขีดสุดเพราะมันทำให้มนุษย์บางคนมีความสุขทางร่างกาย พวกเขาจึงสร้างกระบวนการทั้งหมดของการเป็นทาสของมนุษยชาติทั้งหมดเพื่อที่จะวางไว้ที่บริการของมัน
สิ่งที่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ที่ทำงานในเงามืดและในเงามืดยังไม่เข้าใจก็คือมนุษย์นั้นมีสิ่งที่พิเศษและศักดิ์สิทธิ์นั่นคือความรัก!
ผ่านความรักโดยการตระหนักรู้ว่าคุณจะมีอะไรเป็นอะไรความตระหนักรู้ว่าคุณจะต้องปกป้องอธิปไตยและอิสรภาพของคุณเพื่อที่คุณจะสามารถเอาชนะพลังแห่งแสงมืดได้อย่างมีความสุข
พวกเขารู้ว่า ! พวกเขารู้ว่ามีกองกำลังขนาดมหึมาอยู่ตรงหน้า! พวกเขารู้ว่าแผนของพวกเขาจะนำไปใช้ได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ และจะจบลงด้วยความล้มเหลว
พวกเขาต้องการป้องกันไม่ให้จิตสำนึกของดาวเคราะห์เพิ่มความถี่ในการสั่นสะเทือนที่สูงขึ้นและเหนือสิ่งอื่นใดจากการเฟื่องฟูในขณะที่สติสัมปชัญญะเปิดเผยโดยสิ้นเชิงกับตัวเองเพื่อประโยชน์ที่ดีกว่าของทุกชีวิตในนั้นและในนั้น
พวกเขาสร้างเบรกชนิดหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้มนุษย์และโลกลุกขึ้นและมีสติตื่นขึ้นมา พวกเขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในระดับนี้
อย่างไรก็ตามเราอยากจะบอกคุณสิ่งนี้: เดือนกันยายนจะได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับมนุษย์เช่นกันกล่าวคือมนุษย์จะได้รับการเต้นของหัวใจซึ่งจะทำให้ม่านยกขึ้น
ทันทีที่มนุษย์สามารถมองเห็นแสงสว่างใหม่ได้เขาจะได้รับการปลดปล่อยจากม่านบางอย่างและเขาจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการช่วยแผนแห่งการต่ออายุทั้งหมดของชีวิตบนโลกนี้และชีวิตของเพื่อนมนุษย์
มันคืนระนาบแห่งแสงขนาดมหึมาซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับระนาบแห่งความมืดขนาดมหึมาการปรับเปลี่ยนที่น่ากลัวและในขณะเดียวกันก็มีระนาบพิเศษที่มีพลังมหัศจรรย์ซึ่งอยู่ในระหว่างการเคลื่อนที่ สี่เหลี่ยมจัตุรัส
ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้จะปรากฏตัวในรูปแบบที่แปลกประหลาดมาก เราหวังว่าเพราะเราจะกระตุ้นพวกเขามนุษย์จำนวนมากจะตื่นขึ้นมาเหมือนฝันร้ายและพูดกับตัวเองว่า“ แต่เกิดอะไรขึ้นกับเรา? เราปล่อยให้ตัวเองงง เราไม่มีสิทธิ์แสดงออกอีกต่อไป! ทุกสิ่งที่ผู้ปกครองพูดเป็นเรื่องโกหก! ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกจะเห็นความเป็นจริงและเราจะมีส่วนร่วมอย่างมากในการตื่นขึ้นนี้
มันจะไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน! เรากำลังบอกเพียงว่าตั้งแต่เดือนกันยายนจะมีการปลุกจิตสำนึกมากขึ้น
สิ่งที่จะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดคือกระแสจิตจะพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นเครื่องมือสื่อสารของวันพรุ่งนี้ของโลกใหม่ที่รอคุณอยู่! นี่คือวิธีที่คุณจะสามารถสื่อสารได้ไม่เพียง แต่ระหว่างตัวคุณเองกับสิ่งมีชีวิตภายในดินหรือนอกโลกพี่น้องของคุณ แต่ยังรวมถึงทุกสิ่งที่มีชีวิตไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรแร่อาณาจักรผักอาณาจักร สัตว์หรือพี่น้องมนุษย์ของคุณ
กระแสจิตกล่าวคือการสื่อสารระหว่างจิตกับใจนั้นไม่เพียง แต่ในกาแลคซีของคุณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกาแลคซีทั้งหมดด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการเพียงพอที่จะสามารถฝึกฝนได้
มันจะพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามเราเตือนคุณเหมือนกันทั้งหมดเพราะอาจทำให้คุณไม่เสถียรในชั่วขณะ
นอกจากนี้เราจะเตือนคุณเกี่ยวกับสิ่งอื่น:
หลีกเลี่ยงการมีความคิดที่ต่ำต้อยต่อใครเพราะจะถูกมอง (และนี่สำคัญมาก) ดังนั้นพยายามฉลาดในความคิดของคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้หลีกเลี่ยงการส่งความคิดที่ด้อยกว่า
เราจะยกตัวอย่างเล็ก ๆ ให้คุณ:
ถ้าคุณข้ามถนนและเห็นคนที่ไม่ใช่ทางของคุณในการมองเห็นความงามอย่าชื่นชมเพราะคุณไม่รู้ว่าคน ๆ นั้นคืออะไรคุณจึงเห็นเฉพาะส่วนที่เป็นกายภาพ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เธออยู่ในจิตวิญญาณของเธอในความเป็นจริงของเธอ! เธอจะรู้สึกเช่นนั้นทำไมทำร้ายเธอ?
ในขั้นต้นคุณจะไม่หยิบความคิดแบบคำต่อคำมันจะค่อนข้างเกรี้ยวกราด คุณจะรับรู้ถึงสิ่งสำคัญและมันจะถูกขัดเกลามากขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะนี้คุณกำลังตกตะลึงอย่างมากของ Gog และ Magog คุณกำลังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาพิเศษที่คุณเด็ก ๆ ของโลกมีโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้! เรากำลังพูดถึงโชคอันยิ่งใหญ่เพราะในระดับวิวัฒนาการจะช่วยให้คุณมีความสามารถในการวิวัฒนาการได้มากเนื่องจากการสั่นสะเทือนพลังงานทั้งหมดความช่วยเหลือมากมายที่คุณจะได้รับประโยชน์หากคุณทำงานเพื่อแสงสว่างและด้วยแสง.
ถ้าคุณอยู่ในด้านมืดคุณจะหายนะ! อย่างไรก็ตามจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่คลุมเครือที่สุดก็จะมีความเป็นไปได้ที่จะเปิดสติและมุ่งหน้าไปสู่แสงสว่าง นี่คือทางเลือกที่จะเหลือให้กับมนุษยชาติทางโลกก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กล่าวคือก่อนการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของควอนตัม
เราอยากจะเพิ่มว่าเทคโนโลยีปัจจุบันทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามและแม้ว่ามันจะดูล้ำยุคสำหรับคุณ แต่ก็ยังคงเป็นของโลกมิติที่สามของคุณ!
คุณกำลังจะเข้าสู่โลกต่างมิติ (เราเชื่อมโยงมิติกับระดับของจิตสำนึกเสมอ) มิติสัมพันธ์กับระดับจิตสำนึกของมนุษย์ ดังนั้นคุณจะอยู่ในมิติที่ห้าซึ่งสอดคล้องกับระดับการรับรู้ที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับที่เป็นของคุณในตอนนี้
เทคโนโลยีจะไม่จำเป็นอีกต่อไปมันจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเพราะคุณจะค่อยๆเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ด้วยความคิด
เรามักจะพูดกันว่าพลังแห่งความคิดนั้นมหาศาล! ด้วยความคิดคุณสามารถสร้างเลิกสร้างคุณสามารถไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตคุณสามารถทำลายตัวเองได้ด้วย!
หากเราพูดถึงความคิดอีกครั้งก็เป็นการบอกคุณว่าแม้จะเกี่ยวข้องกับปัญหาทางร่างกายคุณก็สามารถเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ลงรอยกันให้เป็นสุขภาพที่สมบูรณ์ พลังแห่งความคิดพร้อมทุกสิ่งที่จะนำมาสู่คุณโดยแสงจะมหึมา
เราขอเตือนคุณด้วยว่าอย่าทำอะไรกับคณะใหม่เหล่านี้ คุณจะต้องคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงนี้ซึ่งจะมีความสำคัญ
เมื่อต้นปีเราบอกคุณแล้วว่าปี 2020 จะแย่มากสำหรับบางคนและยอดเยี่ยมสำหรับคนอื่น ๆ ! ในปัจจุบันคุณเห็น แต่สิ่งที่น่ากลัวคุณไม่เห็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ แต่คุณจะได้สัมผัสกับมันภายในตัวคุณเองผ่านการเปลี่ยนแปลงของคุณเองผ่านการปลุกจิตสำนึกความสามารถทางจิตของคุณ ฯลฯ
มันจะไม่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดเพราะคุณไม่สามารถยอมรับได้คุณจะรู้สึกกระวนกระวายใจมากคุณไม่สามารถยอมรับได้ทั้งหมดในคราวเดียวว่าความสามารถพลังจิตและจิตวิญญาณเป็นของคุณ เปิดเผยทั้งหมดในครั้งเดียว นี่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ที่เปราะบางอย่างเธอ! "

https://messagescelestes.ca/deux-plans-gigantesques-face-a-face/

วิธีการปลุกเสกวัตถุมงคล หลวงพ่อพรหม

ล.พ. พรหม มีวิธีการปลุกเสกวัตถุมงคลไม่เหมือนใคร ส่วนใหญ่จะปลุกเสกหลังจากเที่ยงคืนไปแล้ว โดยเอาวัตถุมงคลต่าง ๆ ใส่ลงในบาตร ถ้ามีเทียนชัย หลวงพ่อจะจุดเทียนชัยหยดน้ำตาเทียนลงในขันน้ำมนต์ แล้วนำเทียนชัยวนโดยรอบวัตถุมงคล 9 รอบ แล้วจึงเอาแป้งดินสอพองมาเจิมที่วัตถุมงคล เอามือคนไปรอบ ๆ โดยที่หลวงพ่อลืมตาเพ่งกระแสจิต อัดพลังต่อมาก็เอาน้ำพระพุทธมนต์ประพรมวัตถุมงคลทั้งหลาย แล้วจับภาชนะใส่วัตถุมงคลเพ่งกระแสจิตอีกครั้ง จนกระทั่งเห็นวัตถุมงคลเหล่านั้น มีรังสีพุ่งออกมา จึงเอาน้ำพระพุทธมนต์ประพรมวัตถุมงคลอีกครั้ง จึงเสร็จพิธี
                เราจะสังเกตได้ว่าพระเครื่องเนื้อผงของหลวงพ่อหลายรุ่น จะมีรอยบิ่น เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เพราะเกิดจากหลวงพ่อเอามือคนนั่นเอง
วัดช่องแค ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 ตำบลช่องแค เป็นวัดที่สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี 2458 โดยหลวงพ่อพรหม ถาวโร พระเกจิชาวพระนครศรีอยุธยา หลังจากที่ท่านได้แวะธุดงค์ที่บ้านช่องแค ขณะที่นั่งสมาธิในถ้ำท่านได้เกิดปัญญาขึ้นโดยฉับพลัน ท่านจึงได้สร้างวัดขึ้นและถวายเป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา ปัจจุบันศิษยานุศิษย์ได้นำร่างที่ละสังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงพ่อพรหม ถาวโร มาให้ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาได้กราบไหว้ที่วัด

บุญญาภินิหารปรากฎ
          มีศิษย์ของหลวงพ่อพรหมคนหนึ่ง ถูกเกณฑ์ทหาร และได้รับเลือกเป็นทหาร  ได้มากราบ
หลวงพ่อพรหม  ท่านได้มอบสิ่งหนึ่งให้คือ ผ้าขาวม้า โดยได้จารยันต์โสฬส ด้วยมือท่านเอง  หลัง
จากนั้นศิษย์ผู้นี้ได้ถูกฝึกและส่งไปเป็นทหารปราบปรามผู้ก่อการร้าย สมัยก่อนผู้ก่อนการร้ายชุงกว่า
ยุมเสียอีก  และศิษย์ผู้นี้ทุกครั้งที่ราดตระเวณ จะนำผ้าขาวม้าผืนนี้ผูกเอวไว้  และวันหนึ่งก็เกิดเรื่อง
เข้าจนได้ กองราดตระเวณที่ชายผู้นี้อยู่ ปะทะกับผู้ก่อนการร้ายเข้า โดนยิงด้วยปืนเอ็ม 16
พรุนทั้งร่างเจ้าตัวสลปเข้าใจว่าตาย เพื่อน ๆ ทหารเข้าใจว่าตายเช่นกัน  พอจะนำร่างศิษย์ของท่านกลับ แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง เสื้อพรุนไปทั้งร่าง แต่กระสุนไม่ระคายผิว แถมยังมีลมหาย
ใจอยู่ เพียงแค่สลปด้วยความเจ็บที่กระสุนกระทบร่าง 30 กว่านัด  แต่ไม่สามารถที่จะกระชากวิญญาณจากร่างได้   ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่ว ทำให้ผู้คนทั้งสิบทิศที่ทราบข่าว มุ่งสู่วัดช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์
วาจาสิทธิปรากฎ

       ผ้าขาวม้าหลวงพ่อพรหมนี้ทุกคนต้องการมาก ๆ มีเท่าใดก็หมดจากวัดในเวลาอันรวดเร็วใน
สมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่  มีพระลูกวัดอยู่รูปหนึ่ง จัดหาผ้าขาวม้ามา และเขียนยันต์เอง และนำมาจำหน่าย
ภายในวัด  โดยที่ท่านไม่ทราบเรื่อง  ภายหลังท่านทราบเรื่องดังกล่าว เรียกไปตำหนิ พลั้งเผลอพูดว่า
ท่านจะบ้าหรือ ทำอย่างนี้ได้อย่างไร เท่ากับหลอกเงินชาวบ้าน  หลังจากนั้นไม่กี่เดือนพระรูปนั้น วิกลจริตตามที่ท่านได้พลั้งเผลอพูดไป
ไฟฟ้าแรงสูงช็อตไม่ตาย
         มีชายผู้หนึ่ง คล้องเหรียญสรงน้ำ (ถ้าจำไม่ผิด)  ได้ขับมอเตอร์ไซด์ฝ่าฝนที่ตกหนัก คน
เราถึงคราวเคราะห์  เสาไฟฟ้าในสมัยก่อนเป็นไม้ และด้วยแรงลมประกอบกับความเก่า สายไฟฟ้า
แรงสูงได้ห้อยลงมา  ประกอบกับฝนตกหนัก ชายผู้นั้นไม่เห็นขับฝ่าฝน ร่ายกายโดนสายไฟฟ้าที่
ห้อยลงมา เท่านั้นแหละ ไฟฟ้าแรงสูงช็อตทันที มอเตอร์ไซด์ไหม้ ตัวกระเด็นออกมา สร้อยคล้อง
พระเสตนเลสละลาย เสื้อขาดเป็นช่วง ๆ ประกอบกับร่างกายมีรอยดำดำ ด่าง ๆ รอยไหม้ เลือด
ออกทางตา จมูก และหู แต่เหรียญหลวงพ่อพรหม อยู่ที่หน้าอกชายผู้นี้  ชายผู้นี้ได้ถูกนำส่งตัวที่
โรงพยาบาลทันที สลปไปประมาณ 2 เดือน แต่รอดชีวิตครับ  ทีมแพทย์ที่รักษาในสมัยนั้น บอก
กับญาตว่า 1 ในล้าน ที่รอด ส่วนใหญ่โดนไฟฟ้าแรงสูงเป็น 1000-2000 วัตต์ ตายสถานเดียว
เหลือเชื่อมาก ๆ เป็นหมอมาทั้งชีวิต เห็นรายนี้รายแรก อัศจรรย์มาก ๆ (ไม่ต้องมากหรอกครับ
เพียงไฟบ้าน 220 วัตต์ ถ้าโดนดูดตายทันทีครับเห็นมาหลายรายแล้ว)
ฟ้าผ่าไม่ตาย

      มีชาวนาผู้หนึ่งคล้องพระท่าน ใส่เกี่ยวข้าวและวันนั้นฝนตก ฟ้าคะนอง จึงเดินกลับที่พัก
ระหว่างเดินกลับ ฟ้าผ่าลงมาที่ร่างชาวนาผู้นี้ เสื้อผ้าขาด ร่างกายเป็นรอยไหม้  แต่ไม่ตายครับ
เรื่องนี้เป็นที่กล่าวขวัญอีกครั้ง และล่ำลือไปทั่วจังหวัดนครสวรรค์ และชื่อเสียงกระจายทั่วภาค
กลางในเวลาต่อมา

ตกจากหลังคาโบสถ์ และห้ามลม ฝน

       ผมเคยรู้จักกับเจ้าของโรงงานไดนาโม ย่านฝั่งธนท่านหนึ่ง  เห็นเฮียคล้องเหรียญ
หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค รุ่นสรงน้ำอยู่  เฮียคนนี้เพื่อนแนะนำให้รู้จัก  จึงเอ๋ยปากขอเช่า
พระ  แต่เฮียเขาบอกปลอมนะ  ผมมั่นใจสายตาบอกว่าปลอมก็เช่า ของปลอมไม่มีค่า แต่
ผมให้ 500 บาท ซื้อพระปลอม แกเงียบไปสักพักหนึ่ง บอกว่าไม่ปล่อย ดูเป็นหรือเรา
       หลังจากนั้นมีการพูดคุยกันถูกคอ เฮียเล่าให้ผมฟังว่า สมัยหนุ่ม ๆ ญาตได้ชวนไป
ทำบุญยกช่อฟ้าโบสถ์ ที่วัดช่องแค  ตัวเฮียไม่รู้จักหรอกว่าหลวงพ่อมีชื่อเสียง แต่รู้ว่าไปถึง
วัดคนมาร่วมบุญจำนวนมากอยู่   เวลายกช่อฟ้าจะต้องมีคนอย่างน้อยประมาณ 3-4 คน อยู่
บนหลังคาโบสถ์ช่วงที่จะนำช่อฟ้าไปติดตั้ง ผลปรากฎว่าวันนั้นมีชายผู้หนึ่งพลัดตกลงมา
คนเอะอะโวยวายกันใหญ่  เฮียก็ไปดูกับเขาด้วยเห็นปฐมพยาบาลสักครู่ ชายผู้นั้นลุกเดิน
เสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น และได้ไปโรงพยาบาล  ภายหลังทราบว่าแค่ฟกช้ำดำเขียว 
เฮียแกแปลกใจตั้งแต่ตกลงมาแล้วว่าทำไมถึงไม่เป็นไร และลุกขึ้นเดินได้ แกมารู้ภายหลังว่า
ไปโรงพยาบาลตรวจเช็ค ร่างกายเพียงฟกช้ำ แพทย์ลงความเห็นว่าไม่เป็นไร ปลอดภัย
        หลังจากนั้นพอใกล้ฤกษ์ยกช่อฟ้า ฟ้าที่สว่าง แดดเปรี้ยง กลับมืดคลื้มประดุจเวลาพลบค่ำ
กรรมการวัด และชาวบ้านเห็นเข้ารู้ทันทีว่า พายุเข้าฝนตกหนักแน่นอน  กรรมการวัดได้ไปกราบ
หลวงพ่อพรหม ซึ่งท่านนั่งอยู่ในเต้นท์ว่า  ต้องเลื่อนการยกช่อฟ้าออกไปอากาศไม่อำนวย
หลวงพ่อพรหม ไม่พูดอะไร ให้ศิษย์ไปหยิบธูปมากำใหญ่กำหนึ่ง และจุดธูปให้ท่าน ท่านถือธูปไป
กลางแจ้ง ยกมือภาวนา ปักธูปกำใหญ่ลงไปในพื้นดิน  และถอดจีวรออก สะบัดไปสี่ทิศ
คนในงานมองเป็นตาเดียว และงงกันเป็นแถว ๆ ว่าหลวงพ่อทำอะไร  เฮียแก่เล่าว่าเหลือเชื่อมาก
มาก ฟ้าที่มืดคลื้ม กับสว่างที่ละเล็กละน้อย และสว่างมากขึ้นเป็นลำดับ แดดเปรี้ยงดังเดิม ทั้งเฮีย
และผู้คนในงาน งง เป็นไก่ตาแตก และเรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันมาก  เฮียถึงบูชาพระเครื่องท่าน
มาประมาณ 20 เหรียญ พร้อมพระผงจำนวนหนึ่งครับ  และหลังจากเหตุการณ์นั้น ฝนไม่ตก
ที่อำเภอตาคลีเป็นเวลา 3 ปี  ชาวบ้านรุ่นเก่า ๆ ทราบดี เฮียแกเล่าให้ฟัง
วาระสุดท้าย และสังขารอันเป็นที่อัศจรรย์
       หลวงพ่อพรหม ถาวโร ท่านมรณภาพ เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2518 ที่โรงพยาบาล
บ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี สิริอายุ 91 ปี 71 พรรษา  คุณงามความดีของท่านที่ทำประโยชน์ให้กับ
ศาสนามีมากมาย  และศพของท่านปัจจุบันไม่เน่าเปื่อย และเส้นผมที่ศรีษา หนวด เล็บมือ เล็บเท้า
เส้นขนคิ้ว งอกเองเรื่อย ๆ ทุกปี ทางวัดต้องทำพิธีปลงผม ปลงเล็บให้   วัตถุมงคลของท่าน
สร้างออกมามากมาย และที่สำคัญที่วงการพระเครื่องยอมรับ คือ พระเครื่องท่านไม่เสื่อม
แสดงถึงความมั่นใจในพระเวทย์ และสมาธิจิตขั้นอภิญญาจารย์ของท่าน  เพราะเคยมีศิษย์ถามท่านว่า
คล้องพระรอดราวตากผ้าเสื่อมไหม ท่านถามกลับว่ามึงเกิดจากอะไร ของกูไม่มีคำว่าเสื่อม ถึง
แตกหักก็ไม่เสื่อม ขออย่างเดียว อย่าด่าพ่อแม่ และผิดภรรยาหรือสามีชาวบ้านแล้วกัน


ขอบคุณที่มา
http://baanjompra.com/webboard/thread-1009-1-1.html

ผลการตัดสังโยชน์ คือระดับการบรรลุธรรม ในแต่ละขั้น ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์


: สังโยชน์ ๑๐ ประการ :
โดยหลวงพ่อฤาษี  วัดท่าซุง

เนื่องจากการตัด “สังโยชน์ ๑๐” เป็นสิ่งสำคัญมาก ในการก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยะเจ้า  ถ้าเราไม่สามารถตัดกิเลส  ที่เป็นเครื่องร้อยรัดใจของเราได้แล้ว ความสำเร็จที่จะบรรลุธรรม หรือจะก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยะเจ้า ในขั้นใดๆ ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย

จึงเห็นความจำเป็นที่จะขออธิบายเรื่องนี้ซ้ำให้ละเอียด เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติ  ในการตัดกิเลสที่เป็นตัวสำคญ  ที่จะขัดขวาง หรือ  เป็นอุปสรรค  ในการก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยะเจ้า
ในลำดับต่าง ๆ ดังนี้

*** สังโยชน์ ๑๐ ประการ
(ธรรมที่ใช้เป็นตัววัดผล ของการปฏิบัติธรรม)

นักเจริญวิปัสสนาญาณ  นักปฏิบัติธรรม  บรรดาเหล่าท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ท่านผู้แสวงหาโมกธรรม เพื่อที่จะได้หลุดพ้นไปจาก  กองทุกข์ทั้งหมด 

ได้ประพฤติ  ปฏิบัติธรรม  ตามคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  โดยการ ให้ ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา หรือ ถ้าได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธ
ศาสนา  ก็ปฏิบัติตาม "ไตรสิกขา" คือ ศีล  สมาธิ  ปัญญา 

เมื่อได้ปฏิบัติไปแล้ว จะรู้ตัวว่า ได้อะไรหรือไม่...? ตัวเราปฏิบัติธรรมไปถึงไหนแล้ว  มีอะไรมาเป็นตัววัด  เป็นเครื่องมือวัดผล  ของการปฏิบัติธรรม  ท่านให้ใช้การพิจารณา ตัด ละ เลิกสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการ คือ...

๑.สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

หมายความว่าเราไม่พอใจใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสใด ๆ ทั้งหมด เราไม่หลงใหลใฝ่ฝันอยู่ในขันธ์ ๕ คิดว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นสมบัติของกิเลส และตัณหา

เป็นแดนของความทุกข์ และสิ่งนี้มันจะพลัดพรากจากเราก็คือจิต มันจะแตกจะทำลาย  มันจะป่วยไข้ไม่สบาย  จะถูกอารมณ์ร้ายต่าง ๆ ของโลกเข้ามายั่วยวน เราก็ไม่หวั่นไหว คิดว่าเมื่อถึงกาลถึงสมัยมันก็ต้องพัง ห้ามปรามมันไม่ได้ กฎธรรมดาเป็นอย่างนั้น

๒.วิจิกิจฉา ความสงสัยในพระนิพพานไม่มี คิดว่าพระนิพพานมีจริง ผลของการปฏิบัติที่เราปฏิบัติอยู่นี่ ถ้าปฏิบัติจริง ๆ ต้องถึงพระนิพพานแน่นอน มีจิตตั้งมั่นอยู่อย่างนี้

๓.สีลัพพตปรามาส การรักษาศีลให้เคร่งครัด ไม่ทำศีลให้ด่าง ให้พร้อย ให้ขาด ให้ทะลุ รักศีลยิ่งกว่ารักชีวิต (ยอมตายดีกว่าต้องทำลายศีล)

อาการ ๓ อย่าง คือ สังโยชน์ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นผลที่พึงได้จากอารมณ์วิปัสสนาญาณ เมื่อได้แล้วจะมีอาการอย่างใดก็ตาม  เข้ามายั่วยวน ทำให้เราหลงใหลใน รูป เสียง กลิ่น รส และ สัมผัส เสียดายในชีวิต เสียดายในร่างกาย คิดว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา ก็ไม่เกิด

ใครจะมาทำให้จิตของเราให้คลายจากพระนิพพาน โดยพรรณนาว่า... พระนิพพานไม่มีอะไรดี ไม่มีของน่าอยู่ น่าชม เราก็ไม่เชื่อ เมื่อจิตใจใฝ่ฝันตั้งมั่นอยู่แล้ว ถึงแล้วว่า..เราต้องการพระนิพพาน มีความมั่นคงอยู่อย่างนั้น

สีลัพพตปรามาส ใครจะมายั่วเย้าให้เราทำลายศีล แม้แต่หน่อยหนึ่งเราก็ไม่ทำ  อย่างนี้เชื่อว่าท่านเป็น  #พระโสดาบันแน่

ก็หมายถึงว่า จิตที่ละได้อย่างนี้แล้ว  ไม่กลับคืนมาอีก ไม่มีความเสียดายในชีวิต ไม่มีความเสียดายในทรัพย์สมบัติ  ที่สูญสลายไป  ไม่สงสัยในคุณพระรัตนตรัย  คิดว่าพระนิพพานมีจริง

ถ้าปฏิบัติแล้วต้องได้จริง ได้ถึงจริง รักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เป็นสมุจเฉทปหาน คือไม่สร้าง ไม่ทำลายศีล ให้ด่าง ให้พร้อย ให้ขาด ให้ทะลุ อาการ ๓ อย่างนี้  เป็นผลของพระอริเจ้าขั้น...

#พระโสดาบัน และ #พระสกิทาคามี

๔.กามฉันทะ ทำจิตให้เหือดแห้ง ในความพอใจในกามารมณ์ ความยินดีในเพศไม่ปรากฏ

๕.พยาบาท ความผูกโกรธ ขังโกรธไว้ในใจไม่มี ใครมาทำให้โกรธ โกรธนิดหนึ่งแล้วก็ทิ้งสลายตัวไป ไม่มีความพยาบาท

แล้วต่อไปก็ทำลายความโกรธให้สิ้นไป ในเมื่อจะมีบุคคลหมู่ใดจะมายั่วมาเย้าให้เรามีความโกรธ เราก็ไม่โกรธ หรือมายั่วเย้าให้เราเกิดกามราคะ มีความปรารถนาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส และสัมผัส อารมณ์อย่างนั้นก็ไม่เกิด

อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นผลของวิปัสสนาญาณจริง เป็นองค์ของพระอริเจ้าขั้น #พระอนาคามี เป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงในขั้นต่อไป

๖.รูปราคะ หมายความว่า เรามีฌานจริง แต่เราไม่หลงว่าฌานนี้เป็นตัววิเศษ  เกินไปกว่าตัววิปัสสนาญาณ รู้อยู่เสมอว่าฌานเป็นบันไดที่จะเป็นกำลังของจิตใจ ให้เข้าไปใช้อารมณ์ของวิปัสสนาญาณ เข้าประหัตประหารกิเลส ที่เรียกกันว่า “รูปฌาน”

๗.อรูปราคะ เราเห็นว่าอรูปฌานเป็นของดี แต่ว่ายังไม่ดีวิเศษ เพราะอรูปฌานนี้   ยังเป็นผลของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร  ยังเป็นโลกียฌาน แต่ว่าเป็นกำลัง  เป็นบันไดขั้นหนึ่ง หรือ  เป็นกำลังที่เข้ามาค้ำจุนจิตใจ  ให้เข้าไปเจริญวิปัสสนาญาณ ได้รับผลดี

๘.มานะ ความถือตัวถือตน ถือว่าเราเลวกว่าเขา ถือว่าเราเสมอเขา ถือว่าเราดีกว่าเขา  อย่างนี้เราตัดเสียได้  คือไม่คิดอย่างนั้น

คิดว่าคนในโลกนี้  ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว เกิดมาแล้วก็แก่ ก็เจ็บ ก็ตาย  เหมือนกันหมด ไม่มีอะไรที่จะต้องเข้าไป ถือยศ  ถือศักดิ์ ถือชาติวาสนา และ ตระกูลใด ๆ ทั้งสิ้น

๙.อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญในจิตใจไม่มี ตัดเสียได้แล้ว มีอารมณ์เป็นอันเดียวคือ เอกัคคตารมณ์ มีจิตใจชุ่มชื่น รู้ได้ตามสภาวะของความเป็นจริง

๑๐.อวิชชา คือความพอใจในทรัพย์สมบัติของโลก คือในร่างกายของเรา หรือในรูปของคนอื่นไม่มี

ความกำหนัดยินดีในทรัพย์สินของโลก ที่มีชีวิต และ ไม่มีชีวิต แม้แต่ตัวเองก็ไม่มี อย่างนี้เรียกว่า...ตัดอุปาทานขันธ์เสียได้ ตัดตัวอวิชชาความโง่เสียได้

จากพระอริเจ้าขั้นพระอาคามี ตัดละสังโยชน์ ๕ ข้อได้  เมื่อท่าน ตัด ละ สังโยชน์ ข้อที่ ๖ ถึง ข้อที่ ๑๐ ได้หมดแล้ว  ท่านก็เป็นองค์ของพระอริเจ้าขั้น #พระอรหันต์ 

ที่มา บันทึกธรรมพระราชพรหมยานมหาเถระ
หลวงพ่อฤาษี วัดจันทาราม (วัดท่าซุง)
อ.เมือง จ.อุทัยธาน๊

ฝรั่งเขียนเรื่อง ความจริง และ จุดเด่น ของ พุทธศาสนา 19 ประการที่ต่างจากศาสนาอื่นๆ

ฝรั่งเขียนเรื่อง ความจริง และ จุดเด่น ของ พุทธศาสนา 19 ประการที่ต่างจากศาสนาอื่นๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้
๑.พระพุทธศาสนา  ปฏิเสธว่า  มีผู้สร้างโลก ถือว่า ความเชื่อนี้ไร้สาระ ตรงข้าม โลกนี้ประกอบขึ้นจากเหตุธาตุทั้ง4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประกอบกันขึ้นมา

๒.พระพุทธศาสนา  ไม่ใช่ระบบความเชื่อที่จะใช้คำว่า Religion เพราะศัพท์นี้  หมายถึง ต้องมีความเชื่อในพระเจ้าผู้สร้างโลก

๓.จุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา คือ ละกิเลสได้หมดแล้ว หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด หรือวัฏฏสงสาร ไม่ใช่ไปแค่ไปเกิดบนสวรรค์เท่านั้น

๔.พระพุทธเจ้า  ไม่ใช่ผู้ปลดปล่อยสรรพสัตว์ให้รอด สรรพสัตว์ต้องช่วยตนเอง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสและวัฏฏสงสาร

๕.ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธเจ้า และสาวก คือ ครูผู้สอนและลูกศิษย์  ไม่ใช่ตัวแทนพระเจ้า และทาสผู้รับใช้

๖.พระพุทธเจ้า ไม่เคยให้สาวกใช้ความเชื่อโดยปราศจากปัญญามานับถือ  ตรงข้าม ทรงสอนให้ใช้ปัญญา พิจารณาคำสอนก่อนจะเชื่อ และเห็นจริงด้วยตนเอง และ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า  ต้องนำคำสอนไปประพฤติและปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นด้วยตนเอง  ไม่มีใครช่วยทำให้หลุดพ้น จากการเวียนเกิดเวียนตายได้ นอกจากให้แค่แนะนำ ชี้ทางที่ถูกต้องให้เท่านั้น

๗.คำสอนพระพุทธเจ้า เป็นสัจธรรมประจำโลก ที่เป็น และมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าทรงเป็นแต่เพียงผู้ค้นพบเท่านั้น พระองค์ไม่ใช่เป็นคนสร้างคำสอนขึ้นมา

๘.นรกในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่สถานที่กักขังสัตว์อย่างนิรันดร์ บุคคลทำบาปแล้ว ไปเกิดในนรก เมื่อพ้นกรรมแล้ว ก็สามารถกลับไปเกิดในภพที่ดีกว่าได้ และ สัตว์ที่ได้ไปเกิดในภพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นภพเทวดา ภพมนุษย์ ภพเปรตวิสัย ภพเดรัจฉาน ก็สามารถเวียนกลับไปเกิดในนรกอีกได้ เช่นกัน

๙.พระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนแนวคิดเรื่องบาปติดตัว เหมือนที่ศาสนาเทวนิยมสอน แต่สอนเรื่องกฎแห่งกรรม ซึ่งมีทั้งกรรมขาว กรรมดำ และกรรมไม่ขาวไม่ดำ

๑๐.พระพุทธศาสนาสอนว่า มนุษย์และเทวดาทุกชีวิต มีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ ข้อสำคัญก็คือ  ต้องใช้ความพยายามในการปฏิบัติ เพื่อชำระกิเลสให้พ้นไปจากจิตใจ พระพุทธเจ้าก็ทรงเป็นมนุษยสามัญธรรมดา ที่หลุดพ้นจากทุกข์ได้ เพราะการประพฤติปฏิบัติมาหลายภพหลายชาติ

๑๑.กฎแห่งกรรมของทุกสรรพสัตว์  เป็นตัวอธิบายว่า  เหตุใดคนถึงเกิดมาแตกต่างกัน  กฎแห่งกรรมเป็นตัวอธิบายถึงภพภูมิที่สัตว์พากันไปเกิด

๑๒.พระพุทธศาสนา เน้นให้แผ่เมตตากรุณาไปยังสรรพสัตว์ ทุกภพภูมิ  ทรงสอนให้ละจากการประพฤติชั่วทั้งปวง คือ อกุศลกรรมบท ๑๐ และให้ประพฤติปฏิบัติแต่ กุศลกรรมบถ ๑๐

๑๓.ธรรมะของพระพุทธเจ้า เสมือนแพ หลังจากบำเพ็ญเพียรจนดับทุกข์ได้แล้ว จะอยู่เหนือบุญและบาป ธรรมะทั้งปวงจะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น

๑๔.ไม่มีสงครามศักดิ์สิทธิ์ ในทรรศนะพระพุทธศาสนา การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การเบียดเบียนผู้อื่นด้วยเจตนา ผู้กระทำจะต้องรับกรรมทั้งสิ้น จนกว่าจะหลุดพ้นจากวัฏสงสาร  การฆ่าในนามศาสนา ยิ่งกระทำมิได้ในพระพุทธศาสนา

๑๕.พระพุทธเจ้าสอนว่า กำเนิดสังสารวัฏ ไม่มีเบื้องต้นและที่สุด  ถ้าหากสัตว์ยังดำเนินชีวิตไปตามอำนาจกิเลส
ที่มี อวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ย่อมต้องเวียนเกิดเวียนตายต่อไป

๑๖.พระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระสัพพัญญู ( ผู้รู้ความจริงทุกเรื่องที่ทรงอยากรู้ ) และพระพุทธเจ้า มิใช่เทพเจ้าผู้ทรงมีอำนาจล้นฟ้า ดลบันดาลสร้างธรรมชาติต่างๆ ขึ้นมา 

๑๗.การฝึกสมาธิ  สำคัญมากในพระพุทธศาสนา แม้ว่าศาสนาอื่นๆ ก็มีสอนให้คนมีสมาธิ แต่มีพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอน วิปัสสนา ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้รู้แจ้งว่า  ทุกสรรพสิ่ง เมื่อมีการเกิด ย่อมมีการดับ

๑๘.หลักคำสอนเรื่อง สุญญตา) หรือ นิพพาน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในพระพุทธศาสนา ถือเป็นคำสอนระดับสูงของพระพุทธศาสนาด้วย เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วโลกธาตุ ไม่มีสิ่งใด เที่ยงแท้ถาวร มีแต่ปัจจัย ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกัน  สรรพสิ่งในโลก  จึงตกอยู่ในภาวะอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เหมือนกันหมด พระพุทธศาสนาจึงไม่สุดโต่งไปตามแนวศาสนาประเภทเทวนิยม หรือ ตามแนววัตถุนิยม ที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ที่ต้องเวียนเกิดเวียนตาย จนกว่าจะบรรลุธรรม  จึงจะดับเย็น เข้าสู่นิพพาน

๑๙.วัฏจักร หรือสังสารวัฏ เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนา  ตราบใดที่สรรพสัตว์ ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส ก็จะเวียนว่ายตายเกิด  ไปตามภพภูมิต่างๆ ตามแรงเหวี่ยงของกรรม ไม่สิ้นสุด จนกว่าจะบรรลุธรรม ดังนั้น ทุกสรรพสัตว์  จึงต้องช่วยตนเอง  เพื่อพัฒนาไตรสิกขา ให้หลุดพ้นจากโลภะ โทสะ และโมหะ หรืออวิชชา เพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏให้ได้ ฯ

~ เสียดายไม่ทราบชื่อฝรั่งผู้เขียน แต่ ก็แสดงว่า มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนา มากกว่าคนไทยที่อ้างว่า นับถือพระพุทธศาสนาเสียอีก ขอกราบคารวะ และ ขอชื่นชมด้วยใจจริง

*เพิ่มเติม: ขอขอบคุณท่านที่ส่งลิงค์ต้นฉบับภาษาอังกฤษจากคนเขียนมาให้ กรุณากดอ่านได้ตามนี้นะครับ

นี่ครับ ต้นฉบับ
https://blog.sivanaspirit.com/differences-buddhism-religions/

ความรู้....ความคิด....ความเห็น

.
…. “ สังคมใดมีจุดหมายทางปัญญา ก็จะก้าวหน้าไปได้เรื่อยๆ ไม่รู้จักจบ จนกระทั่งทำชีวิตนี้ให้หลุดพ้นจากปัญหา หลุดพ้นจากความทุกข์ การแก้ปัญหาทั้งหมดก็แก้ได้ด้วยปัญญานี้เอง
…. เครื่องหมายนำหน้าที่สื่อไปถึงปัญญา ก็คือ การรู้จักคิด หรือ ความคิดแยบคาย ที่เรียกทางธรรมว่า “โยนิโสมนสิการ” ความคิดนั้นเป็นตัวกลางที่เชื่อมระหว่าง “ข้อมูล ความรู้” กับ “ความเห็น ความเข้าใจ” ความคิดแยบคายทำให้รู้จักหาความรู้ และทำให้สามารถนำความรู้มาใช้ประโยชน์
…. ความคิดสำคัญที่เป็นหลัก คือ การคิดหาความรู้ กับ การคิดเพื่อเอาความรู้มาใช้ประโยชน์ หรือ คิดให้ได้ความรู้ กับ คิดใช้ความรู้ คนมีความรู้ แต่ไม่รู้จักคิด ก็ไม่สามารถทำความรู้ให้เป็นประโยชน์ แต่คนที่คิดโดยไม่มีความรู้และไม่หาความรู้ ก็จะเป็นเพียงความคิดที่เพ้อฝันเลื่อนลอย เมื่อคิดเพ้อฝันเลื่อนลอยแล้วมาแสดงความเห็น ก็จะเป็นความเห็นที่เหลวไหล ไร้สาระ ว่าไปแค่ตามชอบใจ-ไม่ชอบใจของตัว
…. โดยนัยนี้ “กระบวนการพัฒนาปัญญา” จึงมีการใฝ่แสวงหาความรู้เป็นเบื้องต้น มีการฝึกคิดเป็นท่ามกลาง และมีการรู้จักแสดงความเห็นเป็นปริโยสาน (ในหลายกรณีที่สำคัญ ต้องมีการปฏิบัติ ทดสอบ หรือทดลองมาเป็นเครื่องยืนยัน) ดังนั้น ความใฝ่รู้ และ การรู้จักแสวงหาความรู้ จึงเป็นบุพนิมิตแห่ง… “พัฒนาการทางปัญญา”
.
…. ในสังคมใด คนขาดความใฝ่รู้ ไม่รักการสืบค้นหาความรู้ จะหาความเจริญงอกงามทางปัญญาได้ยาก จะเต็มไปด้วยความคิดเพ้อฝันเลื่อนลอย และการแสดงความเห็นเพียงแค่สนองความชอบใจ-ไม่ชอบใจของตนเอง เพื่อให้มีการพัฒนาปัญญา จึงต้องมีคติว่า การแสดงความเห็น ต้องคู่กับการหาความรู้ และเมื่อมีความรู้ ต้องฝึกความคิดให้แยบคาย"

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตโต )
ที่มา : ธรรมนิพนธ์ เรื่อง “จัดระเบียบสังคม ตามคตินิยมแห่งสังฆะ”

หมายเหตุ : ( ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ ))
“ปริโยสาน” คือ การจบอย่างสมบูรณ์ หรือ ที่สุดลงโดยรอบ
------------------------------
.
“ต้องเน้นการหา “ความรู้”
มากกว่าการให้ “ความเห็น”
ต้องให้การแสดงความเห็นนั้น
ตั้งอยู่บนฐานของ “ความรู้ที่มั่นคงที่สุด”
.
เวลานี้ มีปัญหามากเหลือเกิน
คนชอบแสดง “ความเห็น”
โดยไม่หา “ความรู้”เลย”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )

##  ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. ##

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...