03 พฤษภาคม 2566

#การสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาไม่ใช่พระพุทธศาสนา

มีหนังสือพิมพ์เขาเขียนโจมตีว่า #การสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาไม่ใช่พระพุทธศาสนา 
อาตมาขอยืนยันว่าพระพุทธศาสนาคือต้นตำรับในการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ตัวอย่างที่ชัดที่สุดก็คืออายุวัฒนกุมาร

พ่อแม่ของอายุวัฒนกุมารเป็นพราหมณ์ พาลูกไปหาเพื่อนที่เป็นพราหมณ์ด้วยกัน เพื่อนท่านนั้นมีอภิญญา พอว่ากล่าวเรื่องธุระเสร็จเรียบร้อยก็ลากลับ 

พอพ่อลา เพื่อนพราหมณ์ก็ให้พรว่า "อายุวัฑฒะโก จงเป็นผู้มีอายุ" พอแม่ลาก็ให้พรว่า "อายุวัฑฒะโก" แต่พอลูกลาบ้าง กลับเงียบ พ่อของอายุวัฒนกุมารก็สงสัยว่าเป็นเพราะอะไร จึงถาม 

พราหมณ์ที่เป็นเพื่อนบอกว่า "ลูกเธอจะสิ้นชีวิตภายใน ๗ วัน อวยพรไปแล้วไม่มีผล ก็เลยไม่รู้ว่าจะอวยพรไป

ทำไม" คนเป็นพ่อก็ตกใจ ถามว่า "มีวิธีแก้ไขหรือไม่ ?" พราหมณ์ที่เป็นเพื่อนจึงบอกว่า ตัวท่านเองไม่รู้วิธีแก้ไข แต่พระสมณโคดมน่าจะรู้ ให้พาลูกไปกราบพระสมณโคดมจะดีกว่า

ตรงนี้เราจะต้องเห็นความดีของท่านสองประการ
ประการแรกก็คือ ท่านมีทิพจักขุญาณชัดเจน ถึงขนาดว่ากล่าวอะไรที่ไม่ตรงความจริงท่านก็จะไม่พูด
ประการที่สอง ไม่หวงลูกศิษย์ ไม่หวงพรรคพวก แนะนำให้ไปกราบพระพุทธเจ้าแทน

พราหมณ์สองสามีภรรยาก็เลยพาลูกไปกราบพระพุทธเจ้า ปรากฏว่าเหมือนกัน พอพ่อกราบพระพุทธเจ้าก็ให้พร "อายุวัฑฒะโก จงเป็นผู้เจริญด้วยอายุ" พอแม่กราบก็ให้พร "อายุวัฑฒะโก ขอจงเป็นผู้เจริญด้วยอายุ" พอลูกกราบก็เงียบ แม่ก็นั่งร้องไห้ #เพราะตรงกับที่พราหมณ์คนแรกพูดเอาไว้

พ่อจึงได้ถามพระพุทธเจ้าว่ามีวิธีแก้ไขหรือไม่ ? พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามี ให้ตั้งปะรำ ปูผ้าขาว วงสายสิญจน์ แล้วนำกุมารน้อยนั่งอยู่กลางปะรำ นิมนต์พระสงฆ์ไปเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน ๗ คืน พระพุทธเจ้าถามว่า ทำได้หรือเปล่า ? พราหมณ์ก็บอกว่าทำได้ แล้วพราหมณ์ก็จัดแจงทำพิธีดังกล่าว

พอถึงวันที่ ๗ พระพุทธเจ้าเสด็จเอง คราวนี้ในเรื่องของเทวทูต หรือที่เราเรียกว่าพระกาล การที่ท่านจะมาเอาใครไป #ท่านจะมีวาระเฉพาะของท่าน #ถ้าพ้นวาระนั้นไปก็ไม่สามารถที่จะเอาไปได้ #เพราะผิดมารยาทผิดธรรมเนียม 

พอวันสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าท่านเสด็จเอง พรหมเทวดาผู้ใหญ่มากันมาก เทวทูตท่านเป็นระดับผู้น้อยก็ต้องรออยู่ข้างนอก พระพุทธเจ้าท่านก็นั่งอยู่จนเลยเวลา #พอเลยเวลาก็บอกว่า #คราวนี้ลูกของพราหมณ์ไม่เป็นอะไรแล้ว จะเป็นผู้ที่เจริญด้วยอายุถึง ๑๒๐ ปี เลยตั้งชื่อใหม่ว่า อายุวัฒนกุมาร

ถ้าเราพิจารณาตรงนี้เราจะเห็นว่า เรื่องของการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ #พระพุทธศาสนามีบอกไว้ชัดเจนมาก

เช่นเดียวกับการที่มีคนโจมตีเรื่องทำน้ำมนต์ อย่าลืมว่า #พระพุทธเจ้าท่านแนะนำให้พระอานนท์ทำน้ำมนต์ เพื่อสงเคราะห์ชาวไพศาลีที่เกิดโรคระบาด บรรดาอมนุษย์อยู่กันเป็นจำนวนมาก จึงทำให้คนเจ็บป่วยล้มตาย พอโดนน้ำพระพุทธมนต์เข้าไป #ไม่สามารถที่จะสู้พุทธานุภาพได้ จึงเผ่นหนีกันจนกำแพงเมืองทะลายเป็นแถบ ๆ

บางเรื่องเจอบรรดาท่านที่มีแต่ปัญญา ต้องบอกว่ามีปัญญาแต่ขาดสติ เขาจะเอาแต่ธรรมะแท้อย่างเดียว พวกประเภทนี้เอาธรรมะแท้ ๆ ไปให้ก็รับไม่ได้หรอก #เขาคิดกันว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นก็เลยไปวิพากษ์วิจารณ์กันไปเรื่อย เช่นเดียวกับเรื่องของวัตถุมงคลที่ทำให้คนยึดติด ต้องฟังคำตอบหลวงปู่ดู่จึงจะชัดเจน #ท่านบอกติดวัตถุมงคล #ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล

พระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคล ๔ ประเภท ไม่ใช่บัวสี่เหล่านะ ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้แค่ ๓ เหล่า แต่กล่าวถึงบุคคลไว้ ๔ ประเภท ได้แก่

อุคฆฏิตัญญู เป็นบุคคลฉลาดมาก ฟังหัวข้อธรรมก็เข้าใจ บรรลุมรรคผลได้เลย

วิปจิตัญญู ขยายหัวข้อ อธิบายเพิ่มเติม ก็เข้าใจบรรลุมรรคผลได้

เนยยะ ต้องเคี่ยวเข็ญกันอย่างหนัก

ส่วนปทปรมะ ฉลาดเกินไป ไม่ควรที่จะสอน ปทปรมะไม่ได้โง่นะ #ฉลาดเกินมนุษย์ ตามรากศัพท์ ปทปรมะ แปลว่า มากด้วยบทบาท พวกนี้คือ #ท่ามาก ฉลาดเกินไป #ไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น #ทำตัวเป็นน้ำเต็มถ้วย รับอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้น...ปทปรมะไม่ได้โง่ หากแต่ฉลาดเกิน #ท่านว่าไม่สมควรที่จะสอนเสียเวลาเปล่า

พวกเราก็เลยเอาบัวสามเหล่า กับบุคคลสี่จำพวกไปปนกัน กลายเป็นบัวสี่เหล่า ด้วยประการฉะนี้

ฉะนั้น...เขาจะไปคิดว่าทุกคนเป็นอุคฆฏิตัญญู ย่อมเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับไปบอกเด็กสามขวบว่า เรียนด็อกเตอร์ดีที่สุด ไปเรียนเลย ในเมื่อ ก.ไก่ เด็กยังเขียนไม่ได้ แล้วจะเรียนได้หรือ ? ส่วนใหญ่ปัจจุบันจะมีคนประเภทนี้มาก

เพราะฉะนั้น...เวลาเขาวิพากษ์วิจารณ์อะไร #ถ้าเราขาดประสบการณ์มักจะคล้อยตามเขาได้ง่าย #หรือไม่ก็อาจจะเผลอไปทำลายธรรมะของพระพุทธเจ้าไปด้วย ตกลงว่าการสะเดาะเคราะห์มีอยู่ในพระไตรปิฎกด้วยนะ การทำน้ำมนต์ก็มีด้วย

เทศน์ ณ บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม ๒๕๕๒

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...