08 ธันวาคม 2563

พลังสมาธิหรือพลังจิตคือคลื่นพลังงานความถี่สูงยิ่งยวด

จิตของคนที่ฝึกมาดี จิตที่ปราศจากอคติ ปราศจากโทสะ
ปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่หลงงมงาย ไม่อยากได้อยากมี

ไม่อิจฉาริษยา ไม่โกรธแค้นอาฆาตพยาบาท มีใจสงบนิ่ง
เป็นจิตที่ละเอียดอ่อน และมีพลัง จะสามารถหยั่งรู้ใจคน
และอ่านความคิดคนอื่นได้

กระแสจิตของคนเรา เป็นคลื่นพลังงานชนิดหนึ่งที่มีความถี่สูง และละเอียดแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
กำลังความคิดของแต่ละคนที่ส่งออกไปนอกตัว
สามารถไปกระทบจิตของคนที่มีความสามารถในการรับคลื่นกระแสจิตได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระแสจิตที่ส่งมาจากคนที่เรารู้สึกผูกพันใกล้ชิดสนิทสนม จะสามารถติดต่อกันทางโทรจิตได้
บุคคลที่มีความสัมพันธ์กันทางอารมณ์อยู่แล้ว
จะมีประสาทสัมผัสรับรู้พิเศษถึงกันได้

"คลื่นกระแสจิต" เป็นพลังงาน ที่มีความละเอียดสูงมาก
จนยังไม่มีเครื่องมือใดๆในปัจจุบันจะวัดได้
คนเราทุกคน เป็นได้ทั้งผู้รับคลื่นกระแสจิต และเป็นผู้ส่งคลื่นฯ

“โทรจิต” เป็นความสามารถถ่ายทอดความรู้สึก
หรือสิ่งที่ตนรู้สึกในใจ ไปให้แก่สิ่งมีชีวิตอื่นได้
โดยการส่งกระแสจิตออกไปถึงผู้รับ

ดังนั้น “ความคิด”ที่คนหนึ่งๆเปล่งออกมา
จึงเป็นสิ่งที่ใครๆก็สามารถรับคลื่นความคิดนี้ได้
ถ้าคนๆนั้นเปิดเครื่องรับในร่างกายตนรับคลื่นนั้นๆเข้ามา

เซลล์แต่ละอันในร่างกายมนุษย์
ก็เป็นสิ่งที่สามารถปล่อยคลื่นความคิดออกมาได้เช่นกัน
และในทางกลับกันคลื่นความคิดก็ย่อมสั่นสะเทือนเซลล์แต่ละอัน ในร่างกายตนเองได้ด้วย

ดังจะเห็นได้ว่าความเครียดที่สั่งสมนานๆ
เป็นตัวการสำคัญอันหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแก่มนุษย์ เพราะคลื่นความคิดเหล่านี้เข้าไปมีผลกระทบต่อร่างกายนั่นเอง

การมีความคิดที่ดี แจ่มใสร่าเริง มองโลกในแง่ดี
จึงเป็นสิ่งที่ขาดเสียมิได้สำหรับมนุษย์
บางครั้งเราจึงควรหลีกให้ห่างผู้คนที่ปล่อยคลื่นความคิดร้ายๆ

ถ้าหากทำได้ จะได้ไม่ไปรับผลสะเทือนที่ไม่ดีของผู้คนเหล่านั้นเข้ามา…

คลื่นความคิดที่ควรหลีกเลี่ยง: 

สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือ การไม่ให้คลื่นความคิดจำพวก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความไร้สาระในเรื่องเล็กน้อย ความเกลียดชัง ความเกียจคร้าน ความอิจฉาริษยา อคติ เหล่านี้ ไหลเข้ามาสู่ตัวเรา

คลื่นความคิดที่ควรรับเข้ามา: 

คลื่นความคิดจำพวก ความรัก ความเมตตา ความหวังดี ความห่วงใย ความเอื้ออาทร การมองโลกในแง่บวก การให้อภัย ความกระตือรือล้น ความร่าเริงแจ่มใส เหล่านี้ ให้ไหลเข้ามาสู่ตัวเรา

ความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิต
เราควรฝึก “ควบคุมใจ”ทำให้เซลล์ในร่างกายทั้งหมด
สามารถตอบสนองคำสั่งที่ใจสั่ง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยเหตุนี้ร่างกายของเราจึงจะแข็งแรง และมีอายุยืนยาว

เราทุกคนสามารถทำได้เช่นเดียวกัน
หากแต่บุคคลผู้นั้นต้องมีจิตใจที่กระจ่างเที่ยงธรรม
มีชิวิตอยู่อย่างมีปณิธาน ศรัทธา ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า
และมีความคิดในเชิงบวก

เซลล์ในร่างกายก็จะตอบสนองต่อจิตใจบุคคลนั้นในทางบวกเช่นกัน ทั้งเรื่องสุขภาพร่างกายและจิตใจ ย่อมได้ผลเช่นเดียวกัน

แต่คนส่วนใหญ่ไม่ตระหนักถึง จิตสำนึกนี้ กลับมีชิวิตโดยใช้แค่ “ใจ” หรือ "สิ่งรับรู้ในอารมณ์ทั้งหลาย" เท่านั้น
ซึ่งผันผวนง่ายและแปรปรวนอย่างรุนแรงมาเป็นหลักของชิวิต

เราจึงควรพยายามประสานใจของตนให้สอดคล้องกับจิตสำนึกนี้…

“คลื่นความคิด”ซึ่งมีลักษณะคล้ายแสง
ถ้ากระแสความคิดถูกส่งเป็นคลื่นออกไปแล้ว
มันจะเคลื่อนที่ไปอย่างไม่มีขอบเขต

แต่ไม่ได้มีลักษณะเป็นเส้นตรงทิศทางเดียว
เหมือนลูกกระสุนจากปากกระบอกปืน
หากแต่มีลักษณะเหมือนรังสีที่เปล่งออกมาเป็นเส้นตรงในทุกๆทิศทาง และแผ่ขยายตัวโดยมีจุดศูนย์กลางอยู่จุดหนึ่ง….

จนกว่าจะถูกดูดซับหรือถูกขวางกั้นโดยสิ่งอื่นหรือวัตถุอื่น…

นักพลังจิตเชื่อว่า
ความกดดันทางอารมณ์สูงสุดที่เกิดขึ้นทันทีทันใดของคนเรา เป็นสาเหตุทำให้เกิดเหตุการณ์ทางอำนาจจิตได้
อารมณ์ของคนเรานั้น เป็นสวิตซ์ปิดเปิดการส่งโทรจิตธรรมชาติได้โดยอัตโนมัติ

อย่างเช่น เมื่อเราต้องประสบกับเหตุการณ์รุนแรง
หรือเกิดอุบัติเหตุกับญาติพี่น้องหรือคนสนิท
อารมณ์ที่เครียดสูงสุดนี้ ก็จะเป็นตัวเปิดสวิตซ์การส่งหรือรับโทรจิตโดยฉับพลันทันที

อย่างในกรณีที่เกิดกับทหารเรือดำน้ำรัสเซียคนหนึ่งซึ่งป่วย
และต้องนอนพักอยู่ที่ฐานทัพ จึงไม่ได้เดินทางออกไปกับเรือเที่ยวนั้น

พอตกบ่ายเขาก็ฝันไปว่า
เขายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือในขณะที่เรือกำลังดำลง
เขาไม่สามารถที่จะเข้าไปในเรือได้
ตัวเขาค่อยๆ จมลงไปในน้ำพร้อมกับเรือ
เขาสำลักน้ำเข้าไปหลายอึก และรู้สึกว่ากำลังจะจมน้ำตาย

จนบัดนี้เขายังจำฝันร้ายนั้นได้ติดตา
เพราะหลังจากที่เราเข้าเทียบท่าที่ฐานทัพ
เขาก็ทราบว่าเพื่อนของเขาจมน้ำตายเนื่องจากติดอยู่บนดาดฟ้าเรือ ในขณะที่เรือกำลังดำลงสู่ใต้ผิวน้ำ

โทรจิตเป็นประสาทสัมผัสที่ 6 ของคนเรา
ที่นอกเหนือไปจาก ตา หู จมูก ลิ้น และกาย
ซึ่งทุกคนมีความสามารถพิเศษทางโทรจิตนี้แฝงอยู่
หากแต่ถูกบดบังด้วยจิตใจที่หม่นหมอง

ความจริงแล้วคนเราทุกคนล้วนแล้วแต่ก็มีความสามารถในการส่ง และรับกระแสจิตด้วยกันทั้งนั้น แต่ความสามารถพิเศษนี้ จำเป็นอย่างยิ่ง ที่เราจะต้องทำการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและแน่นอน 

บางคนอาจมีความสามารถพิเศษนี้มากกว่าคนอื่นๆ
ผู้ส่งและผู้รับกระแสจิตนั้นมีความสำคัญเท่ากัน เพราะถ้าผู้ส่งกระแสจิต ส่งมโนภาพที่เลือนลางมาให้เรา ก็จะได้แต่ภาพที่เลือนลางนั้นด้วย

ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้รับและผู้ส่งข่าวสารทางจิต
จักต้องฝึกปรือกันมาอย่างดี และต้องสามารถสร้างมิตรสัมพันธ์ทางจิต หรือรับคลื่นกระแสจิต ให้เข้ากันได้ เป็นอย่างดีด้วย

จงทำตัวให้สบายผ่อนคลายอารมณ์
ลดภาวะความตรึงเครียดทางกายและทางใจลง
และควรจะกำจัดความกังวล หรืออารมณ์ที่ขุ่นมัวออกให้หมดสิ้น จงทำให้มีความเชื่อมั่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อเริ่มส่งข่าวสารทางจิตไปยังผู้รับนั้น
ปล่อยใจให้ล่องลอยจงแน่วแน่อยู่กับข่าวสารและข้อมูลที่จะส่ง พร้อมกับนึกถึงหน้าของผู้รับกระแสข่าวสารทางจิตจากเรา

ให้กระจ่างอยู่ในดวงจิต เมื่อท่านฝึกเช่นนี้บ่อยๆ จนมีความคุ้นเคย และสามารถปรับคลื่นกระแสจิตเข้ากันได้แล้ว
ในไม่ช้าไม่นานท่านก็จะเปรียบเสมือนมีเครื่องรับส่งโทรจิตติดตัว ใช้ได้ทุกเวลาทุกสถานที่และทุกสภาวะดินฟ้าอากาศ

ทั้งนี้ทั้งนั้น อำนาจจิตธรรมชาตินั้น น่าจะเกิดมาจากความสอดคล้องกัน ระหว่างคลื่นสมองของผู้ส่งและผู้รับ ที่มีอำนาจสัมพันธ์กัน

ซึ่งเรื่องนี้ คนทั่วไปสามารถฝึกปรับระดับจิตของพวกเขาให้เข้ากันได้ภายใน 3 เดือน

แล้วยังมีข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งว่า การฝึกโทรจิต ถ้าจะให้ได้ผลสูงสุด นอกจากจะปฏิบัติตามข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว
เราควรจะมีการนัดหมายเวลา เพื่อให้ปฏิบัติพร้อมเพรียงและสอดคล้องกัน
(ในที่นี้หมายถึงต้องสอดคล้องกันทั้งทางกาย จิตใจ และเวลาด้วย)

ก็ขอให้ทุกๆคน มีความรู้สึกนึกคิดที่ดี
กระแสจิตที่ส่งออกมานอกตัว จะได้เป็นกระแสที่ร่มเย็น
เป็นความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อกัน

ส่วนคนที่มีกระแสความคิดเป็นในทางลบ
เช่น อิจฉา หมั่นไส้ โกรธ เกลียด อคติ
ก็ควรพยายามควบคุมกำลังความคิดของตนเองให้เป็นไปในทางบวก เป็นไปในทางสร้างสรรค์ มีสันติสุข มีความสงบในใจ

เพราะผู้รับคลื่นกระแสจิตจากคุณ เขาจะได้รับแต่สิ่งที่ดีๆ
และพลอยมีใจสงบร่มเย็นไปด้วย


การใช้คาถาหรืออำนาจจิตนั้น มีเคล็ดลับที่ท่านผู้รู้หรือครูบาอาจารย์ท่านหวงแหน แต่ที่ผมจะเอามาแนะนำนั้น เป็นสิ่งที่ผมเคยลองทำดู แล้วปรากฎว่า ใช้ได้ผล ก็เลยอยากบอกหรือแนะนำ แต่ไม่ได้มาสอนนะคับ

ผมอยากให้ท่านลองพิสูจน์ดู จะได้รู้ว่าอำนาจจิตนั้นมีจริง สิ่งที่โบราณท่านพูด บอกกล่าวต่อๆ กันมานั้นจริง

อีกทั้ง เพื่อจะได้นำเอาช่วยตนเองก็ได้ หรือคนอื่นก็ได้ การใช้อำนาจจิต หรือที่เราเรียกกันว่าคาถาอาคม มีวิธีการใหญ่ๆ โดยพื้นฐานดังนี้ นะคับ

1.เราอยากจะทำอะไรหรือประสงค์สิ่งใด

2.กำหนดจิตตามที่เราประสงค์ 

3.ส่งกระแสจิตหรือความปรารถนาออกไป 

นี่คือวิธีการหรือขั้นตอนสำคัญ ที่ครูบาอาจารย์เกจิ หรือผู้รู้ท่านใช้กัน แต่ถ้าเป็นพระเกจิหรือพระอริยสงฆ์ที่มีบารมีสูงๆ หรือมีฌาณแก่กล้า ท่านจะใช้วิธีอธิษฐานจิตเอาเลย

แต่อย่างเราๆ ท่านๆ โดยมาก ฌาณก็ยังไม่มี บารมีไม่พอ ก็ต้องใช้วิธีการที่เรียกแบบภาษาชาวบ้านว่า ใช้แรงครูบวกกับกำลังจิตตัวเอง ถ้าเราอยากจะรู้ว่าครูท่านมาหรือยัง หรือว่าคาถาที่เราท่อง หรือของที่เราเสก ใช้ได้หรือยัง

เราจะใช้สิ่งที่ภาษาพระหรือภาษาวิชาสมาธิท่านเรียกว่า ปิติ นั่นแหละคับเป็นตัวตัดสิน ผมจะไม่ขอกล่าวยืดเยื้อแล้วนะคับ ผมจะแนะวิธีปฏิบัติกันเลย สมมติถ้าเราจะเสกแป้งหรือสีผึ้งให้เป็นเมตตาให้กระทำตามขั้นตอนสามข้อที่กล่าวไว้ข้างต้นดังนี้

1.เราตั้งใจอยากจะทำอะไร 

-ตรงนี้เราตั้งใจอยากจะเสกสีผึ้งหรือแป้งให้เป็นเมตตา ให้เอาแป้งหรือสีผึ้งใส่ในอุ้งมือแล้วเราก็ตั้งจิตอธิฐานขออำนาจคุณพระทั้ง 5 โดยกล่าวว่า ข้าพเจ้าขออาราธนาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดาและครูบาอาจารย์ทุกๆ ท่าน และครูบาอาจารย์เจ้าของวิชานั้นๆ เป็นที่สุด

ตรงนี้ถ้าเราทราบว่าเป็นวิชาของใคร ก็ควรบอกกล่าวท่านด้วยว่า บัดนี้ ข้าพเจ้าจะกระทำการเสกแป้งหรือสีผึ้งให้เป็นเมตตาขออำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเหล่านี้ได้โปรดมาช่วยให้เรากระทำการสำเร็จสมปรารถนาด้วยเทอญ

2.กำหนดจิตตามที่เราประสงค์ 

-ให้ท่องคาถาหรือบทสวดตามที่ท่านร่ำเรียนมาโดยกำหนดจิตเอาไว้ตามที่คุณสบายที่สุดอย่างผมจะกำหนดจิตเอาไว้ที่ดั้งจมูกเพราะเป็นส่วนที่กำหนดแล้วสบายที่สุด ให้ท่องคาถาหรือบทสวดไปเรื่อยๆจนจิตสงบหรือเกิดอาการปิติเช่น ขนพองสยองเกล้า หรือใจสงบเย็นสบาย

การท่องคาถาตรงนี้ ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องได้กี่จบแต่ให้พึงกระทำกล่าวคือ เวลาหายใจเข้าสวดคาถาได้กี่จบเวลาหายใจออกก็ต้องให้ได้เท่านั้นจบ ตรงนี้เรียกว่า 1 คาบ ให้คุณท่องไปเรื่อยๆ จนมีอาการหรือความรู้สึกดังกล่าว

3.การส่งกระแสจิตหรือความปรารถนาออกไป 

-เมื่อจะส่งกระแสจิตหรืออำนาจจิตออกไปให้ย้ายที่ตั้งจิตจากที่จมูกมาที่อุ้งมือจากหายใจเข้าสวดคาถาเข้าไป 1 จบแต่ทีนี้เวลาหายใจออกให้เปลี่ยนจากการหายใจเป็นการเป่าลมออกมาทางปากแทนเมื่อเป่าลมออกมาทางปากก็ให้ท่องคาถามาในขณะที่เป่าลมด้วยให้กระทำแบบนี้ ซัก 5 ทีหรือ 7 ที

การเป่าลมออกมาทางปากก็คือการถ่ายทอดหรือการส่งกระแสจิตนั่นเอง เนื่องจากกระแสจิตนั้นสามารถถ่ายเทออกมาได้สองทางคือ ทางฝ่ามือและทางปากถ้าเป็นผู้ที่มีอำนาจจิตสูงๆ ก็จะส่งอำนาจจิต หรือกระแสจิตออกมาทางฝ่ามือก็ได้ อันนี้ไม่ถือเป็นข้อจำกัด

ก็ขอลองให้เพื่อนๆท่านสมาชิกหรือผู้ใฝ่รู้เอาไปลองใช้ดูนะคับ ลองปฏิบัติดูเผื่อไม่แน่ต่อไปจะได้เอาไปช่วยเหลือคนอื่นหรือช่วยตนเองก็ได้ยามฉุกเฉิน อย่างน้อยๆก็ถือซะว่าเป็นการปฏิบัติสมาธิแล้วกันนะคับ

ส่วนเรื่องคาบนั้น ลองไปหาดูในกระทู้เก่าดูนะคับ ผมเคยมีโพสตอบเอาไว้อยู่ ขอให้ท่านผู้ที่ศึกษาเอาไปใช้ในทางที่ถูกที่ควรอย่าเอาไปใช้ในทางเสื่อม และขอให้มีความตั้งใจจิงผมรับรองว่ายังไงต้องได้ผลสำเร็จแน่นอน เพราะอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นผมเคยลองแล้วก็ปรากฏว่าได้ผลดี

หากฝึกไปจนมีความชำนาญหรือมีกำลังสมาธิที่ดี สามารถทำอย่างอื่นก็ได้เช่น สะเดาะกุญแจ ปลุกพระ หรือแปลงธาตุฯ

หากผมกล่าวผิดตรงไหนหรือมีส่วนไหนที่ขาดตกบกพร่องผมต้องขออภัยด้วยนะคับแต่ถ้าตรงไหนเป็นบุญกุศลก็ขออุทิศให้ครูบาอาจารย์ทุกๆ ท่าน ที่สั่งสอนมา

ขอบคุณที่มา 
กลุ่มพลังงานสมาธิเพื่อพัฒนากายและจิต

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...