31 มกราคม 2564

ฆราวาสอย่างพวกคุณนี้ หากเริ่มเจริญกรรมฐานเมื่อใด ท่านเรียกว่า "พระ" ทันที

ฆราวาสอย่างพวกคุณนี้ หากเริ่มเจริญกรรมฐานเมื่อใด ท่านเรียกว่า "พระ" ทันที สาธุ

"แหมผมเสียดายจังครับหลวงพ่อ ที่ไม่ได้บวชเป็นพระ มิฉะนั้นแล้วผมจะลองปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์ ๑๐ กับเขาดูบ้าง" ข้าพเจ้าพูด

"อ้าว! นี่คุณยังไม่เข้าใจถึงคำว่า "พระ" เลยซินี่ คำว่า "พระโยคาวจร" นั้น ท่านหมายรวมถึงทั้งท่านที่บวชเป็นพระ และอุบาสกอุบาสิกานะ เพราะท่านใดก็ตามที่เริ่มเจริญสมถกรรมฐานและเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ท่านเรียกว่า "พระ" ทั้งสิ้นนะ ทั้งนี้เพราะ "พระ" หมายถึง ผู้ที่เริ่มเข้าถึงความเป็นผู้ประเสริฐ "โยคาวจร" แปลว่า ผู้ที่ประกอบความเพียรนะ

รวมความแล้ว "พระโยคาวจร" ก็คือ ท่านผู้มีความประพฤติประกอบความเพียร เพื่อให้ถึงซึ่งความเป็นผู้ประเสริฐนะ

ดังนั้น ฆราวาสอย่างพวกคุณนี้ หากเริ่มเจริญกรรมฐานเมื่อใด ท่านเรียกว่า "พระ" ทันที ได้เปรียบกว่าท่านที่บวชเสียอีก เพราะท่านที่บวชแล้วเข้ายังไม่เรียกว่า "พระ" นะ แต่เรียกว่า "สมมติสงฆ์" เพราะเพียงแต่เอาตัวเข้าพวกเท่านั้น ยังมิได้เอาใจเข้าพวก

ต่อเมื่อท่านที่บวชเริ่มปฏิบัติพระกรรมฐานนั่นแหละ ท่านจึงจะเรียกว่า "พระ" และหากประกอบความเพียรเพื่อหวังบรรลุมรรคผลนิพพาน จึงจะเรียกว่า "พระโยคาวจร" ซึ่งถือว่าเป็น "พระ" แท้นะ เข้าใจหรือยังล่ะ?” หลวงพ่ออธิบาย

"ถ้ายังงั้น ฆราวาสอย่างพวกผมก็มีสิทธิปฏิบัติเพื่อให้บรรลุมรรคผลเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ กับเขาได้ซีครับหลวงพ่อ" ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้

"ใช่แล้ว เป็นได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นฆราวาสหากบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์แล้ว จะต้องตายภายใน ๒๔ ชั่วโมงนะ" หลวงพ่อตอบ

"ทำไมต้องตายด้วยล่ะครับ?" ข้าพเจ้าถามด้วยความสงสัย

“"ตายเพื่อไปเสวยสุขในนิพพานน่ะ เป็นสุดยอดของความดีในพระพุทธศาสนาทีเดียวนะคุณ และการที่ต้องตาย ก็เป็นเพราะจิตของพระอรหันต์นั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องเกินกว่าที่จะอยู่ในคราบของฆราวาสต่อไปได้ ทั้งนี้เพราะฆราวาสจะต้องเกลือกกลั้วกับโลกียชน และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งฆราวาสที่มีจิตพระอรหันต์ ไม่สามารถจะยอมรับได้อีกต่อไปแล้วนั้นเอง แต่ถ้าพระภิกษุสงฆ์ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็จะยังมีชีวิตต่อไปได้นะ" พอเข้าใจหรือยังล่ะ? หลวงพ่ออธิบายแล้วย้อนถามข้าพเจ้า

"เข้าใจแล้วครับ หลวงพ่อ" ข้าพเจ้าตอบด้วยความเคารพ

วันที่ ๓๑ มกราคมเป็น “วันพระบูรพาจารย์ ภูริทัตตเถรานุสรณ์” คือวันคล้ายวันประชุมเพลิงสรีระสังขารท่าน

วันนี้วันที่ ๓๑ มกราคมเป็น “วันพระบูรพาจารย์ ภูริทัตตเถรานุสรณ์” คือวันคล้ายวันประชุมเพลิงสรีระสังขารท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร พระบูรพาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกัมมัฏฐาน ครบ ๖๙ ปี ทุก ๆ วันที่ ๓๑ มกราคมนี้คณะพระกัมมัฏฐานจะมารวมรำลึกอาจาริยบูชาคุณท่านพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร ซึ่งเป็นปัจฉิมสถานที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๒ เวลา ๐๒.๒๓ น. ขณะมีอายุ ๘๐ ปี พรรษา ๕๖ ภายหลังจึงได้มีการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ตรงบริเวณกุฏิที่องค์ท่านมรณภาพ และเมื่อวันอังคารที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๓ ได้มีพิธีประชุมเพลิงสรีระสังขารท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งภายหลังได้มีการก่อสร้างพระอุโบสถ ในบริเวณที่ประชุมเพลิงนั่นเอง คณะสงฆ์ศิษยานุศิษย์ จึงได้กำหนดวันที่ ๓๑ มกราคมของทุก ๆ ปี เป็น “วันบูรพาจารย์”

ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ยังไม่มีพระมหาเถระรูปใดจะยิ่งใหญ่ด้วยวัตรปฏิบัติปฏิปทา ถึงพร้อมด้วยศีลธรรม มีอำนาจจิตยิ่งใหญ่ครอบโลกธาตุ เป็นที่เคารพบูชาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้มากมายถึงเพียงนี้ พระอรหันต์ในประเทศไทย ล้วนเป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต แทบทั้งนั้น

เดิมท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ด้วยเห็นว่าจะเป็นการเนิ่นช้า จึงถอนความปรารถนานั้น มุ่งมั่นเป็นพระอรหันต์ในปัจจุบันชาติ ปี พ.ศ.๒๔๗๘ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บรรลุธรรมชั้นสูงสุดที่ถ้ำดอกคำ ต.น้ำแพร่ อ.พร้าว เชียงใหม่ จากนั้นธุดงค์ไปยังดอยนะโม ท่านได้พูดกับหลวงปู่ขาวว่า "ผมหมดงานที่จะทำแล้ว ก็อยู่สานกระบุงตะกร้า พอช่วยเหลือพวกท่านและลูกศิษย์ลูกหาได้บ้างเท่านั้น"

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ถือธุดงค์ ทรงผ้าบังสกุลตลอดชีวิต ออกธุดงค์ไปทางภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคเหนือ ข้ามไปลาว เขมร พม่า ได้แสวงหาวิเวกบำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่าง ๆ ชอบอยู่รุกขมูลตามถ้ำ ตามราวป่าลึก ป่าช้า ป่าชัฏที่แจ้ง หุบเขา ซอกเขา ห้วย ธารเขา เงื้อมเขา ท้องถ้ำ เรือนว่างทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงบ้าง ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงบ้าง อาศัยบิณฑบาตกับชาวป่าชาวเขา

ปฏิปทาท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต "ธุดงควัตรที่ท่านถือปฏิบัติเป็นอาจิณ ๔ ประการ คือ
๑. บังสุกุลิกังคธุดงค์ ถือนุ่งห่มผ้าบังสุกุล นับตั้งแต่วันอุปสมบทมา ตราบจนกระทั่งถึง วัยชรา จึงได้พักผ่อน ให้คหบดีจีวรบ้างเพื่ออนุเคราะห์แก่ผู้ศรัทธานำมาถวาย 
๒. บิณฑบาตกังคธุดงค์ ถือภิกขาจารวัตร เที่ยวบิณฑบาต มาฉัน เป็นนิตย์ แม้อาพาธ ไปในละแวกบ้านไม่ได้ ก็บิณฑบาตในเขตวัด บนโรงฉัน จนกระทั่งอาพาธ ลุกไม่ได้ ในปัจฉิมสมัยจึงงดบิณฑบาต 
๓. เอกปัตติกังคธุดงค์ ถือฉันในบาตร ใช้ภาชนะใบเดียวเป็นนิตย์ จนกระทั่งถึงสมัยอาพาธหนักจึงงด 
๔. เอกาสนิกังคธุดงค์ ถือฉันหนเดียว เป็นนิตย์ตลอดมา แม้ถึงอาพาธหนักในปัจฉิมสมัยก็มิได้เลิกละ

ปัจฉิมวัย 

ในวัยชรานับแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ เป็นต้นมาท่านหลวงปู่มั่นมาอยู่ที่จังหวัดสกลนคร เปลี่ยนอิริยาบถ ไปตามสถานที่วิเวกผาสุกวิหารหลายแห่ง คือ เสนาสนะป่าบ้านนามน ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง ( ปัจจุบันเป็นอำเภอโคกศรีสุพรรณ ) บ้าง ศิษย์ผู้ใกล้ชิด ได้บันทึกธรรมเทศนาของท่านไว้และได้รวบรวมพิมพ์ขึ้นเผยแพร่แล้วให้ชื่อว่า "มุตโตทัย"

ครั้น พ.ศ. ๒๔๘๗ จึงย้ายไปอยู่เสนาสนะป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จนถึงปีสุดท้ายแห่งชีวิต ตลอดเวลา ๘ ปีในวัยชรานี้ท่านได้เอาธุระอบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์ทางสมถวิปัสสนาเป็นอันมาก ได้มีการเทศนาอบรมจิตใจศิษยานุศิษย์เป็นประจำวัน

"..พิจารณาสังขารภายนอกว่า มีความเจริญขึ้นหรือเจริญลง สังขารมีอะไรใหม่หรือมีความเก่าแก่ชราหลุดไป พยายามเตรียมตัวเตรียมใจเสียแต่เวลาที่พอจะทำได้ ตายแล้วจะเสียการ ให้ท่องในใจอยู่เสมอว่าเรามีความ แก่-เจ็บ-ตาย อยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน.." โอวาทธรรมคำสอนพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

มาถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุย่างเข้า ๘๐ ปี ท่านเริ่มอาพาธเป็นไข้ ศิษย์ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ก็ได้เอาธุระรักษาพยาบาล ไปตามกำลังความสามารถ อาการอาพาธก็สงบไปบ้างเป็นครั้งคราวแต่แล้วก็กำเริบขึ้นอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยมา จนจวนออกพรรษา อาพาธก็กำเริบมากขึ้น ข่าวนี้ได้กระจายไปโดยรวดเร็ว พอออกพรรษา ศิษยานุศิษย์ผู้อยู่ใกล้ไกล ต่างก็ทยอยกันเข้ามา ปรนนิบัติ พยาบาล ได้เชิญหมอแผนปัจจุบันมาตรวจ และรักษาแล้วนำมาพักที่เสนาสนะป่าบ้านภู่ อำเภอพรรณานิคม เพื่อสะดวกแก่ผู้รักษา และศิษยานุศิษย์ที่จะมาเยี่ยมพยาบาล อาการอาพาธมีแต่ทรงกับทรุดลงโดยลำดับ

วาระนิพพาน ณ วัดป่าสุทธาวาส

หลังจากที่ท่านพักอาพาธที่วัดป่าบ้านกลางโนนภู่ ๑๑ วันแล้ว คณะศิษย์นุศิษย์ได้อาราธนาองค์หลวงปู่มั่นนอนในเปลพยาบาลแล้วนำท่านขึ้นรถเพื่อมาพัก ณ วัดป่าสุทธาวาส ออกเดินทางแต่เช้าจากพรรณานิคม ถึงวัดป่าสุทธาวาส สกลนคร เกือบ ๑๒ นาฬิกา เพราะทางหินลูกรังกลัวจะกระเทือนมาก ท่านฯ ก็หลับมาตลอด นำท่านฯ ขึ้นกุฏิ ศิษย์ผู้ใกล้ชิดก็มีท่านวัน ท่านหล้า ผู้จัดที่นอนให้ท่านฯ ได้ผินศีรษะไปทางทิศใต้ ปกติเวลานอนท่านฯ จะผินศีรษะไปทางทิศตะวันออก ด้วยความพะว้าพะวัง จึงพากันลืมคิดที่จะเปลี่ยนทิศทางศรีษะของท่านฯ

เวลาประมาณ ๐๑.๐๐ น. เศษ ท่านฯ รู้สึกตัวตื่นตื่นขึ้นจากหลับ แล้วพูดออกเสียงได้แต่อือ ๆ แล้วก็โบกมือเป็นสัญญาณ แต่ไม่มีใครทราบว่าท่านฯ ประสงค์สิ่งใด มีสามเณรรูปหนึ่งอยู่ที่นั้น เห็นท่าอาการไม่ดี จึงให้สามเณรอีกรูปไปนิมนต์พระเถระทุกรูป มีเจ้าคุณจูม พระอาจารย์เทสก์ พระอาจารย์ฝั้น เป็นต้น มากันเต็มกุฏิ

เท่าที่สังเกตดู ท่านใกล้จะละสังขารแล้ว แต่อยากจะผินศีรษะไปทางทิศตะวันออก ท่านพลิกตัวไปได้เล็กน้อย ท่านหล้า ( พระอาจารย์หล้า เขมปตฺโต ) คงเข้าใจ เลยเอาหมอนค่อย ๆ ผลักท่านไป ผู้เล่าประคองหมอนที่ท่านหนุน แต่ท่านรู้สึกเหนื่อยมาก จะเป็นการรบกวนท่านฯ ก็เลยหยุด ท่านฯ ก็เห็นจะหมดเรี่ยวแรง ขยับต่อไปไม่ได้ แล้วก็สงบนิ่ง ยังมีลมหายใจอยู่ แต่ต้องเงี่ยหูฟัง ท่านวันได้คลำชีพจรที่เท้า ชีพจรของท่านเต้นเร็วชนิดรัวเลย รัวจนสุดขีดแล้วก็ดับไปเฉย ๆ ด้วยอาการอันสงบ 

ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในเวลานั้นไว้ใน "ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" ไว้ว่า "... องค์ท่าน เบื้องต้นนอนสีหไสยาสน์ คือ นอนตะแคงข้างขวา แต่เห็นว่าท่านจะเหนื่อยเลยค่อย ๆ ดึงหมอนที่หนุนอยู่ ข้างหลัง ท่านออกนิดหนึ่ง เลยกลายเป็นท่านนอนหงายไป พอท่านรู้สึกก็พยายามขยับตัวกลับคืนท่าเดิม แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะหมดกำลัง พระอาจารย์ใหญ่ก็ช่วยขยับหมอนที่หนุนหลังท่านเข้าไป แต่ดูอาการท่านรู้สึกเหนื่อยมาก เลยต้องหยุด กลัวจะกระเทือน ท่านมากไป ดังนั้น การนอนท่านในวาระสุดท้ายจึงเป็นท่าหงายก็ไม่ใช่ ท่าตะแคงข้างขวาก็ไม่เชิง เป็นเพียงท่าเอียงๆ อยู่เท่านั้น เพราะสุดวิสัย ที่จะแก้ไขได้อีก

อาการท่านกำลังดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้ง บรรดาศิษย์ซึ่งโดยมากมีแต่พระกับเณร ฆราวาสมีน้อย ที่นั่งอาลัยอาวรณ์ ด้วยความหมดหวังอยู่ขณะนั้น ประหนึ่งลืมหายใจไปตาม ๆ กัน เพราะจิตพะว้าพะวังอยู่กับอาการท่าน ซึ่งกำลังแสดง อย่างเต็มที่ เพื่อถึงวาระสุดท้ายของท่านอยู่แล้ว ลมหายใจท่านปรากฏว่า ค่อยอ่อนลงทุกทีและละเอียดไปตาม ๆ กัน ผู้นั่งดู ลืมกระพริบตา เพราะอาการท่านเต็มไปด้วยความหมดหวังอยู่แล้ว ลมค่อยอ่อนและช้าลงทุกทีจนแทบไม่ปรากฏ วินาทีต่อไปลมก็ค่อย ๆ หายเงียบไป อย่างละเอียดสุขุม จนไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า ท่านได้สิ้นไปแล้วแต่วินาทีใด เพราะอวัยวะทุกส่วน มิได้แสดงอาการผิดปกติ เหมือนสามัญชนทั่ว ๆ ไปเคยเป็นกัน ต่างคนต่างสังเกตจ้องมองจนตาไม่กระพริบ สุดท้ายก็ไม่ได้เรื่องพอให้สะดุดใจเลยว่า "ขณะท่านลาขันธ์ ลาโลกที่เต็มไปด้วยความกังวลหม่นหมองคือขณะนั้น "

พอเห็นท่าไม่ได้การ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ พูดเป็นเชิงไม่แน่ใจขึ้นมาว่า "ไม่ใช่ท่านสิ้นไปแล้วหรือ " พร้อมกับยก นาฬิกาขึ้นดูเวลา ขณะนั้นเป็นเวลาตี ๒ นาฬิกา ๒๓ นาที จึงได้ถือเวลามรณภาพของท่าน พอทราบว่าท่านสิ้นไปแล้วเท่านั้น มองดูพระเณรที่นั่งรุมล้อมท่านอยู่เป็นจำนวนมาก เห็นแต่ความโศกเศร้าเหงาหงอย และน้ำตาบนใบหน้าที่ไหลซึมออกมา ทั้งไอทั้งจาม ทั้งเสียงบ่นพึมพำ ไม่ได้ถ้อยได้ความใครอยู่ที่ไหน ก็ได้ยินเสียงอุบอิบพึมพำ ทั่วบริเวณนั้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบเหงาเศร้าใจ อย่างบอกไม่ถูก เราก็เหลือทน ท่านผู้อื่นก็เหลือทน ปรากฏว่าเหลือแต่ร่างครอบตัวอยู่เวลานั้น ต่างองค์ต่างนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ราวกับโลกธาตุได้ดับลง ในขณะเดียวกับขณะที่ท่านอาจารย์ลาสมมติคือขันธ์ก้าวเข้าสู่แดนเกษม ไม่มีสมมติความกังวลใดๆ เข้าไปเกี่ยวข้องวุ่นวายอีก ผู้เขียนแทบหัวอกจะแตกตายไปกับท่านจริงๆ เวลานั้นทำให้รำพึงรำพัน และอัดอั้นตันใจไปเสียทุกอย่าง ไม่มีทางคิดพอขยับขยายจิตที่กำลังว้าวุ่น ขุ่นเป็นตม เป็นโคลนไปกับการจากไปของท่าน พอให้เบาบางลงบ้าง จากความแสนรัก แสนอาลัยอาวรณ์ที่สุดจะกล่าว ที่ท่านว่าตายทั้งเป็นเห็นจะได้แก่คนไม่เป็นท่าคนนั้นแล

ดวงประทีปที่เคยที่เคยสว่างไสวมาประจำชีวิตจิตใจได้ดับวูบสิ้นสุดลง ปราศจากความอบอุ่นชุ่มเย็นเหมือนแต่ก่อนมา ราวกับว่าทุกสิ่งได้ขาดสะบั้นหั่นแหลกเป็นจุณไปเสียสิ้น ไม่มีสิ่งเป็นที่พึ่งพอเป็นที่หายใจได้เลย มันสุด มันมุด มันด้าน มันตีบตันอั้นตู้ไปเสียหมดภายในใจ ราวกับโลกธาตุนี้ ไม่มีอะไรเป็นสาระ พอเป็นที่เกาะของจิตผู้กำลังกระหายที่พึ่ง ได้อาศัยเกาะพอได้หายใจ แม้เพียงวินาทีหนึ่งเลย ทั้งที่สัตว์โลกทั่วไตรภพอาศัยกันประจำภพกำเนิดตลอดมา แต่จิตมันอาภัพอับวาสนาเอาอย่างหนักหนา จึงเห็นโลกธาตุ เป็นเหมือนยาพิษเอาเสียหมดเวลานั้น ไม่อาจเป็นที่พึ่งได้ ปรากฏแต่ท่านพระอาจารย์มั่นองค์เดียว เป็นชีวิตจิตใจ เพื่อฝากอรรถ ฝากธรรม และฝากเป็นฝากตายทุกขณะลมหายใจเลย ..."

หลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานที่วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร ตรงกับวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๒ เวลา ๐๒.๒๓ น. สิริอายุ ๘๐ ปี ๕๖ พรรษา และได้ประชุมเพลิงเมื่อวันอังคารที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๓ ซึ่งภายหลังได้ก่อสร้างพระอุโบสถ ในบริเวณที่ประชุมเพลิง และพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตรงบริเวณกุฏิที่องค์ท่านมรณภาพ ภายในพิพิธภัณฑ์ได้อัญเชิญพระอัฐิธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ประดิษฐานไว้ให้ประชาชนได้กราบสักการบูชากัน อีกทั้งอัฐบริขารข้าวของเครื่องใช้ขององค์หลวงปู่มั่น ที่แสดงถึงความสมถะเรียบง่ายแบบพระป่า

 “..ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ ได้สมบัติทั้งปวง ไม่ประเสริฐเท่าได้ตนเพราะตัวตนเป็นบ่อเกิดแห่งสมบัติทั้งปวง..” โอวาทธรรมคำสอนพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

ชมภาพบรรยากาศ “ปัจฉิมสถานหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระบูรพาจารย์ใหญ่สายพระกัมมัฏฐาน” ได้ที่ลิงค์
https://www.facebook.com/thindham/media_set?set=a.400429016674312.113366.100001216522700&type=3

ชมอัลบั้มภาพ “พระอัฐิธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต” ได้ที่ลิงค์ http://www.facebook.com/media/set/?set=a.161078213942728.52514.100001216522700&type=3&l=d623471ffc

_/\_ _/\_ _/\_

30 มกราคม 2564

คุ้มไหมหากคิดจะพยาบาทใครสักคน

          พระเทวทัต.. ตามจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าในทุกชาติที่เกิดมาเจอกัน อีกทั้งกรรมที่อาฆาตผูกกันมา  ยังดูดให้มาเกิดเป็นญาติกันก็มี  เป็นลูกศิษย์อาจารย์กันก็มี  เป็นพ่อลูกแท้  ๆ      กันก็มีดังในชาติที่พระพระเทวทัตเกิดเป็นพระเจ้ามหาตปาตะ   มีลูกเป็นธรรมบาลกุมาร   ซึ่งก็คือพระโพธิสัตว์    แต่สุดท้ายก็ฆ่าลูกแท้  ๆ   โดยนำมาตัดแขนทั้ง  ๒  ข้าง  ตัดขาทั้ง  ๒  ข้าง   และทำลายศีรษะ จนกระทั่งสิ้นชีวิต  เพราะทรงเข้าใจว่ามเหสีรักลูกมากกว่าตน

          ..ในทางกลับกัน   ในชาติที่พระเทวทัตไม่ได้เกิดมาเจอพระโพธิสัตว์ พระ เทวทัตก็ได้ทำความดีอย่างมากมาย  เพราะไม่เจอเสี้ยนหนามในใจที่ไปกระตุ้นให้ทำความชั่ว  จึงทำให้พระเทวทัตสร้างกุศลอย่างราบรื่นยิ่งยวดไม่แพ้กัน   บุญนี้จึงส่งผลให้พระเทวทัตเกิดมาเหนือกว่าพระโพธิสัตว์นับชาติไม่ถ้วน  

          ..เช่นที่ชาติพระเทวทัตเกิดมาเป็นพระราชา   พระโพธิสัตว์เกิดเป็นช้าง   ในชาติที่พระเทวทัตเกิดเป็นชฎิลดาบส   พระโพธิสัตว์เกิดเป็นสุกรใหญ่  ฯลฯ  แต่พอเกิดมาเจอกันทีไร  เพราะความอาฆาตแค้นจึงทำให้พระเทวทัตสูญเสียความดีในตัวได้ง่าย  และพร้อมจะเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำลายล้างพระโพธิสัตว์  เท่ากับพระเทวทัตเอาบุญที่ทุ่มเททำมาเป็นอสงไขยกัป  มาเดิมพันในการทำความชั่วต้องสูญเสียบุญจำนวนมากไป  แถมได้บาปมาจนภพมนุษย์รองรับไม่ไหว  ดังในชาติสุดท้ายที่พระเทวทัตโดนธรณีสูบตกลงไปในอเวจีมหานรก

          พอได้อ่านเรื่องนี้แล้ว   อยากให้คิดเอาเองว่า  คุ้มไหม..? กับการคิดอาฆาตพยาบาทใครสักคน  และหากแรงอาฆาตพยาบาทนั้นดึงดูดให้ใครคนนั้นมาเกิดเป็นคนในครอบครัวของเรา  เพื่อล้างผลาญกันเอง  เราจะยังเป็นสุขได้อีกหรือ  ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุด   คือ ให้ขอขมากัน   ให้อภัยกัน   เพื่อลดภพชาติที่ต้องมาจองเวรกัน  มาขัดขวางการสร้างบารมีกันเอง  เพราะ..ทิฐิมานะที่ไม่ยอมแพ้ อาจทำให้เราต้องแพ้ตลอดไปก็ได้...

29 มกราคม 2564

เทคนิคการดผยแผ่พระพุทธศาสนา

หลักศาสนาพุทธของเราเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ก็คือการดับของจิตนั่นเอง จิต
สุดท้ายของการตายซึ่งจะนำเราไปสู่การเกิด?...

คำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีหลายระดับ คือ โลกียธรรม และ โลกุตรธรรม
ซึ่งเป็นหลักคำสอนที่มุ่งสู่นิพพาน คือความว่างอย่างยิ่ง ในธรรมชาติ แสงสว่างและเวลา
ทำให้มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถ้าไม่มีแสงสว่างก็ไม่มีเวลา เพราะเวลานั้นสัมพ้ทธ์กับ
แสงสว่าง

แสงสว่างเป็นตัวต้นกำเนิดของเมแทบอลิซึ่มทั้งปวง เช่น ทำให้เซลเราแก่ลง จึงเกิดเวลา 
เกิดอดีต เกิดอนาคต มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดปฎิจจสมุปบาท จิทัปปัจจยตา ฯลฯ..

สำหรับการเผยแผ่ศาสนาพุทธของเรา พ่อมีข้อแย้งสักเล็กน้อยเป็นการติเพื่อก่อต่างหาก
คือ การยึดติดในแนวทางปฎิบัติของสายพระป่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และ การเผยแผ่
ศาสนา เราต้องแยกให้ต่างออกมา เพราะมันต่างกัน

เพราะแนวทางปฎิบัติของสายหลวงปู่มั่น นั้นเป็นแนวทางการปฎิบัติขั้นสูงผ่านเลยโลกีย์
ธรรมแล้ว แต่สำหรับบุคคลทั่วไป และ ชาวต่างชาติ ผู้ริเริ่มมาสนใจพุทธศาสนาทั้งคนไทย
และ ชาวต่างชาติซึ่งยังมี ความรัก ความโลภ ความโกรธ และ ความหลง และ ยังมีพื้นฐาน
วัฒนธรรมที่แตกต่างจากเราโดยเฉพาะชาวต่างชาติจึงจำเป็นต้องขัดเกลา กิเลส ด้วย
สมาธิ เมื่อจิตสงบแล้วปัญญาจึงเกิด

สำหรับผู้ยึดติดในหลักการของสายพระป่า ซึ่งมีวัตรปฎิบัติที่เข้มขลังมุ่งเน้นการสละกิเลส
อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นแนวทางของอภิปรัญญา เพื่อความหลุดพ้นจากสังสารวัฐยังไม่
สามารถนำมาใช้กับบุคคลทั่วๆ ไปได้ แต่ก็สามารถพัฒนาจิตสู่ขั้นสูงได้

เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้เจริญแล้วซึ่งถึงความตระหนักรู้ทางปัญญา สำหรับผู้
ยึดติดในหลักการที่เข้มข้นและชอบเปรียบเทียบพระสายอื่นๆ ทำให้เขายึดใจผิดและถูก
คิดว่าตนเองนั้นถูกต้องเสมอ และ คนอื่นนั้นผิด ดังนั้นจิตเขาไม่ยอมเป็นกลาง ไม่สามัคคี
กับทุกอย่าง ยังมีความลำเอียงและเลือกที่รักมักที่ชัง

ดังนั้นจิตของพวกเขาก็ยังคงอยู่ในมิติที่ 3 และ อยู่กับพวกที่มีความเชื่อหรือมีความคิดที่
เหมือนกัน แต่กลุ่มบุคคลเหล่านี้จะไม่มีอิสระเพราะว่าทุกคนต้องทำตามหัวหน้ากลุ่ม หรือ
ลัทธิในความเชื่อของพวกเขา และ ในกลุ่มเขาจะมีระดับ มียศ มีเกียรติ มีตํ่า มีสูง

ยึดในรูปแบบต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ ต่างจากนี้ก็จะไม่ยอมรับ ต้องเคารพเชื่อฟังในคำสอนของหัวหน้ากลุ่ม มิฉะนั้นอาจถูกอัปเปหิออกจากกลุ่มได้ และ เขาไม่สามารถ
รักทุกคนได้ เขาจะรักแต่สิ่งที่เขาชอบเท่านั้น และ รังเกียจในสิ่งที่เขาไม่รัก และจิตเขายัง
มีการเปรียบเทียบ และ เขาเป็นกลางไม่ได้จริงๆ

แต่สำหรับคนที่ตื่นแล้ว เขาจะไม่ยึดติดในหลักปฎิบัติที่เข้มขลังเขาสามารถใช้คำสอนที่มี
ประโยชน์ของทุกๆ หลักการของศาสนาเพื่อฝึกจิตให้เป็นกลาง แต่เขาจะไม่ยึดติดในสิ่ง
ใด เขาจะอาศัยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากความสงบของจิตที่ได้รับมาจากการทำ สมาธิ
ทำให้จิตเขาปล่อยวาง และ ละไปเรื่อยๆ จนจิตใจเขามีแสงสว่าง และ มองสาเหตุว่า ทุก
อย่างเกิดขึ้นมาจากอะไร ทำให้เขาหายหลง

ปัญญาพวกนี้ไม่ได้เกิดมาจากการอ่านหนังสือ หรือไปจำมาจากผู้อื่น เป็นอุบัติปัญญา ดังนั้นจิตมองเห็นความเข้าใจผิดได้ในปัจจุบันขณะ ดังนั้น จิตจึงต้องมีความสงบพอเพียง
จึงรู้สึกกว้างขึ้น และ มองเห็นในสิ่งพวกนี้ได้ ทำให้จิตหลุดจากความคิด ความเชื่อ และ
อารมณ์ที่แกว่งไปมา จิตก็เลยรู้สึกนิ่ง เย็น โล่ง สบาย ทำให้มองเห็นว่าจิตหลอกตัวเองให้
เป็นทุกข์ได้อย่างไร จิตหลอกตัวเองให้ไปยึดมั่นอย่างไร จิตหลอกตัวเองให้ไปเปรียบ
เทียบได้อย่างไร 

เมื่อมันไปเห็นชนวนก่อเหตุ มันก็เลยไปดับที่เหตุ ทำให้จิตมีความเป็นกลางต่อทุกสิ่ง มี
ความรักความเมตตากับทุกอย่างได้ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ดังนั้น ผู้ที่ตื่นแล้วพวกเขาจึงมี
อิสระและไม่บังคับกัน พวกเขาจะส่งแรงบันดาลใจและเน้นให้ผู้ฝึกสมาธิเบิกบานใจ ทำให้
จิตคลายจากความเครียด และ มีความเป็นกลางอยู่เสมอ มีความยินดีและพอใจอยู่กับ
ปัจจุบันขณะ

รู้สึกปล่อยวางการเปรียบเทียบ ดังนั้นจึงไม่มีใครตํ่าหรือใครสูงกว่ากัน เปรียบดังเหมือน
กัลยาณมิตร แต่ทุกคนก็เคารพและรักกันได้ ด้วยความเป็นกลางและพบกับของจริง เราจะ
ได้มีความชำนาญในการสังเกตุจิตใจของตนเอง และ เราก็สามารถปล่อยวางได้เอง ทำให้ตนเองพบความสุขอันแท้จริงในใจเมื่อจิตมีความเย็น สงบ ไม่ยึดติดสิ่งใดแต่สามารถอยู่กับทุกสิ่งได้เพราะจิตมี ความอิ่มเอม ชื่นบาน สดใส สงบ สว่าง แจ่มแจ้งและ
มีความฉลาดซึ่งเกิดจากความเป็นกลาง 

ทำให้เรารู้ว่าอะไรสมควร อะไรไม่สมควร สามารถรักษาศิลได้ ไม่ทำร้ายผู้อื่นทั้ง กิริยา
วาจา หรือ ท่าทางของตนเอง ทำให้เรามี สมดุล และ มีความสามัคคีมีความเคารพต่อความ
เห็นต่างของผู้อื่น และ ให้เกียรติต่อทุกคน ได้อย่างเป็นกลางที่สุด โดยไม่มีการเปรียบ
เทียบหรือเปรียบเป็นอย่างอื่นเลย...

ที่มา
แสงสว่าง มองการไกล.....

28 มกราคม 2564

การสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของเราให้แข็งแรง เพื่อต่อต้านไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่

ข้อความต่อไปนี้ เป็นคำเตือนให้พวกเรามีสติ รักตนเอง รักสุขภาพของตนเอง เพื่อสร้าง
ภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของเราให้แข็งแรง เพื่อต่อต้านไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่ เพราะในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนรักษาอาการแต่อย่างใด พวกเราจำเป็นที่จะต้องพึ่งตนเอง อย่ารอภาครัฐ หรือ การสาธารณะสุขเลย.?..

1 อย่างแรกขอให้พวกเราตรวจดูการดำเนินชีวิตของตัวเองอย่างแท้จริง สุขภาพจิต และกายของเราเป็นอย่างไร สบายดีหรือมีโรคหรือเปล่า แล้วเริ่มตั้งใจว่าเราจะเอาใจใส่ดูแล
สุขภาพของตัวเองให้ดีที่สุด

2 รับประทานอาหาร ให้ครบสามมื้อ ให้ตรงต่อเวลา ไม่ควรรับประทานระหว่างมื้อ มันจะทำให้ร่างกายทำงานอย่างไม่มีเวลาพักผ่อน ขอให้เราจำไว้เสมอว่า อาหารคือพลังงาน 
แต่หากมีพลังงานมากเกินไปก็จะทำให้อ้วนกินแต่พอดีๆ ก็เพียงพอแล้ว

3 อย่ารับประทานแป้งมากเกินไป อาหารแป้งจะเปลี่ยนเป็น อินซูลิน และ ถ้าร่างกายเรา
เผาผลาญได้ไม่ดี มันก็จะสะสมเป็นไขมันที่พุงของเรา

4 ฝึกหายใจยาวๆ ช้าๆ เพื่อรับเอาอากาศบริสุทธิ์ เท่าที่เราจะทำได้ ข้อควรปฎิบัติมีอยู่ 4สิ่ง
คือ ดำรงอยู่อย่างธรรมชาติ ใช้เวลาอยู่ในบ้านให้มากไม่ควรออกไปในที่ชุมนุมชนมากๆ 
โดยเฉพาะที่มีเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชาวจีนจำนวนมาก เวลานอนควรเปิดหน้าต่างรับอากาศบริสุทธิ์ สุดท้ายรับประทานผักสะอาดอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง

5 เช้าๆ ควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที เช่น เดินบ้าง วิ่งบ้าง ขี่จักรยาน เล่น
โยคะ หรือ ออกกำลังกายแบบซี่กงก็ย่อมได้

6 อาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นสำคัญมาก ควรทานผักและผลไม้ให้ได้ทุกวัน ระวัง
อาหารข้างทางที่ไม่ปิดมิดชิด หรือ เปิดหม้อขาย เชื้อไวรัสที่ปลิวไปในอากาศ ลมหายใจ
ของคนขายและผู้ซื้อ เชื้อโรคที่ติดมากับมือ เสื้อผ้าของลูกค้าคนอื่นเมื่อเข้ามาใกล้กับ
อาหารที่ขายอาจทำให้เราติดเชื้อนั้นโดยไม่รู้ตัวก็ได้

7 ส่วนใครที่ชอบทานวิตามินต่างๆ ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าวิตามินนั้นดีและมีประโยชน์จริง อย่าเชื่อแต่คำโฆษณา เพราะวิตามินบางอย่างหากเราทานมากเกินไปกว่าร่างกายเราต้อง
การก็อาจเกิดเป็นโทษได้

8 พึงงดรับประทานของหวานจัด ที่มีนํ้าตาลมาก รวมถึงนํ้าอัดลมชนิดต่างๆ ด้วย เครื่องดื่ม
ที่มีคาเฟอีนแม้แต่เพียงน้อยก็มิควรดื่มเลยในระยะนี้ เพราะมันจะเพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหาร และ ลำไส้ของเรา เป็นเหตุให้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ง่าย

9 วิถีทางในการดำเนินชีวิตก็มีส่วนสำคัญมากด้วยเช่นกัน นอกจากการกิน การดื่ม การพัก
ผ่อนหย่อนใจแล้ว ควรใช้เวลาผึ่งแดดบ้างตอน 10 น.สักวันละ 15 นาทีโดยให้มีเสื้อผ้า
น้อยชื้นที่สุดเพราะในขณะนี้คือช่วงหน้าหนาว แสงแดดคือวิตามินธรรมชาติ ที่จะรักษาผิว
พรรณของเราให้ปราศจากเชื้อโรคที่ติดอยู่บนผิวเนื้อของร่างกายเราทั่วทั้งเรือนร่าง

10 อย่าทำงานมากจนเกินไป จนเราไม่มีเวลาพักผ่อน ควรมีเวลาพักสมองบ้าง พักสายตา
พักผ่อนร่างกายตามสมควรแก่เวลา

11 ไม่ควรสูบบุหรี่ หรือ ดื่มเหล้า เพราะสิ่งเสพติดเหล่านี้ ไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ร่างกาย
ของเรา และ สมองเราเลย ทำให้เราติดเชื้อทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น

12 ขอให้พวกเราตั้งปณิธานอย่างมุ่งมั่นและแน่วแน่ ว่า "ตั้งแต่นี้ต่อไป พวกเราต้องรักตัวเองอย่างจริงจัง คอยระวังรักษาสุขภาพทั้งจิตใจ และ ร่างกายให้ดีที่สุด โดยเฉพาะการระวังความคิดด้านลบ คำพูด การกระทำ ให้เป็นความคิดด้านบวกเสมอๆ โดยไม่พยายาม
กระพือข่าวที่สร้างความแตกตื่นแก่คนทั่วไป"

การกิน การนอน การพักผ่อน การออกกำลังกาย ขอให้พวกเราทำให้ได้อย่างสมํ่าเสมอ
เพื่อรักษาสุขภาพ ของตัวตนเราให้ดำรงคงอยู่ดีมีความสุข เพื่อให่ผ่านช่วงเวลาวิกฤติ 
โรคระบาดในครั้งนี้อย่างปลอดภัย....


ขอบคุณที่มา
Teucer Rom...

แสงสว่าง มองการไกล...

Lightworkers

เรียนเพื่อน Lightworker ฉันขอให้คุณแบ่งปันข้อมูลนี้กับ Lightworker และเครือข่ายอื่น ๆ ที่คุณเป็นส่วนหนึ่ง นี่คือการออกอากาศที่สำคัญและต้องมีการเข้าถึงที่ไกล

 ความหวาดกลัวมวลชนจำนวนมหาศาลกำลังแพร่กระจายไปทั่วโลกโดยกำลังของแสงที่ไม่ทำงานต่อมนุษยชาติ ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของ“หากฉันไม่สามารถมีใครก็ไม่สามารถมี” ความโกรธแค้นว่ากองกำลังฝ่ายมืดเหล่านี้กำลังใช้ความพยายามครั้งสุดท้ายเพื่อสร้างความโกลาหลบนโลกเนื่องจากพวกเขาถูกบังคับให้ออกจากโลก พลังงานในปัจจุบันที่กำลังมาถึงโลกไม่สนับสนุนการควบคุมและการครอบครองของพวกเขาฝ่ายมืดอีกต่อไปและดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่มีมิติต่ำกว่าที่ใช้ในการกำจัดพลังงานของผู้อื่นจะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นี่อีกต่อไป

 Corona Virus เติบโตบนความหวาดกลัวมันยึดติดกับการสั่นสะเทือนของความกลัวนั่นคือวิธีการที่ฝ่ายมืดตั้งโปรแกรมไว้ มันไม่สามารถแตะต้องคุณได้ถ้าการสั่นสะเทือนของคุณสูงและความคิดและการกระทำของคุณเป็นบวก ที่ถูกกล่าวว่าเราจะต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่ติดเชื้อ การรับรู้เป็นกุญแจสำคัญหากไม่มีความกลัว

 รู้ว่าสื่อกระแสหลักถูกควบคุมโดยกองกำลังฝ่ายมืด 100% ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือในการแพร่กระจายความกลัวสู่มวลชนที่ไม่รู้สึกตัว มันปลอดภัยที่จะถามทุกอย่างเมื่อมันมาถึงข่าว การควบคุมสื่อเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรกสำหรับกองกำลังเหล่านี้เพราะเป็นสื่อที่มีความรับผิดชอบในการแพร่กระจายความกลัวและความหวาดกลัว

 ปี 2020 เป็นปีที่สำคัญยิ่งสำหรับการขึ้นสวรรค์ของเรา การสั่นสะเทือนที่เรายึดถือในฐานะกลุ่มจะเป็นตัวกำหนดว่าเราเอาชนะอุปสรรคได้อย่างง่ายดายตามเส้นทางของเราในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ดังนั้นจึงมีความสำคัญสูงสุดที่เราตระหนักถึงภาพที่ใหญ่กว่าและไม่ยอมให้มีการจัดการและความกลัวเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นกลยุทธ์การควบคุมเพื่อให้เราสงบลง

 ไวรัสโคโรนาถูกฉีดเข้าไปในประชากรของเราอย่างจงใจและจีนตกเป็นเป้าหมายของอิลลูมินาติเนื่องจากมีประชากรสูงและมีโอกาสสูงที่จะแพร่กระจายไปยังส่วนที่เหลือของโลกจากที่นั่น

 เจตนาที่แท้จริงของไวรัสนี้คือกำจัดประชากรของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กองกำลังฝ่ายมืดไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อาวุธของพวกเขาในการเริ่มสงครามเนื่องจาก Galactics ปลดอาวุธอาวุธของพวกเขาและทำให้พวกเขาไร้ประโยชน์

 WORLD WAR III จะไม่ได้รับอนุญาตไม่ว่าในกรณีใด ๆ พลังใด ๆ ที่พยายามเริ่มสงครามจะเผชิญกับผลที่ตามมาทันที ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนไปยังกลวิธีที่สองโดยใช้อาวุธชีวภาพต่อมนุษยชาติเนื่องจากเป็นการง่ายกว่าที่จะป้องกันการโจมตีเหล่านี้ผ่านการตรวจจับจากกองกำลังทางช้างเผือก

 เรารับรองว่าไม่มีอะไรที่น่ากลัวในสถานการณ์นี้ ใช่จะมีวิญญาณบางคนออกจากโลกเนื่องจากการโจมตีนี้รวมถึงความพยายามที่คล้ายกันในอนาคตอื่น ๆ เพื่อกำจัดมนุษยชาติ อย่างไรก็ตามวิญญาณที่ออกจากโลกในขณะนี้เป็นคนที่ยอมรับสัญญาวิญญาณเพื่อดำเนินการต่อเนื่องจากความรุนแรงของโลกนี้ไม่สามารถรับได้อีกต่อไป

 Lightworkers ของ Planet Earth กำลังได้รับการแนะนำให้เก็บการสั่นสะเทือนของพวกเขาสูงและในการทำเช่นนั้นจะยังคงไม่ได้รับผลกระทบ

 เครดิตต้นทาง: http://sharonandivo.weebly.com/

 Page นี้สำหรับการอัพเดทในอนาคต: facebook.com/eldora1111

 ยูทูป : https://www.youtube.com/channel/UCqjnhNoAf51J7Nh1_ATdKXA

ด้วยความรัก,

 Rose EldoRa
 27 ม.ค. 2020

คำอธิษฐานปลดล๊อคตนเองจากคำมั่นสัญญา อธิษฐาน สาบาน

จากคำสาบาน คำอธิษฐาน คำสาปแช่ง
ที่ติดมาแต่ภพก่อนชาติก่อน...ทำก่อนจะสายเกินไป

หลายคนเจออุปสรรคกรรมหนัก ทำอะไรไม่ขึ้นแม้จะดีแค่ไหน
หลายคนหลงในอาชีพที่ทำเท่าไหร่ก็ไม่ก้าวหน้า เพราะติดคำสาบาน คำอธิษฐานของตนเองไว้

เช่น เคยอธิษฐานจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาในภพก่อน
มาชาตินี้เปลี่ยนภพ เปลี่ยนรูปและนาม จำสัญญาเดิมไม่ได้
ทำอาชีพค้าขายแม้สุจริตแต่มีเนื้อสัตว์มาเกี่ยวข้อง
ต้องเจออุปสรรคกรรมอย่างหนัก จนแทบเอาชีวิตไม่รอด เดือนร้อนไปหมด

บางคนอธิษฐาน สาบานอย่างแรงกล้าไม่เอาแล้วการรับราชการ เคยรบราฆ่าฟันเพราะด้วยหน้าที่ต่อแผ่นดินในภพก่อน พอชาตินี้มารับราชการ เหมือนโดนบีบคั้นทุกทาง ไม่ก้าวหน้าเลย

ขอให้ถอดคำอธิษฐาน คำสาบานที่ลอคตนเองไว้
ขอให้สร้างบุญใหม่ก่อน จะด้วยทาน ศีล ภาวนา
เพื่อขออำนาจให้บุญเป็นพยาน ไปปลดลอคเสีย
หลังจากนั้นให้

กล่าวคำขออโหสิกรรม

ตั้งนะโม ๓ จบ

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะกะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต
อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

กายกรรมใด วจีกรรมใด มโนกรรมใด
ที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินไว้ ด้วยกายก็ดี
ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ต่อหน้าก็ดี
ลับหลังก็ดี โดยเจตนาก็ตาม ไม่เจตนาก็ตาม

ในพระรัตนตรัย มารดา บิดา ครูอาจารย์
ผู้มีพระคุณ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
ขอท่านได้โปรดงดโทษและอโหสิกรรม
ให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ

คำถอนคำอธิษฐาน สาบาน คำสาปแช่ง

ข้าพเจ้าขอถอนคำสัญญา คำสาบาน
คำอธิษฐาน คำสาปแช่ง ที่ผูกมัดตัวเองและผู้อื่น
ณ กาลบัดนี้เป็นต้นไป

ขอให้ต่างฝ่าย ต่างเป็นอิสระต่อกันและกัน
จากคำสัญญาคำสาบานคำสาปแช่งนั้นๆ
ในกาลใดใดก็ตาม

โดยไม่อาฆาตพยาบาทจองเวรซึ่งกันและกัน
ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำในบัดนี้

หากมีผู้ใดเคยก่อเวร สร้างกรรมไว้กับข้าพเจ้า
ไม่ว่าจะชาติใด ภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดี
อโหสิกรรมให้ท่าน และขอถอนคำสาปแช่ง
ขอถอนความอาฆาต พยาบาทตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ด้วยกุศลบุญกิริยานี้ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของชนเหล่านั้น
ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

พยายามทำทุกวันจนกว่าชีวิตจะดีขึ้นๆๆๆ
และสร้างบุญอย่าหยุด รักษาศีลให้มั่นคง
หมั่นสวดมนต์ เจริญสมาธิ ภาวนา ตั้งจิตอธิษฐานขออโหสิกรรมทุกครั้ง
รับรองว่า จะพ้นไปได้

ขอบุญรักษา ธรรมะคุ้มครอง
ครูบาอาจารย์เมตตา เทวดาค้ำชูทุกท่านเทอญ
ธ.ธรรมรักษ์

ฌานมหัศจรรย์ของหลวงปู่สาม_อกิญฺจโน

โดยปกติอันเป็นอุปนิสัยแท้และดั้งเดิมของหลวงปู่สาม อกิญฺจโน ท่านเป็นผู้พูดน้อย สงบเสงี่ยมมีศีลาจารวัตรอันงดงามในความเป็นสมณะ บอกถึงความเป็นพระผู้ปรารถนาวิมุตติสุข

จากคำบอกเล่าของศิษย์ผู้ปรนนิบัติรับใช้อย่างใกล้ชิดได้เล่าต่อ ๆ กันมาว่า ...
ภายในกุฏิของหลวงปู่สาม ยามค่ำคืน จะมองเห็นแสงสว่าง เรื่อเรื่องเป็นดวง ๆ

ดูแต่ไกลประหนึ่งว่าท่านได้จุดประทีปดวงน้อยตามไว้รอบห้อง แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ ปรากฏไม่มี เทียนสักเล่ม

แต่แสงเรื่อเรื่องนั้นได้แตกสว่างอยู่ในอากาศ ระบายเป็นจุดสว่างอยู่ทั่วไปภายในกุฏิของท่าน

เมื่อมีผู้เรียนถามหลวงปู่สาม ว่า “เป็นแสงอะไร?”

ท่านได้กรุณาตอบว่า “เป็นแสงเรื่อเรื่องของเทพยดาต่าง ๆ ที่มีความผูกพันกับสถานที่นั้น เขามาร่วมอนุโมทนาบุญ

และอีกเรื่องนึง สมัยที่หลวงปู่สามท่านเดินธุดงค์ท่องเที่ยวขึ้นไปทางภาคเหนือ ไปพำนักอยู่ที่ถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่ จากนั้นก็ย้ายไปพำนักอยู่ในป่า

คืนวันหนึ่ง ขณะที่หลวงปู่สาม กำลังนั่งบำเพ็ญเพียรสมาธิภาวนาอยู่ในกระต๊อบหลังเล็ก ซึ่งโยมคนหนึ่งได้มาปลูกไว้ให้ท่านอาศัยพำนัก

ขณะที่จิตของท่านดิ่งลงสู่สมาธิในฌานสมาบัติอยู่นั้น มีชาวบ้านซึ่งไม่พอใจในการแสดงธรรมของท่านให้ประชาชนเลิกนับถือผีสาง เลิกงมงายในสิ่งเหลวไหล

ชาวบ้านผู้นี้ได้สูญเสียประโยชน์จากการหลอกลวงผู้อื่นให้นับถือผี ได้ย่องเข้ามาในกระต๊อบ ของหลวงปู่สาม

แล้วเอาก้อนหินใหญ่ทุ่มลงบนศีรษะของท่าน จนศีรษะแตกเลือดสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้ง พื้นและข้างฝากระต๊อบ

แต่หลวงปู่สามก็ยังไม่รู้สึกตัว ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงทรงอยู่ในฌานสมาบัติ

ทำให้ชายผู้ลอบมาทำร้ายคิดว่า หลวงปู่สามคงจะมรณภาพไปแล้ว ชายผู้นั้นจึงพังฝากระต๊อบ ให้ทับถมลงไปบนร่างของหลวงปู่สาม แล้วจึงหลบหนีไป

ต่อมาครั้นเมื่อหลวงปู่สาม ถอนจิตออกจากฌานสมาธิแล้ว ท่านมีความแปลกใจว่า
ทำไมกระต๊อบจึงพังทลายลงมา 
และรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ทั่วนี้มาจากไหน ?
ทำไมเลือดจึงมากมายเช่นนี้”

ครั้นเมื่อได้พิจารณาร่างกายของท่านเอง จึงได้รู้ว่าเลือดเหล่านั้น ไหลออกจากบาดแผลในร่างกายของท่านนั่นเอง ฟันในปากก็โยกคลอน ภายในปากก็แตก แต่ที่ใบหน้ากลับไม่ปรากฏบาดแผล

ท่านจึงนึกได้ว่า ต้องมีผู้ลอบมาทำร้ายในขณะที่ท่านกำลังอยู่ในฌานสมาธิ ทำให้ท่านรู้สึกขบขัน ไม่ได้มีความโกรธเคืองแต่ประการใด

จากนั้นหลวงปู่สามก็เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านได้เห็นร่างกายและจีวรของท่าน ชุ่มโชกไปด้วยเลือด จึงได้สอบถามท่าน พอรู้เรื่องต่างก็มีความโกรธแค้นมาก

จึงสืบสาวราวเรื่องก็ได้ทราบว่า มีบุคคลบางจำพวกโกรธแค้นหลวงปู่สาม ได้จ้างชาวบ้านผู้นั้น ให้มาลอบทำร้ายท่าน

ต่อมาภายหลัง ชายคนร้ายนั้น เมื่อทราบว่า หลวงปู่สาม ไม่มรณภาพ ก็มีความตกใจกลัวเป็นอันมาก

ได้เข้ามากราบสารภาพผิดกับหลวงปู่สาม หลวงปู่สามก็ได้ให้อโหสิไม่โกรธเคืองอาฆาตผูกพยาบาทแต่ประการใด

แต่นั่นแหละเพราะบาปกรรมที่ทำร้ายพระผู้ทรงศีลพระวินัยอันสะอาดบริสุทธิ์ขณะทรงฌาน

บาปนั้นได้สนองคนร้ายในเวลาต่อมาด้วยการประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก เรียกว่า "กรรมทันตาเห็น"

" .. ธรรมะของจริงอยู่กับบุคคลทุกคน
เว้นไว้แต่คนไม่ทำ ถ้าทำต้องมีทุกคน 
เพราะธรรมะเป็นของจริง 
ต้องทำจริงจึงจะเห็นธรรมะของจริง 
การกระทำต้องทำจิตใจให้สงบ 
ใจจะสงบได้ ก็ต้องอาศัยการพยายาม
ทำจิตใจให้มันดี ทำจิตใจให้พอใจในใจ
เพราะธรรมะเป็นของละเอียดลึกซึ้ง
ของจริงมันมีทุก ๆ คน
ธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ก็มีอยู่ในคนทุกคน
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 
ก็มีอยู่ทุกคน แต่เราทำไม่ถึง
ไม่ถึงพระพุทธ ไม่ถึงพระธรรม ไม่ถึงพระสงฆ์ .."
โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่สาม อกิญฺจโน

หลวงปู่สาม อกิญฺจโน แห่งวัดป่าไตรวิเวก จ.สุรินทร์ ท่านเป็นศิษย์ขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และหลวงปู่ดุลย์ อตุโล หลวงปู่สามมรณภาพเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ 

กราบ กราบ กราบ

_/\_ _/\_ _/\_

#ขอขอบคุณท่านเจ้าของภาพและบทความ

นิมิต แห่ง คู่บารมีโพธิสัตว์

มีสตรีหลายท่าน ที่ได้ ปรารถนาพุทธภูมิเป็นพระพุทธเจ้า พร้อมกับ ปารถนาเป็น นางแก้ว(คู่บารมี)ของพระโพธิสัตว์ คือ ปารถนา๒ อย่าง

...ทั้งคู่ หลายภพชาติได้ครองคู่กัน ร่วมสร้างบารมีด้วยกัน มาในชาตินี้ สตรีผู้เป็น นางแก้ว..อาจมาเกิดเป็น มนุษย์ และมีใจฝักใฝ่ในธรรม..ส่วนพระโพธิสัตว์คู่บารมี อาจเกิดมาเป็น ชาวทิพย์ในสวรรค์ หรือ เป็น พญานาคโพธิสัตว์ ในเมืองบาดาลก็ได้..

สตรีนางแก้วนี้ มักจะมีจิตสัมผัสไว มีลางสังหรณ์แม่น...มีทิพยจักขุญาณดี.. หลายๆครั้ง มนุษย์นางแก้วนี้ มักจะนิมิต หรือ ฝัน ถึงงูใหญ่ พญานาค บ้างเห็นวรรณะทอง วรรณะดำ วรรณะเขียว วรรณะรุ้ง มาพันลำตัวบ้าง มาปรากฏเป็นเทพบุตรให้เห็นนั้นคือ พระโพธิสัตว์ หรือ คู่บารมี เพื่อกระตุ้นเตือน ถึงสัญญาอธิษฐานเก่า..ที่ให้กันไว้

...เช่นเดียวกัน มีบางท่านชาติที่แล้ว เกิดเป็นโอรสพญานาค และมีคำมั่นว่า จะอภิเษกสมรสกับ นาคี ในเมืองบาดาล แต่พอมาชาตินี้ มาเกิดเป็นมนุษย์ผู้ชาย พวกเขาจะฝันว่า..พญานาคมาตามให้กลับเมืองบาดาล เพื่อมาแต่งงานกับธิดานาคราช เป็นต้น

....ส่วนนางแก้วคู่บารมีท่านใด ที่ปารถนาทั้ง เป็นพุทธภูมิ และ นางแก้ว ควรจะต้องรู้ว่า เส้นทางไหน ที่เพียรบารมีมากกว่ากัน ควรเลือกเส้นทางนั้น และ ละเส้นทางอื่น..เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลานาน ในการเกิด-ตาย สร้างบารมี พบความทุกข์ ที่ยาวนาน หลายอสงไขย

...เช่น ถ้าสร้างบารมีด้านนางแก้ว(เข้มแข็ง) มากกว่า ด้านพุทธภูมิ (พุทธภูมิอ่อน) ควร ตั้งจิตอธิษฐานลาจากพุทธภูมิ และตั้งจิตอธิษฐาน เป็นคู่บารมีพระโพธิสัตว์ให้แน่นแฟ้นขึ้น"
 
  ***...การจะบำเพ็ญบารมี ไม่ว่าจะปรารถนาพระโพธิญาณ หรือปรารถนานางแก้ว..ล้วนแต่ต้องเจริญพรหมวิหาร ๔ ทั้งสิ้น ..

ที่มา  มโนธาตุ โพธิญาณ

โอกาสที่จะบรรลุธรรมมี ๕ ประการ

การสวดมนต์มีประโยชน์มากเพราะการสวดมนต์ เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอน ของพระองค์มีคุณอย่างไรและพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้า มีคุณเช่นไร
การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิแล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเจริญในธรรม จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์
ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี ๕ โอกาสด้วยกันคือ
• เมื่อฟังธรรม
• เมื่อแสดงธรรม
• เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์
• เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น
• เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ


ที่มา
โอวาทธรรท : สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

#โพสต์ธรรมะเป็นธรรมทานและเพื่อสอนใจไว้เตือนตนเอง
#น้อมกราบพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยเศียรเกล้า

การปฏิบัติวิปัสสนาญาณ 9


จงอย่าลืมว่าก่อนพิจารณาทุกครั้งต้องเข้าฌานก่อน แล้วถอยจากฌานมาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน แล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณจึงจะเห็นเหตุผลง่าย ๆ ถ้าท่านไม่อาศัยฌานแล้ว วิปัสสนาญาณก็มีผลเป็นวิปัสสนึกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรดีไปกว่านั่งนึกนอนนึก ในที่สุดก็เลิกนึก และหาทางโฆษณาว่าฉันทำมาแล้วหลายปีไม่เห็นได้อะไรเลย
จงจำระเบียบไว้ให้ดีและปฏิบัติตามระเบียบให้เคร่งครัด วิปัสสนาไม่ใช่ต้มข้าวต้มจะได้สุกง่าย ๆ ตามใจนึก
1. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ
2. ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ
3. ภยตูปัฏฐานญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว
4. อาทินวานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นโทษของสังขาร
5. นิพพิทานุปัสสนาญาณ พิจารณาสังขารเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย
6. มุญจิตุกัมมยตาญาณ พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขารไปเสีย
7. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร
8. สังขารุเปกขาญาณ พิจารณาเห็นว่าควรวางเฉยในสังขาร
9. สัจจานุโลกมิกญาณ พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง 8 เพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ
ญาณทั้ง 9 นี้ ญาณที่มีกิจทำเฉพาะอยู่ตั้งแต่ญาณที่ 1 ถึงญาณที่ 8 เท่านั้น ส่วนญาณที่ 9 นั้นเป็นชื่อของญาณบอกให้รู้ว่า เมื่อฝึกพิจารณาครบ 8 ญาณแล้ว ต่อไปให้พิจารณาญาณทั้ง 8 นั้นโดยอนุโลมและปฏิโลม คือพิจารณาตามลำดับไป ตั้งแต่ญาณที่ 1 ถึงญาณที่ 8 และพิจารณาตั้งแต่ญาณที่ 8 ย้อนมาหาญาณที่ 1 จนกว่าจะเกิดเป็นเอกัคคตารมณ์ทุก ๆ ญาณ
และจนจิตเข้าสู่โคตรภูญาณ คือจิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎธรรมดา เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตนเองหรือคนอื่นเป็นของธรรมดาไปหมด สิ่งกระทบเคยทุกข์ร้อน ก็ไม่มีความทุกข์ความเร่าร้อนไม่ว่าอารมณ์ใด ๆ....
▪️1.อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ▪️
ญาณนี้ท่านสอนให้พิจารณาความเกิดและความดับของสังขาร คำว่าสังขารหมายถึงสิ่งที่เป็นรูปร่างทั้งหมด ทั้งที่มีวิญญาณและวัตถุ ท่านให้พยายามพิจารณาใคร่ครวญเสมอ ๆ ว่า สังขารนี้มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้ว ต่อไปก็แตกสลายทำลายไปหมด ไม่มีสังขารประเภทใดเหลืออยู่เลย
พยายามหาเหตุผลในคำสอนนี้ให้ชัด ดูตัวอย่างคนที่เกิดและตาย ของที่มีขึ้นและแตกทำลาย ดูแล้วเกิดคิดทบทวนมาหาตนและคนที่รักและไม่รัก ของที่มีชีวิตและไม่มี คิดว่านี่ไม่ช้าก็ต้องตายทำลายอย่างนี้ และพร้อมเสมอที่จะไม่หวั่นไหวในเมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างนั้น พิจารณาทบทวนอย่างนี้จนอารมณ์เห็นเป็นปกติ
ได้อะไรมาเห็นอะไรก็ตาม แม้แต่เห็นเด็กเกิดใหม่อารมณ์ใจก็คิดว่านี่ไม่ช้ามันก็พังไม่ช้ามันก็ทำลาย แม้แต่ร่างกายเราไม่ช้ามันก็สิ้นลมปราณ อะไรที่ไหนที่เราคิดว่ามันจะยั่งยืนถาวรตลอดกาลไม่มี รักษาอารมณ์ให้เป็นอย่างนี้จนอารมณ์ไม่กำเริบ แล้วจึงค่อยย้ายไปพิจารณาญาณที่ 2
▪️2.ภังคานุปัสสนาญาณ▪️
ญาณต้นท่านให้เห็นความเกิดและความดับสิ้นเมื่อปลายมือ แต่ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเห็นความดับที่ดับเป็นปกติทุกวันเวลา คือพิจารณาให้เห็นสรรพสิ่งทั้งหมดที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า คน สัตว์ ภูเขา บ้านเรือนโรง ของใช้ทุกอย่าง ให้ค้นหาความดับที่ค่อย ๆ ดับตามความเป็นจริง ที่สิ่งเหล่านั้นค่อย ๆ เก่าลง
คนค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นจากความเป็นเด็ก และค่อย ๆ ละความเป็นหนุ่มสาวถึงความเป็นคนแก่ ของใช้ที่ไม่มีชีวิตเปลี่ยนสภาพจากของใหม่ค่อย ๆ เก่าลง เป็นอาการของความสลายตัวทีละน้อย ค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปหาความสลายใหญ่คือความดับสิ้นในที่สุด ค่อยพิจารณาให้ชัดเจนแจ่มใสจนอารมณ์จิตเป็นเอกัคคตารมณ์
▪️3. ภยตูปัฏฐานญาณ▪️
ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว ท่านหมายถึงให้กลัวเพราะสังขารมีสภาพพังทลายเป็นปกติเป็นธรรมดาอย่างนี้ จะเอาเป็นที่พักที่พึ่งมิได้เลย สังขารเมื่อมีสภาพต้องเสื่อมไปเพราะวันเวลาล่วงไปก็ดี เสื่อมเพราะเป็นรังของโรค มีโรคภัยนานาชนิดที่คอยเบียดเบียนเสียดแทงจนหาความปกติสุขไม่ได้
โรคอื่นยังไม่มี โรคหิวก็รบกวนตลอดวัน กินเท่าไรก็ไม่อิ่มไม่พอ กินแล้วกินอีกกินในบ้านก็แล้วกินนอกบ้านก็แล้ว อาหารราคาถูกก็แล้วราคาแพงก็แล้ว มันก็ไม่หายหิว ถึงเวลามันก็เสียดแทงหิวโหยเป็นปกติของมัน
ฉะนั้นโรคที่สำคัญที่สุดพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โรคนั้นคือโรคหิว โรคภัยต่าง ๆ มีขึ้นได้เพราะอาศัยสังขาร ความหิวจะมีได้ก็เพราะอาศัยสังขาร ความแก่ความทุกข์อันเกิดจากภยันตรายจะมีได้ก็เพราะอาศัยสังขาร เพราะมีสังขารจึงมีทุกข์ ในที่สุดก็ถึงความแตกดับก็เพราะสังขารเป็นมูลเหตุ สังขารจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ควรจะหาทางหลีกเลี่ยงสังขารต่อไป
▪️4. อาทินวานุปัสสนาญาณ▪️
ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเห็นโทษของสังขาร ความจริงญาณนี้น่าจะจัดรวมกับญาณที่ 3 เพราะอาการที่ทำลายนั้นเป็นอาการของสิ่งที่เป็นโทษอยู่แล้ว ฉะนั้นข้อนี้จึงไม่ต้องอธิบาย
▪️5. นิพพิทานุปัสสนาญาณ▪️
ญาณนี้ท่านให้พิจารณาให้มีความเบื่อหน่ายจากสังขาร เพราะสังขารเกิดแล้วดับในที่สุดนี้ประการหนึ่ง สังขารมีความดับเป็นปกติทุกวันเวลาหรือว่าทุกลมหายใจเข้าออกก็ไม่ผิดนี้ประการหนึ่ง สังขารเป็นภัยเพราะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเป็นปกติและทำลายในที่สุดประการหนึ่ง สังขารเต็มไปด้วยความทุกข์และโทษประการหนึ่ง
ฉะนั้นสังขารนี้เป็นสภาพที่น่าเบื่อหน่าย ไม่เป็นของที่น่ารักน่าปรารถนาเลย ญาณนี้ควรเอาอสุภสัญญา ความเห็นว่าไม่สวยไม่งามมาร่วมพิจารณาด้วย เอามรณานุสสติ ธาตุ 4 มาร่วมพิจารณาด้วยจะเห็นผลชัดเจนเกิดความเบื่อหน่ายได้โดยฉับพลัน
▪️6. มุญจิตุกัมมยตาญาณ▪️
▪️ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเพื่อใคร่ให้พ้นจากสังขาร ทั้งนี้เพราะอาศัยที่เห็นแล้วจากญาณต้น ๆ ว่า เกิดแล้วก็ดับ มีความดับเป็นปกติ เป็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยความทุกข์เพราะโรคภัยไข้เจ็บ จนเกิดความเบื่อหน่ายเพราะหาความเที่ยงความแน่นอนไม่ได้ ท่านให้พยายามหาทางพ้นต่อไปด้วยการพยายามหาเหตุที่สังขารจะพึงเกิดขึ้น
เพราะถ้าไม่มีสังขารและความทุกข์ ความเบื่อหน่ายทั้งหลายเหล่านี้จะมีไม่ได้เลย การที่หาทางเบื่อหนายท่านให้แสวงหาเหตุของความเกิดดังต่อไปนี้ 1.ชรา 2.ชาติ 3.ภพ 4.อุปาทาน 5.ตัณหา 6.เวทนา 7.ผัสสะ 8.อายตนะ 9.นามรูป 10 .วิญญาณ 11.สังขาร
รวมความแล้วความทุกข์ทรมานที่ปรากฏขึ้นจนต้องหาทางพ้นนี้ อาศัยอวิชชาความโง่เป็นสมุฏฐาน ฉะนั้นการที่จะหลีกเร้นจากสังขารได้ก็ต้องตัดอวิชชาความโง่ออกด้วยการพิจารณาสังขารให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้แน่นอน จึงจะพ้นสังขารนี้ได้
▪️7.ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ▪️
พิจารณาหาทางที่จะให้สังขารพ้น ญาณนี้ไม่เห็นทางอธิบายชัดเพราะมีอาการซ้อน ๆ กันอยู่ ควรเอาปฏิจจสมุปบาทนั่นแหละเป็นเครื่องพิจารณา
▪️8.สังขารุเปกขาญาณ▪️
ท่านสอนให้วางเฉย ในเมื่อสังขารภายในคือร่างกายของตนเอง และสังขารภายนอก คือร่างกายของคนและสัตว์ ตลอดจนของใช้ที่ไม่มีและมีวิญญาณ ที่ต้องได้รับเคราะห์กรรม มีทุกข์มีอันตราย โดยตัดใจปลงได้ว่าธรรมดาต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ มีจิตสบายเป็นปกติ ไม่มีความหวั่นไหวเสียใจ น้อยใจ
▪️9.สัจจานุโลมิกญาณ▪️
พิจารณาญาณทั้งหมดย้อนไปย้อนมาให้เห็นอริยสัจ คือเห็นว่าสังขารที่เป็นแดนของความทุกข์เพราะอาศัยตัณหา จึงมีทุกข์หนักอย่างนี้ พิจารณาเห็นว่าสังขารมีทุกข์ประจำปกติไม่เคยว่างเว้นจากความทุกข์เลย อย่างนี้เรียกว่าเห็นทุกขสัจ จัดเป็นอริยสัจที่ 1
พิจารณาเห็นว่าทุกข์ทั้งหมดที่ได้รับเป็นประจำไม่ว่างเว้นนี้ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัยตัณหาความทะยานอยาก 3 ประการ คืออยากมีในสิ่งที่ไม่เคยมี อยากเป็นในสิ่งที่ไม่เคยเป็น อยากปฏิเสธในเมื่อความสลายตัวเกิดขึ้นไม่อยากให้สลายตัว เจ้าความอยากทั้ง 3 นี้แหละเป็นผู้สร้างความทุกข์ขึ้นมา
ทุกข์นี้จะสิ้นไปได้ก็เพราะเข้าถึงจุดของความดับคือ "นิโรธ" เสียได้ จุดดับนั้นที่ท่านเรียกว่ามรรค 8 ย่อมรรค 8 ลงเหลือ 3 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้เพราะอาศัยศีลบริบูรณ์ สมาธิเป็นญาณปัญญา รู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริง
หมดความเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และดับอารมณ์พอใจไม่พอใจเสียได้ ตัดอารมณ์พอใจในโลกีย์วิสัยได้ ตัดความกำหนัดยินดีเสียได้ด้วยปัญญาวิปัสสนาญาณ ชื่อว่าเห็นในอริยสัจ 4
ทำอย่างนี้คิดอย่างนี้ให้คล่องจนจิตครอบงำความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเมาในชีวิตเสียได้ ชื่อว่าท่านได้วิปัสสนาญาณ 9 และอริยสัจ 4 แต่อย่าเพิ่งพอหรือคิดว่าดีแล้ว ต้องฝึกฝนพิจารณาเรื่อยไปจนตัดสังโยชน์ 10 ประการได้แล้ว...นั่นแหละชื่อว่าเอาตัวรอดแล้ว

ที่มา
พระราชพรหมยาน,ธัมมวิโมกข์ (2531),86,131
Facebook : นิตยสารธัมมวิโมกข์ วัดท่าซุง
#สมัครสมาชิกนิตยสารธัมมวิโมกข์ได้ที่ ID Line : Thammavimok

(ภาพนี้ ที่สวนสาธารณะ ชื่อ มอตันอบอริตุ้ม กรีนวิลล์ เมืองชิคาโก้ สหรัฐอเมริกา ปี 2526)

พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน

...ภิกษุทั้งหลาย! 
เครื่องจองจำที่ทำด้วยเชือก เหล็ก หรือโซ่ตรวนใดๆ เราไม่กล่าวว่า
เป็นเครื่องจองจำที่ แข็งแรงทนทานเลย 
แต่เครื่องจองจำ คือ บุตร ภรรยา ทรัพย์สมบัติ
 นี้แล ตรึงรัด มัดผูกสัตว์ทั้งหลาย ให้ติดอยุ่ในภพอันไม่มีที่สิ้นสุด
 #เครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆแต่แก้ได้ยาก คือ บุตร ภรรยา และทรัพย์สมบัตินี้เอง
 รูป เสียง กลิ่น รส และ โผฏฐัพพะ
 นั้นเป็นเหยื่อของโลก เมื่อบุคคลยังติดอยุ่ในรูปฯ เป็นต้นนั้น 
เขาจะพ้นจากโลกมิได้เลย

ไม่มีรูปใด ที่จะรัดตรึงใจของบุรุษ
ได้มากเท่ารูปแห่งสตรี
 
 ...ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย!
ผู้ยังตัดอาลัยในสตรีไม่ได้ ย่อมต้องเวียนเกิด เวียนตาย อยู่ร่ำไป 

แม้สตรีก็เช่นเดียวกัน ถ้ายังตัดอาลัยในบุรุษไม่ได้ย่อม...ประสบทุกข์บ่อยๆ กิเลสนั้นมีอำนาจควบคุม อยู่โดยทั่ว ไม่เลือกว่าในวัยใด และเพศใด

    พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน

ธาตุกัมมัฏฐาน

เมื่อลมเป็นที่ตั้ง เราพยายามแยกจิตของเรานี้ออกมาจากอารมณ์ จากลมหายใจอีกที เรากำหนดเพ่งดู ลมนี้เป็นธาตุ เรียกว่า ธาตุลม ผู้รู้ลมก็อีกอันหนึ่ง เป็นสอง ที่มารวมกันเข้า ทีนี้เมื่อเราแยกออก #รู้จักสภาพของลม ว่าเป็นธาตุลม คือดินน้ำลมไฟมาประชุมกันเข้าเป็นตัวตนเป็นสัตว์บุคคลเราขึ้น 

#เมื่อเราแยกผู้รู้ออกจากลม #ผู้รู้นี้อันหนึ่ง #ผู้รู้ลม #เมื่อจิตของเรารู้จักลมแล้ว #จิตเราก็ลอยตัวได้ #เพราะลมนั้นไม่ใช่เรา #เรานั้นก็ไม่ใช่ลม 

คือ แยกออกจากกัน จิตนี้จะเกิดมีกำลังขึ้น เรียกว่า ขาดจากอารมณ์ คือขาดจากลมหายใจ เรียกว่า รู้เท่าถึงลม เมื่อสติของเราถึงพร้อมจะรู้เท่าถึงลมหายใจเข้าออก ให้แยกออกกันไป เป็นส่วน เป็นส่วนๆกันไป

          ตัวนี้ ถ้ากำลังของเราดี สติของเราดี #ก็จะเป็นตัววิปัสสนา จะมีญาณเกิดขึ้น รู้ขึ้นในขณะนั้น ว่าเราวางได้ ถ้าสติยังอ่อน ก็ยังวางไม่ได้ เมื่อสติของเรากล้าขึ้น 
#จะมีสติและมีปัญญาขึ้นพร้อมกัน

พระครูญาณวิศิษฏ์ (ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก)  

   .......................................................................

…..ชำระจิตใจของเราให้สะอาด ปราศจากความขุ่นมัวทั้งหลายที่มีอยู่ภายใน เพราะลมนี้อาจจะเสียได้ทุกขณะ เมื่อมีลมไม่ดีเข้ามาแทรกแซงภายในจิตใจของเรา ทำใจของเรานี้ให้ได้รับความไม่สบาย ขุ่นมัว เกิดมีอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านไป ฉะนั้น เมื่อเรากำหนดจิตตั้งอยู่เฉพาะในลมเข้า – ลมออก นึกถึงลมให้ชัดเจน เมื่อเรานึกถึงลมดี ไม่สงสัยแล้ว ลมนี้แหละเป็นฐาน เป็นที่ตั้งของเรา

          เมื่อลมเป็นที่ตั้ง เราพยายามแยกจิตของเรานี้ออกมาจากอารมณ์ จากลมหายใจอีกที เรากำหนดเพ่งดู ลมนี้เป็นธาตุ เรียกว่า ธาตุลม ผู้รู้ลมก็อีกอันหนึ่ง เป็นสอง ที่มารวมกันเข้า ทีนี้เมื่อเราแยกออก รู้จักสภาพของลม ว่าเป็นธาตุลม คือดินน้ำลมไฟมาประชุมกันเข้าเป็นตัวตนเป็นสัตว์บุคคลเราขึ้น 

เมื่อเราแยกผู้รู้ออกจากลม ผู้รู้นี้อันหนึ่ง ผู้รู้ลม เมื่อจิตของเรารู้จักลมแล้ว จิตเราก็ลอยตัวได้ เพราะลมนั้นไม่ใช่เรา เรานั้นก็ไม่ใช่ลม คือ แยกออกจากกัน จิตนี้จะเกิดมีกำลังขึ้น เรียกว่า ขาดจากอารมณ์ คือขาดจากลมหายใจ เรียกว่า รู้เท่าถึงลม เมื่อสติของเราถึงพร้อมจะรู้เท่าถึงลมหายใจเข้าออก ให้แยกออกกันไป เป็นส่วน เป็นส่วนๆกันไป

          ตัวนี้ ถ้ากำลังของเราดี สติของเราดี ก็จะเป็นตัววิปัสสนา จะมีญาณเกิดขึ้น รู้ขึ้นในขณะนั้น ว่าเราวางได้ ถ้าสติยังอ่อน ก็ยังวางไม่ได้ เมื่อสติของเรากล้าขึ้น จะมีสติและมีปัญญาขึ้นพร้อมกัน

          ในส่วนนี้เราต้องพยายามฝึกหัดพิจารณาใคร่ครวญอยู่เสมอเวลามีโอกาส เวลาทำ พยายามแยกตัวนี้ เมื่อเราแยกตัวนี้ได้แล้ว จิตทั้งหลายจะไม่วุ่นวายหมดภาระกังวล เราก็คอยกำหนดจิตของเราให้ตั้งลงไป ถึงเวลาเราก็ตั้งความรู้สึกเข้าไปสู่หัวใจ ให้ตั้งไว้ตรงนั้น แล้วคอยสังเกตดูลมกับผู้รู้นี้ คอยสังเกตให้มาก มันจะแยกกันอยู่หรอก เมื่อมันแยกกันแล้วเราจะมีโอกาสก็พิจารณาไป เมื่อเราพิจารณาในธาตุนี้ธาตุเดียว ส่วนอื่นก็เหมือนกัน คือมีลักษณะคล้ายกัน

          เวลาพิจารณานั้น เมื่อเราพิจารณาลงไป ลมก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเราเขา เราจะไปยึดอะไร จะไปยึดถือว่าเป็นตัวของเราก็ไม่ได้ เป็นตนของเราก็ไม่ได้ มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น เมื่อพิจารณาไปแล้วมันก็ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีหัว ไม่มีขา ไม่มีมือ ไม่มีตีน ไม่มีอะไรหรอก เมื่อเรารู้อย่างนี้เราก็วางตามสภาพของเขา เขาก็เป็นของเขาอยู่อย่างนั้น

          อีกอย่างหนึ่งท่านเรียกว่า จาโค ปฏินิสฺสคฺโค มุตฺติ อนาลโย คือถอนอาลัยจากตัวของเรานี้ จากลมนั้นแหละ เพราะมันไม่ใช่ของเรา เราก็ถอนอาลัยวางไปสู่ตามสภาวะของเขา ตามเดิมของเขา เรียกว่า คืน นั้นแหละ ของเขามีเท่าไรเราก็คืนให้เขาหมด มีลมเราก็คืนให้เขา มีไฟเราก็คืนลงไป มีน้ำเราก็คืนลงไป ไปสู่ตามสภาพของเขาหมด ดินเราก็คืนให้เขาหมด อากาศธาตุเราก็คืนให้หมด 

คืนไปสู่ตามสภาพของเขา คือสภาพเดิม เมื่อเราพิจารณาทั้งหมดทั้งห้านี้ รวมแล้วไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเราเขา เราก็วางไปสู่ตามสภาพเดิมหมดทุกอย่างๆ จิตของเราไม่มีอะไรแล้ว ส่วนนั้นเมื่อเราแยกออกไปแล้ว มันไม่ใช่ของเราแล้ว

          ส่วนจิตผู้รู้ที่รู้จักมหาภูตรูปทั้งห้าทั้งหมด ทีนี้เราก็มานึกถึงผู้รู้นี้ จิตผู้รู้นี้จะอยู่กับอะไร เราก็สังเกตดูอีก ธาตุรู้นี้ เมื่อธาตุรู้นี้มีอยู่ส่วนหนึ่งของเขาที่เป็นเอกเทศอยู่ เป็นส่วนหนึ่งที่มีสภาพเป็นธาตุที่พิเศษอยู่ คือเป็นธาตุที่ไม่มีเศษ ไม่มีเศษเหลือมีอยู่ เราก็มาเพ่งพิจารณาถึงธาตุนี้ให้มากที่สุด ก็จะเกิดสติปัญญาขึ้น พิจารณาว่าอะไรเป็นอะไร เรียกว่า รู้ธาตุรู้ขันธ์ จะมีความรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง

          คือการที่จะรู้แจ้งเห็นจริง หรือจะวางสู่สภาวธรรมทั้งหลายภายนอกนั้นได้ ก็ต้องอาศัยมีญาณส่วนหนึ่ง ที่มาปรากฏขึ้นในกิริยาที่เราวาง หรือเราปล่อย ถ้าเรายังไม่มีญาณนี้เกิดขึ้นตราบใด ก็ยังเป็นสัญญาธรรมดา ยังเป็นปัญญาธรรมดา ปัญญาของโลกีย์ เมื่อเกิดญาณขึ้น ญาณวิเศษ ในกิริยาที่เราวาง พอวางลงปั๊บ ก็มีผลสะท้อนปรากฏขึ้นมา ให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง รับรองความมีความเป็นของตัวเอง ว่าเรารู้นี่ เราวางได้ แล้วก็รับความบริสุทธิ์ในตัวของตัวเอง หรือความเป็นของตัวเองได้ นั่นเรียกว่าเป็นญาณ เป็นปัญญาญาณ 

เมื่อปัญญาญาณนั้นปรากฏขึ้นในตัวของเรา รับรองความเห็นของตัวเอง ความเป็นของตัวเองได้ อันนั้นเรียกว่าเป็นปัญญาญาณ ถ้าตัวนี้ยังไม่ปรากฏขึ้น ก็ยังเป็นปัญญาของโลกีย์ ให้พิจารณาใคร่ครวญไปจนกว่า… ถ้าบารมีของเรายังไม่เต็มเราก็พิจารณาไป เมื่อบารมีของเราเต็มแล้วก็ไม่ต้องแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร เพราะปัญญาของโลกุตตระนั้นเกิดปั๊บเดียว นิดเดียวเท่านั้นเอง มันก็แทงตลอดหมด ไม่เหมือนปัญญาของโลกีย์

          ฉะนั้น หนทางที่เราจะต้องดำเนินคือการพิจารณาใคร่ครวญ เวลาที่เรานั่ง จะต้องเพ่งพิจารณาใคร่ครวญ จนให้มันถึงที่ของเขา พอถึงที่แล้วเขาก็ปล่อย เขาก็วางของเขาเอง เรียกว่า อิ่มตัวนั่นเองแหละ นั่นธรรมมันอิ่ม พออิ่มตัวแล้วมันก็ปล่อย พอปล่อยแล้วก็มีผลปรากฏขึ้นมาทันที

          ในการที่เราฝึกหัดปฏิบัตินี้ เราไม่ต้องกลัวหรอก ให้อุตส่าห์พยายามตั้งใจปฏิบัติไปเถอะ ผลที่เราจะต้องได้รับ ไม่ต้องสงสัย เราก็ได้รับของเราอยู่เสมอไป ถึงขณะที่เรานั่งขณะนี้เวลานี้ เราก็รู้ว่ามันสบาย นี้คือผล หรือว่าเรายังไม่ได้ถึงที่สุด เราก็ยังรับความสุขความสบาย สุขกายสุขใจ จิตใจสงบอยู่กับลมหายใจเข้าออก นี่แปลว่า ยังแยกกันไม่ได้ก็ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ยังมีการอาศัยกันอยู่ เราต้องอาศัยเขา เขาก็อาศัยเรา เราก็อาศัยเขา อาศัยกันไปอาศัยกันมา ทำความคุ้นเคยกันไปจนกว่าเราจะรู้จัก เมื่อรู้แล้วก็วางอีก ถ้ารู้มันก็วาง ถ้ายังไม่รู้มันก็ยังไม่วาง

          อันนี้ก็ต้องอาศัยการเสวนา ค่อยใช้ความส้องเสพ ค่อยเข้าไปพิจารณา ค่อยๆเสพเข้าให้มากเข้าๆ หมั่นเจริญให้มากขึ้นๆ มีความคุ้นเคยเข้าไปมากเข้าๆ เราจะได้คลี่คลายถอนออกจากอุปาทานขันธ์ คือความเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าตัวว่าตนสัตว์บุคคลเราเขา สักกายทิฏฐิ คือความยึดถือว่าตัวว่าตนสัตว์บุคคลเราเขา ก็จะหลุดออกไป นี่เป็นหนทางที่เราจะได้คลี่คลายออกไปได้ 

เมื่อโลกุตตระอันนี้ปรากฏขึ้นในจิตของเรา คือญาณโลกุตตระปรากฏขึ้นในขณะใดขณะหนึ่ง เมื่อนั้นแหละเราจะได้หลุดจะได้เพิกถอนออกเสียที ตามสมมตินิยมของโลกทั้งหลายเขาที่ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นตัวเป็นตน เป็นหญิงเป็นชาย เป็นเขาเป็นเราขึ้นมาได้

          เมื่อยังไปไม่ได้ เราก็ยังต้องอาศัยเขาอยู่ ยังเป็นเครื่องอาศัย แต่ไม่ใช่ที่พึ่ง เป็นเครื่องอาศัยกันนะ ค่อยประคองกันไปอยู่อย่างนั้น พอเป็นหนทางอีกทีหนึ่ง แต่เราจะไปทิ้งไม่ได้ คือ การปฏิบัติของเรา ถ้าเราหมั่นเจริญอยู่ การเจริญไม่ขาดสาย ความเสื่อมของเราจะไม่มี ถ้าว่าเราไม่เจริญอยู่เสมอ ไม่เพียรเพ่งพิจารณาอยู่จะเสื่อมแล้ว ค่อยเสื่อมน้อยถอยลงไป เกิดมีความกังขาสงสัยลังเลไม่แน่นอนใจ ว่าจะถูกไหมหนอ พระธรรมจะผิดหรือถูก

          เราจะต้องค่อยพยายามใช้ความสังเกตจิตคือผู้รู้ จิตของเราไม่ใช่ว่าไม่รู้นะ จิตเป็นผู้รู้ สภาพของจิตคือผู้รู้ เราก็กำหนดดูทุกสิ่งทุกอย่างมันก็รู้ รู้แต่ยังไม่ปล่อย ยังไม่วาง ยังไม่ขาดจากสัญญาอารมณ์ จากความสมมตินิยมของเขา เราก็พยายามเพียรเพ่งดูเข้าไป เพ่งไปจนกว่ามันจะขาดออกจากกันได้ ก็ต้องใช้ความพยายามอยู่อย่างนั้นนะ 

ถ้าเรามีการพยายามอยู่อย่างนี้ คือความเพียรของเรามีอยู่เสมอไม่ขาดสาย ความสงสัยลังเลของเราจะค่อยเบาบางลงไป เบาบางลงไป เราจะได้เข้าถึงซึ่งที่พึ่งอันประเสริฐอยู่ภายในของเรานั่นแหละ คือผู้รู้ ผู้ที่รู้จริงรู้แจ้ง ที่เรียกว่า พุทธะ คือผู้รู้นั่นแหละ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขึ้นภายในนั่นแหละเป็นสรณะที่พึ่งอันประเสริฐของเรา

          ส่วนภายนอกเราจะได้รู้ว่าอะไรเป็นภายนอก อะไรเป็นภายใน อะไรเป็นของที่อาศัย อะไรเป็นที่พึ่ง อะไรที่ไปอาศัย เราจะได้แยกแยะออกไปเป็นส่วนๆ

          ส่วนภายนอกเป็นเพียงแต่เครื่องอาศัยเท่านั้น ร่างกายของเราก็เหมือนกัน เป็นเครื่องอาศัย เมื่อดินน้ำลมไฟมาประชุมกัน เป็นเครื่องอาศัยชั่วครั้งชั่วคราว ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้นเอง ส่วนที่พึ่งเราก็รู้แล้ว คือจิตคือผู้รู้นั่นแหละ ผู้รู้จักลมเป็นที่พึ่งในขั้นหนึ่ง 

เมื่อเราแยกออกจากลมได้มันก็เป็นที่พึ่งของเราได้อีกขั้นหนึ่ง ที่พึ่งแท้จริงนี้ ที่เรียกว่า พุทธะ เป็นตัวใน เราจะได้รู้ พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ เมื่อรู้ลงก็เรียกว่าหมดแล้วทีนี่ มันไม่มีอะไรแล้ว เป็นผู้ใหญ่ทั้งหมด เป็นอธิบดีด้วย เป็นผู้ใหญ่ ผู้รู้ยิ่ง รู้แจ้ง รู้หมด รอบหมด ทุกสิ่งทุกอย่าง อันนั้นแหละจะเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของเราภายใน

          ส่วนภายนอกของเราเป็นเพียงแต่เครื่องอาศัยชั่วครั้งชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว พอได้อาศัยไปเป็นไม้เท้าเท่านั้นแหละ ตราบใดที่ยังอยู่ ยังมีความเป็นอยู่ มีลมหายใจเข้าหายใจออกอยู่ ก็อาศัยกันไป อาศัยซึ่งกันแลกันอยู่เรื่อยไป เมื่อหมดลมหายใจแล้วก็ไม่มีอะไร ธาตุทั้งสี่ทั้งหลายก็สลายออกจากกันแล้วแยกกันไปเป็นส่วนเป็นส่วนๆ น้ำก็ไปตามน้ำ ไฟก็ไปตามไฟ ลมก็ไปตามลม ดินก็ไปตามดิน ก็ไม่มีอะไรแยกกันหมดเกลี้ยงไปขาดกันไปตามสภาพของเขา 

คือต่างคนก็ต่างแยกกันไปเป็นส่วนๆกันหมด เพราะไม่ได้เป็นที่อาศัยกันแล้ว เราก็อยู่ของเรา ทีนี่ ของเราอยู่ที่ไหนล่ะ พุทธะคือผู้รู้อยู่ตรงไหน เมื่อเราฝึกฝนอบรมจิตใจของเราได้เป็นตัวของตัวเราเอง เป็นที่พึ่งของตัวเองได้แล้ว โสกะปริเวทนาการ รำไพรำพันก็ไม่มี ไม่เกิดขึ้นในใจของผู้ปฏิบัติ

          พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ให้แสวงหาที่พึ่งอันประเสริฐ บอกกับสาวกทั้งหลายให้เอาตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตนเอง คนอื่นเป็นเพียงแต่ว่าเครื่องอาศัยชั่วครั้งชั่วคราว ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เป็นผู้แนะแนวทางบอกให้ แต่เรื่องจะเอาดีเอาจริงเอาจัง เป็นตัวของเราเอง ตัวของเราเองนี้ตัวสำคัญที่สุด ถ้าเราต้องการอยากจะเอาดีเอาเด่น เอาให้มันถึงนั่นแหละ ก็ต้องตัวเราเองฝึกฝนตนเอง ทรมานตนเอง หัดตัวเอง พึ่งตัวเองทุกอย่าง 

ต้องพยายามเอาใจใส่จดจ่อเป็นพิเศษ คือเราทุกข์ก็ตัวของเราเอง สุขก็ตัวของเราเอง เหมือนกับการทานอาหาร ถ้าเราไม่ทาน ความอิ่มก็ไม่มีขึ้นกับเรา เราให้แต่คนอื่นเขาทาน แต่ตัวเองเราไม่ทาน ความอิ่มก็ไม่มีขึ้น เมื่อเราต้องการความอิ่มความเต็มขึ้นมา เราก็ทาน เราก็จะรู้สึก ความอิ่มนั้นแหละจะมาปรากฏขึ้นที่ตัวเรา ฉันใดก็ดี ผู้ปฏิบัติก็เหมือนกัน

          ฉะนั้นเราจะไปยึดถือในสิ่งทั้งหลายภายนอกไม่ได้ อาศัยของภายนอกเป็นของอนิจจัง ไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงได้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ไม่ว่าตัวเราตัวเขาทั้งหลาย ก็มีอาการเปลี่ยนแปลง เมื่อไม่จากเป็นก็จากตาย ความพลัดพรากจากกันก็ย่อมมีอยู่ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ทั้งตัวเราและตัวของคนอื่น ไม่ใช่จะเอามาเป็นสาระแก่นสารอะไรได้ แล้วเราก็ไม่จำเป็น 

เราถือว่ามันเป็นอย่างนี้ เป็นของเป็นอยู่กับโลกสงสารอย่างนี้เอง มันไม่มีอะไรยั่งยืนหรอก เราไม่อยากจะให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ทีนี้มันจะเป็นอย่างนั้น คือมันไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งหมดละ ไม่ว่าเฉพาะของภายนอกเลย แม้ตัวของเราเองก็เช่นเดียวกัน เราอยากให้มันอยู่ ไม่อยากให้มันตาย มันก็ตาย ไม่อยากให้มันเปลี่ยน มันก็เปลี่ยน มันมีอาการที่เปลี่ยนแปลงเสมอไป

          ฉะนั้นก็ต้องให้พยายามปรับปรุงแก้ไขตัวของเราเองให้เป็นที่พึ่งของตัวเราให้ได้สมบูรณ์ขึ้นตามหลักวิชา แล้วเราไม่ต้องสงสัยในข้อวัตรปฏิบัติ เพราะข้อวัตรปฏิบัตินั้นเป็นของที่มีอยู่ในตัวเราทุกอย่าง ความดีความชั่วทั้งหลายก็มีอยู่ในตัวของเราทั้งนั้นแหละ เราก็รู้แล้วว่าทางไหนเป็นทางที่ดี ทางไหนเป็นทางที่ไม่ดี เราก็พยายามแก้ไขจิตใจของเราตัวเดียวเท่านั้นแหละ ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นในอะไรทั้งหมด 

เราเข้ามาปรับปรุงแก้ไขจิตใจของตัวเรา ให้ยึดในทางที่ถูกในทางที่ดีที่เราปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ ในเวลานี้ เราก็มาพิจารณาว่ามันถูกหรือยัง ผิดหรือยัง ตัวไหนผิด เราก็อย่าไปยึดมันถือมัน ปล่อยมันไป อดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปล่อยมันไปเสีย ให้เหลือเฉพาะปัจจุบันธรรมในขณะนี้ ในเวลานี้ คือต้องการทำใจของเราให้ได้รับความสบายปลอดโปร่งอยู่เสมอ แล้วก็พิจารณาอยู่

          ภายนอกนั้นยังไม่ใช่ของเราแล้ว นี่ภายในตัวเองอีกก็ยังมีอยู่หลายชั้น ยังมีอยู่หลายชั้น จิตของเรายังไม่ใช่เป็นของเราโดยตรง ยังเป็นอนิจจัง ทุกขัง เดี๋ยวจะเอาอย่างนั้น เดี๋ยวจะเอาอย่างนี้ มันไม่ใช่ของเราโดยตรง 

ฉะนั้นเราอย่าไปยึดมั่นถือมั่นให้มันมากนัก สังขาร คือความนึกคิดปรุงแต่ง เดี๋ยวก็คิดดี เดี๋ยวก็คิดชั่ว ทั้งๆที่เราก็รู้อยู่ รู้อยู่แท้ๆ มันไม่อยากคิด แต่มันก็ยังคิดขึ้นอีก นอกเหนือเจตนาของเรา ทั้งๆที่เราไม่อยากจะทำ ทั้งๆที่เราไม่อยากจะคิด แต่มันก็ยังคิดขึ้นมาก อันนี้ต้องถือว่ามันยังไม่ใช่ของเรา เราก็พิจารณา มันไม่มีอะไรแน่นอน มันไม่ยั่งยืนหรอก ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลหรอก ปล่อยไปตามสภาพของมัน

          แล้วอะไรล่ะ ที่เป็นของที่แน่ที่นอนที่แท้ที่จริง เราค่อยพิจารณาเข้าไป ตั้งสติให้มีกำหนด สติของเราให้มันมั่นกับลมนั่นแหละ แล้วเพ่งอธิษฐานจิตขึ้นเฉพาะอันนั้น เราจะได้เข้าใจในความภายในขึ้น เข้าใจแจ่มแจ้งว่าอะไรเป็นอะไรขึ้น เวลาที่เรามีความขัดข้องสงสัยภายในใจของเรา ในการปฏิบัติ เราก็เพ่งนึกถึงลม แล้วก็เพ่งอธิษฐานจิตกับลม สิ่งทั้งหลายจะปรากฏขึ้นทันที เราจะได้คลี่คลายความเห็น หรือความขัดข้องของเราจะได้หายไป

          ถึงส่วนนี้ก็ยังเป็นอยู่ในสภาพของอนิจจัง ทุกขัง เช่นเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น พระองค์บอกว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตาติ ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นไม่ใช่ว่าจะเที่ยงตลอดไป เดี๋ยวก็เกิด เดี๋ยวก็ไม่เกิด ฉะนั้นเราก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป พอมันเกิดขึ้นเราก็กำหนดดู กำหนดรู้แล้วก็วางตามความมีความเป็น ให้มันเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นให้มันพอดี อย่าให้มันเลยไป เกินไป ถ้ามันเลย ตัวมันจะยึดเอาจนยึดเป็นยึดตาย นั่นก็ไม่ได้ มันผิดมันเกินไป ลืมตัวอีก

          รวมแล้วในการปฏิบัติของเราพยายามให้มีสติมากเท่าไร ก็ยิ่งดี สตินี้จะเป็นตัวญาณ สติของเรา ถ้ามันสมบูรณ์ขึ้นๆๆ จะเป็นญาณพิเศษ เรียกว่า ปัญญาญาณ หรือ อภิญญาญาณ จะเกิดขึ้นด้วยอำนาจของสติ ถ้าสติของเราสมบูรณ์ขึ้นๆๆ

          ฉะนั้นต้องพยายามหัดสติของเราให้มากขึ้นๆ จนเป็นมหาสตินั่นแหละ การระลึกของเราพยายามให้มีอยู่เสมอ ใช้ความพยายามเพียรเพ่งระลึกอยู่จนกว่าจะรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาวธรรมนั่นแหละ จึงจะเป็นไปเพื่อความเจริญในทางพระพุทธศาสนา
.
เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ฯ

.............. 

พระครูญาณวิศิษฏ์ 
ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก 
วัดธรรมสถิต อ.เมือง จ.ระยอง

ให้ดูธาตุ การดูธาตุเมื่อรู้จักธาตุทั้ง ๖ 
ให้ประสานธาตุทั้ง ๖ นี้ ให้รวมเข้ามาเป็นอันเดียวกัน 
แล้วพยายามเพ่งให้มีพลัง ให้เหนียวแน่น
จะเกิดพลังรวมขึ้นจนจิตอิ่ม กายอิ่ม
เมื่อธาตุสามัคคีแล้วจะมีความอิ่ม ความเต็มของธาตุ

เมื่ออิ่มแล้ว เขาจะวางตัวของเขาเองเป็นหนึ่ง
ธาุตุก็เป็นหนึ่ง จิตก็เป็นหนึ่ง 
แล้วให้กลับเข้ามาดูจิต นึกอยู่ที่จิตนั้น 
เรียกจิต เพ่งจิต จนเกิดความรู้ขึ้น
แล้วปล่อยทั้งความรู้และทั้งความเห็นพร้อมกัน
ไม่ให้มีอะไรเหลือ 
แม้แต่ตัวปัจจุบันที่รู้อยู่ก็ให้ปล่อยวางเท่านั้น
ก็จะเกิดปัญญาญาณขึ้นมาเอง
เรื่องวิธีการนั่งสมาธิก็จบ 

คัดลอกจาก "จดหมายถึงลูกศิษย์" 
ที่ฮ่องกง ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๑

............... 

"ธาตุกัมมัฏฐาน"

  ธาตุกัมมัฏฐาน               
               ธาตุกัมมัฏฐานนี้มาแล้วอย่างนี้. ก็แลกัมมัฏฐานนี้นั้น ในที่มาโดยย่อ ควรกล่าวทั้งโดยย่อทั้งโดยพิสดาร แต่ในที่มาโดยพิสดาร จะกล่าวโดยย่อไม่ควร ควรกล่าวแต่โดยพิสดารอย่างเดียว. ส่วนในติตถายตนสูตรนี้ กัมมัฏฐานนี้มาแล้วด้วยอำนาจธาตุ ๖ โดยย่อ. จะกล่าวกัมมัฏฐานนั้นทั้งสองอย่าง (ทั้งโดยย่อทั้งโดยพิสดาร) ก็ควร.

               กำหนดโดยย่อ        
      
               #พระโยคาวจรแม้เมื่อกำหนดกัมมัฏฐานด้วยอำนาจธาตุ๖ โดยย่อก็ย่อมกำหนดอย่างนี้. รูป ๔ เหล่านี้ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ จัดเป็นมหาภูตรูป. อากาสธาตุจัดเป็นอุปาทารูป และเมื่อเห็นอุปาทารูปประเภทเดียว อุปาทารูป ๒๓ ที่เหลือ #พึงกำหนดว่าถูกเห็นด้วยเหมือนกัน. 
               บทว่า วิญฺญาณธาตุ ได้แก่ จิต. 
               #จิตนั้นได้แก่วิญญาณขันธ์. #เวทนาที่เกิดร่วมกับวิญญาณขันธ์นั้น ชื่อว่าเวทนาขันธ์. #สัญญาที่เกิดร่วมกับวิญญาณขันธ์นั้น ชื่อว่าสัญญาขันธ์. #ผัสสะและเจตนาที่เกิดร่วมกับวิญญาณขันธ์นั้น ชื่อว่าสังขารขันธ์. #ขันธ์ทั้ง ๔ ดังว่ามานี้ #ชื่อว่าอรูปขันธ์. 
               อนึ่ง มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ ชื่อว่ารูปขันธ์. 
               บรรดารูปขันธ์และอรูปขันธ์นั้น อรูปขันธ์ ๔ เป็นนาม รูปขันธ์เป็นรูป. มีธรรมอยู่ ๒ อย่างเท่านั้นคือ #นาม ๑ #รูป ๑. #ไม่มีสัตว์หรือชีวะนอกจากธรรม ๒ อย่างนั้น. 
               พึงทราบกัมมัฏฐานที่ทำให้บรรลุอรหัตผลด้วยอำนาจธาตุ ๖ โดยย่อของภิกษุรูปหนึ่ง ดังว่ามานี้.

https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=501

จุดจบของโลกยุคเก่า นี่คือจุดจบของภาพลวงตาและรุ่งอรุณของยุคทอง มิติที่5D

โดย Ashley Ulizzi

 ช่างทำแสงที่แท้จริงในอีกไม่กี่วันสัปดาห์และเดือนข้างหน้านี่เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับพวกเราที่เดินผ่านความมืดแล้วให้ยังคงมีแสงสว่างต่อไป

 จำไว้ว่าเราถูกเลือกให้ผ่านความมืดก่อนเพื่อที่เราจะได้ช่วยเหลือในช่วงเวลาที่แน่นอนนี้ เรารู้สึกถึงมัน เราเป็นผู้บุกเบิกที่ย่อยความมืดมิดที่ลึกที่สุดเมื่อนานมาแล้วเพื่อร่วมสร้างโลกที่สดใสขึ้นและสร้างที่ว่างมากขึ้นสำหรับแสงที่จะส่องสว่างโลกและนำอำนาจอธิปไตยมาสู่มนุษยชาติ

 มาที่นี่ในช่วงเวลานี้เพื่อแผ่ความสงบทอดสมออย่างสงบและบอกให้ทุกคนรู้ว่ามันจะโอเค ในความเป็นจริงมันจะน่าทึ่งมาก

 ในอีกไม่กี่วันสัปดาห์และเดือนต่อ ๆ ไปหลายคนดูเหมือนว่าพวกเขาสูญเสียความคิดไปแล้ว ในขณะที่ความบอบช้ำความผูกพันและความเจ็บปวดในวัยเด็กถูกนำมาสู่ผิวเพื่อถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ของเหตุการณ์ปัจจุบันมันอาจทำให้รู้สึกหนักและสับสน คนส่วนใหญ่ไม่เคยรับรู้หรือยอมรับความมืดมิดหรือความจริงภายในตัวเองนับประสาอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกมาหลายศตวรรษ โลกเต็มไปด้วยการครอบงำอย่างฝังลึกของความไม่ลงรอยกันทางความคิดความกลัวและความหยุดนิ่ง ที่กำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อแสงถูกส่องลงบนความจริงให้ทุกคนได้เห็น

 นี่คือการเคลียร์โดยรวมที่เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้วก็มาถึงการผลักดันขั้นสุดท้าย นี่คือการกำจัดพลังงานเชิงลบทั้งหมดภายในตัวเราและรอบ ๆ นี่เป็นช่วงเวลาแห่งการดูแลตนเองครั้งใหญ่

 เช่นเดียวกับที่ช่างทำไฟถล่มอัตตาภายในและภาพลวงตาเพื่อร่วมสร้างโลกใหม่เมื่อนานมาแล้วผู้คนส่วนใหญ่บนโลกก็คาดไม่ถึงเช่นกัน พวกเขาไม่ได้เตรียมพร้อมทั้งหมดและเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องมีพื้นที่สำหรับพวกเขาและรองรับการสั่นสะเทือนแห่งความรัก 5D

 มีผู้คนมากมายที่ยังไม่รู้ความจริงของโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่อย่างแท้จริงหลายคนใช้ชีวิตในภาพลวงตา 3 มิติโดยไม่ใช่ความผิดของตัวเอง ผู้บุกเบิกหลายคนที่รู้เรื่องนี้ถูกล้อเลียนสร้างความสนุกสนานแปลกแยกและติดป้าย แต่ตอนนี้สลายไปแล้ว เราต้องยังคงสั่นสะเทือนแห่งความรักต่อไปและจะไม่มีวันที่“ ฉันบอกคุณแล้ว”

 ที่สำคัญที่สุดเราอยู่ที่นี่เพื่อเป็นตัวอย่างของสิ่งที่กำลังจะมาถึง นี่ไม่ใช่จุดจบของโลกนี่คือจุดจบของภาพลวงตาและรุ่งอรุณของยุคทอง

 ฉันขอเชิญชวนให้ทุกคนซูมออกจากเหตุการณ์ปัจจุบันและสิ่งรบกวนที่ดูเหมือนจะเป็นจริงและเตรียมตัวให้พร้อม

 ปล่อยให้แสงสาดเข้ามาที่ตัวคุณ นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นในการมีชีวิตอยู่

https://www.facebook.com/groups/316245302099052/permalink/1493113051078932/

หลวงพ่อคุยกับพระเจ้าตากสิน เรื่องการทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด


ตอนนั้นไปนั่งที่ระยอง ไปนั่งๆเล่นที่ท่ามองดูน้ำ  มองนึกถึงพระจ้าตากสินว่าที่นำกำลังมาจากชลบุรีเข้ากรุงเทพฯนี่น่ะ ก็มาแล้วท่านใช้กองทัพเรือ กำลังพลประมาณ 5,000 คน ก็คิดว่าไอ้เรือพายเรือแจวเรือใบกว่าจะถึงกรุงเทพๆนี่ ต้องใช้เวลาเยอะ เรื่องที่น่าหนักใจมากที่สุดก็คือน้ำ เรื่องส้วมไม่สำคัญ นั่งห้อยก็ได้นะ

ถามกินน้ำอะไร

ท่านบอกมันมีวิธีง่ายๆ

ถามทำยังไง

ท่านบอกก็ตักน้ำในทะเลมาแล้วก็ใช้ปูนขาว ปูนขาวใส่ลงไป และก็ในเมื่อมันนอนดีแล้ว ไอ้ตะกอนปูนขาวนอนก้นเกลือมันอยู่ข้างบน และก็เอาน้ำออกจากก๊อกนะ ดึงน้ำออกมา ไอ้น้ำนี่จะมีรสกร่อยน้อยๆ  แล้วก็ใส่ขัณฑสกรลงไป  ก็ดีกว่าไม่มีน้ำกิน

เราก็เอามั่ง ทีนี้ก็ลองทำดู เช้าก็เอาซิ ก็เอาน้ำมาใส่คูลเลอร์ พอเอาไอ้ปูนขาวใส่ไปปึกหนึ่ง พอตกตะกอนดี เกลือนี่ขึ้นมาอยู่ข้างบนเป็นฝาเลย เหมือนกับนาเกลือ

ฝาเป็นแผ่น เป็นแผ่นเลยเหมือนนาเกลือ แต่อย่าไปถูก ไปถูกมันจะละลาย ลองเอามือไปแตะถูๆจะละลาย

ทีนี้ทำไง ก็ไขก๊อกให้เขาเอาน้ำออกมา แล้วลองจิบน้ำกร่อยนิดๆเอง มันกร่อยนิดๆทำไง ท่านบอกให้เอาขัณฑสกร   ขัณฑสกรนี่ใส่นิดเดียวมันหวาน ใช่ไหม ก็กินชุ่มๆคอหวานๆ อันนี้มันทรงตัวได้

เอ เราก็แปลก ไปถามนักวิทยาศาสตร์ บอกมันเป็นไปไม่ได้  บอก เฮ้ย มันเป็นไปแล้ว กูลองแล้ว

แสดงว่าโง่  โง่กว่าคนโบราณ  เขาบอกเป็นไปไม่ได้ บอกเป็นไปแล้วกูลองแล้ว นั่งคุยๆ เห็นท่านยืนก็ถามท่าน บอกใช้วิธีนี้ คือว่าเราไม่มีน้ำจืดเต็มที่ แต่มันกร่อยเล็กน้อย นี่คุณกินได้ถ้าอยากจะกิน ทีนี้ถ้าให้มันกินดีขึ้นทำไง  ใส่ขัณฑสกร  เพราะหวานๆนี่ ชุ่มๆชื่นๆ ชาวบ้านสบายๆ นะ

วิธีนี้ดีมาก  ถามท่านแล้วถ้าไม่ลองก็ไม่แน่ใจ นี่เราลองแล้ว ลองกันเลย บอกเอาลงมือทำกันเลย

(จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 159 เดือนพฤษภาคม 2537 หน้า 15)

27 มกราคม 2564

เครื่องวัดอารมณ์ของนักปฏิบัติ

#ตัดจุดเดียว

เคล็ดลับในการปฏิบัติอย่างง่ายที่สุด ถ้าท่านไปเปิดในขันธวรรค พระไตรปิฏก ที่พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายได้รวบรวมไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาว่า พระพุทธองค์ทรงสอนไว้มีมากมาย ชอบใจแบบไหน ก็ปฏิบัติแบบที่ถูกนิสัยของท่าน 

มีคนถามปัญหาพระพุทธเจ้าว่า กิเลสร้อยแปดพันเก้าทั้งหลายนั้น จะตัดกิเลสทั้งหมดออกจากจิตใจ ตัดด้วยอะไร 

พระพุทธองค์ตอบว่า ตัดจุดเดียว คือ ขันธ์ ๕ รูปร่างกาย ตัดความอยากเกิดมามีรูปร่างกาย ตัดอาลัยในขันธ์ ๕ ให้พิจารณาว่า 

๑. รูปร่างกาย คือ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ 
๒. เวทนา ความรู้สึก สุข ทุกข์ หนาว ร้อน 
๓. สัญญา คือ ความจำได้ หมายรู้ 
๔. สังขาร คือ ความคิดดีคิดชั่ว คิดเฉย ๆ 
๕. วิญญาณ ระบบประสาททั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความเจ็บปวดทางประสาท สมอง ไขสันหลัง 

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเขา ไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่ใช่ขันธ์ ๕ เราคือ จิตที่มาอาศัยขันธ์ ๕ ชั่วคราว ถ้าจิตไม่ผูกพันในขันธ์ ๕ อารมณ์นั้นเมื่อไร จิตก็จะพ้นจากกิเลสสังโยชน์ ๑๐ เป็นพระอริยเจ้าทันที 

ท่านกล่าวว่า ไม่มีอะไรยาก พระอรหันต์ทุกพระองค์ ท่านมีจุดตัดอย่างเดียว คือ ขันธ์ ๕ เท่านั้น

เครื่องวัดอารมณ์ของนักปฏิบัติ

นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงจิตกับสังโยชน์ ว่าเราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่าเราเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหัต ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง

สังโยชน์ ๑๐

สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมอยู่ในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง คือ

๑.สักกายทิฏฐิ มีความเห็นว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้ เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา

๒.วิจิกิจฉา สงสัยในผลการปฏิบัติว่าจะไม่ได้ผลจริงตามที่ฟังมา

๓.สีลัพพตปรามาส ถือศีลไม่จริงไม่จัง สักแต่ถือตามๆเขาไปอย่างนั้นเอง

(สามข้อนี้ ถ้าตัดได้เด็ดขาด ท่านว่าได้บรรลุเป็นพระโสดากับพระสกิทาคามี)

๔.กามราคะ ความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และอาการถูกต้องสัมผัส

๕.ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งใจ ทำให้ไม่พอใจ อันนี้เป็นโทสะแบบเบาๆ

(ข้อ ๑ ถึง ๕ นี้ ถ้าละได้เด็ดขาด ท่านว่าบรรลุเป็นอนาคามี)

๖.รูปราคะ พอใจในรูปธรรม คือความพอใจในวัตถุ หรือรูปฌาน

๗.อรูปราคะ พอใจในอรูป คือเรื่องราวที่กล่าวถึง หรือในอรูปฌาน

๘.อุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทาง

๙.มานะ ความถือตนโดยความรู้สึกว่า เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา

๑๐.อวิชชา ความโง่ คือ หลงพอใจในกามคุณ ๕ และกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ ที่ท่านเรียกว่าอุปาทาน เป็นคุณธรรมฝ่ายทรามที่ท่านเรียกว่า อวิชชา

สังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อนี้ ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ ๑๐ อย่างโดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตผล

โอวาทธรรม : #หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
(หลวงพ่อฤาษีฯวัดท่าซุง)

26 มกราคม 2564

พลังงานความรัก..

พลังงานความรัก.. สามารถเยียวยา รักษา (healing) การรักษาโรคแบบนี้ ก็เป็นหนึ่งในการนำพลังงานของพระผู้สร้างฯ หรือชิ้นส่วนพระเจ้าในกายเรานำพลังความรักนี้มาใช้?.
ไม่ว่าจะเป็น..มะเร็ง เบาหวาน อาการซึมเศร้า โรควัยทอง (ประจำเดือนหมด) กระดูกผุ
สมองเสื่อม (Parkinson's) "สั่น"

ที้งหมดที่กล่าวมานี้ยังไม่มีตัวยารักษา ดังนั้นแพทย์แผนปัจจุบันที่ใช้ยานั้นจึงไม่สามารถจะ
ทำให้โรคเหล่านี้หายขาดได้ แต่จะทำให้เกิดโรคจากอวัยวะอื่นขึ้นมาใหม่อันเป็นผลมาจากสารเคมีในเนื้อยานั้น บางทีเราจะเรียกว่า "โรคหมอทำ" 

ดังนั้น จึงควรมองหาทางเลือกอื่นๆ จะได้ประหยัดเงินค่ารักษา และ ทำให้โรคนั้นดีขึ้น หรือ อันตธานหายไปเลย

มนุษย์เรานั้น ถ้ารู้จักรักษาสุขภาพอนามัยของตนเองอย่างถูกต้อง ก็จะไม่เจ็บป่วย ดังนั้น
การแนะนำคำสอนให้ดูแลตนเอง และ พึ่งตนเองนั้น ตรงกับพุทธบาลีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า "อัตตาหิ อัตโนนาโถ" (ตนนั้นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน) และ 
"อโรคยา ปรมาลาภา" (ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ) และ พลังกายทิพย์ในกายเนื้อ
สามารถช่วยตัวเราเองได้

คำแนะนำใดๆ ก็ตามที่ไม่ขัดต่อหลักวิชา ไม่เกิดอันตรายต่อกายเนื้อเรา และ ไม่ต้องมีค่า
ใช้จ่ายเกินปกติ หรือเกินความจำเป็น เช่น วิชาพลังกายทิพย์นี้ พ่อว่าน่าจะลองนำไปปฎิบัติ
ดู และ สามารถนำไปทดลองปฎิบัติได้ด้วยตัวเราเอง และ มีหลักฐานจากผู้ปฎิบัติแล้วได้ผล เพื่อประโยชน์ต่อตัวเราเองในด้านการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงไม่เจ็บป่วย หรือถ้า
เกิดการเจ็บป่วยหลายโรค หลายอาการ พลังความรัก และ กายทิพย์ ยังเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีให้พวกเราพิจารณาเลือกปฎิบัติได้เป็นอย่างดียิ่ง...

โดยการที่เริ่มต้นแก้ไขจากตัวเองก่อน แต่ไม่ใช่การท่อง ว่า ขอโทษ โปรดจงให้อภัย 
ขอบคุณ และ บอกว่าเรารักคุณ อย่างเดียวนะครับ เพราะถ้าเป็นแค่อย่างนั้น อย่างเดียว
(ก็เหมือนคนเล่นดนตรีไม่เป็นเพลง) ก่อนอื่นเราจะต้องเข้าใจและมีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ จากส่วนลึกในใจว่าเรารักเขาจริงๆ 

และ มองโลกในความเป็นจริงว่าเราเป็นพลังงานเดียวกัน มันถึงจะเกิดผลอย่างนั้นจริงๆ
การที่เราพูดว่า ขอโทษ ขอให้ยกโทษให้เรา และ บอกรักเจ้ากรรมนายเวรของเรานั้น มัน
เป็นความรู้สึกที่อยู่ในส่วนลึกๆ ในความรู้สึกของมนุษย์ว่าเราทำผิดกับพระผู้สร้างฯ ตัวตน
เรา อย่างมากมาย ในการที่เราหันหลัง ให้กับผู้สร้างเรามานานแสนนาน

มันเป็นเหมือนการประกาศ ว่าเรารักผู้ที่สร้างตัวตนของเรา นั่นแหละการรักษาโรคใน
ลักษณะแบบนี้จึงจะเกิดผล และ ความรักของผู้สรัางฯ เราก็จะเชื่อมโยงเข้ากับ
พลังงานอื่นๆ ที่เรากำลังต้องการและคิดถึง เขาอยู่ และ ปลดปล่อยเขาจากการที่เขาถูก
ควบคุม อยู่ หรือ เจ็บป่วยอยู่

อ๋อ..ลืมไป พ่อจะพูดถึงโรคภัยไข้เจ็บที่มนุษย์เราเป็น คือ มันไม่มีอยู่จริงในโลกแห่งความ
เป็นจริงของเรา พวกเราอยู่ในโลกเสมือนจริงที่มันสมจริงที่สุดจงเราไม่เคยมีข้อสงสัยใดๆ
มาก่อนเลย โรคต่างๆ เหล่านี้ ถ้ามองในแบบอนุภาคเล็กที่สุด มันก็คือขั้วพลังงานขั้วลบ ที่
มันควบคุมพลังงานที่มีอยู่ในตัวเรา 

ดังนั้น โรคเอดส์ (เป็นโรคที่รูปธรรมฝ่ายมืด grays เป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเพื่อลดประชากรโลก) อันที่จริงมันรักษาให้หายได้โดยใช้พลังไฟฟ้าเพียงไม่เกิน 10 ครั้ง

สรุป...

ขั้นแรก บอกกับผู้สร้างฯ ว่าเราขอโทษในตอนนี้เราจำได้แล้วว่าเราคือใคร และเรารักผู้
สร้างฯ และเราเชื่อมโยงกับผู้ที่สร้างฯ เรา และ เราเริ่มรักคนใกล้ตัวก่อน รักเค้าให้เหมือน
กับที่เรารักตัวเอง ให้อภัยซึ่งกันและกัน (ให้อภัยตัวเองก่อน และ คนอื่นๆ เพราะมนุษย์
มีความผิดพลาดได้ทุกคน)

แล้ว มองว่าเราทุกคนแยกจากกันมิได้ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วพวกเราจะเห็นว่าบางสิ่งบางอย่างรอบตัวเราจะเปลี่ยนไป (แต่ห้ามคิดว่าเราคือผู้วิเศษนะ) เราทุกคนเป็นเหมือนกัน
ขึ้นอยู่ที่ความเข้าใจ เท่านั้นเอง

และ เราจะเข้าใจอะไรที่อยู่ในความตระหนักรู้ขั้นสูงขึ้นไปกว่านั้นอีก (เพราะพลังงานมีระดับมิติ 12 ความตระหนักรู้) พี่น้องเราจากดวงดาวอื่นๆ พวกเขาผ่านโรงเรียนฝึกฝนฯ นี้
ไปแล้วก่อนเราล่ะครับ 

ในมิติความตระหนักรู้ที่สูงกว่าเรา พวกเค้าอยู่ด้วยความรัก การเคารพให้เกียรติซึ่งกันและ
กัน และ เคารพกฎของจักรวาล (กฎของผู้สร้างฯ) ซึ่งพระผู้สร้างอยู่ในมิติที่นอกเหนือจาก
มิติความตระหนักรู้ ทั้ง 15 มิติ ส่วนมนุษย์เราจะยกระดับมิติสูงสุดได้เพียงมิติที่ 12 เท่านั้น

เรามนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกันหมด เป็นพลังงานที่เท่าเทียมกันแม้กระทั่งคน
ทุพลภาพ (แม้กระทั่งพี่น้องเราจากดาวซีรีอุส เค้ายังบอกเลยว่า เราเป็นเหมือนเขา เราไม่มีความแตกต่างกันเลย จะต่างกันแค่การรับรู้ความจริง และ ความเข้าใจในจักรวาลเท่านั้น)

พวกเราทุกคนกำลังถูกขับเคี่ยวให้ถึงแก่นแห่งสัจจธรรมความจริงในโรงเรียนโลกแห่งนี้
และ นี่คือความในใจของเราที่มาบอกความจริงกับพวกท่านทุกคน...

ข้อความต่างมิติผ่านผู้นำสาส์น...

แสงสว่าง มองการไกล...ผู้รับสาส์น.....

25 มกราคม 2564

ความสั่นสะเทือนที่สูงมากเป็นพิเศษ

ถึงเวลาแล้วสําหรับบรรยากาศของความความสั่นสะเทือนที่สูงมากเป็นพิเศษในแบบฉบับของชาวพลียะเดี้ยน !
ข้อความสื่อสารจาก : กองกำลังพิทักษ์จักรวาลพลียะเดี้ยน
สื่อสารผ่านทาง : คุณไมเคิ้ล  เลิฟ  01232021
    คุณพร้อมไหม สําหรับวันหยุดสุดสัปดาห์กับการเข้ามาของคลื่นพลังงานจำนวนมากมายมหาศาลที่ได้ถาโถมเข้ามาจากกาแล็คซี่ ที่เห็นค่าวัดแล้ว  ดูว่าน่ากลัวหรือไม่?
   บางครั้งอาจต้องใช้เวลาสักครู่เพื่อไปยังบรรยากาศที่ทำให้ได้รับความรู้สึกของความสั่นสะเทือนที่สูงมากเป็นพิเศษ!
  คำถามคือ :  วิธีที่เร็วที่สุดในการไปที่นั่นเป็นได้อย่างไร?
  คําตอบของพลียะเดี้ยน : ไหลไปตามจังหวะของบทเพลงในแบบฉบับของพลียะเดี้ยน !
 ค้นหาเพลงที่ทําให้คุณได้ออกไปสู่โลกกว้าง  ด้วยความสุขที่จะทําให้เซลล์ของคุณได้ฉวัดเฉวียนแกว่งไปมาให้ทั่วร่างกาย  ใส่หูฟังไว้ที่หูของคุณ  แล้วก้อเริ่มโยกย้ายส่ายสะบัด ให้สุดเหวี่ยงขึ้นไปตามจังหวะของบทเพลงไปพร้อม ๆ กับเซลล์ของคุณ!
มันคือวิธีที่ดีสุด ! ในแบบฉบับของชาวพลียะเดี้ยน
-พวกเราคือเมล็ดพันธุ์ของโลก
-พวกเราได้ตื่นรู้ขึ้นแล้ว  และจะไม่มีอะไรที่ทําให้พวกเราต้องผิดหวัง!
-พวกเราคือผู้รังสรรค์ และก็เป็นผู้ที่สร้างโลก!
-พวกเราสร้างสรรค์สิ่งที่พวกเรารักมากที่สุด!
-พวกเราคือมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ของแสงสว่าง ที่เดินทางมาจากต่างดวงดาว เพื่อมาช่วยยกระดับของโลกให้ขึ้นไปได้ทั้งใบ!
-พวกเราได้ส่องแสงที่สว่างไสวอันเจิดจ้าให้โลกทั้งใบได้เห็น!
-พวกเราจำนวนมากถึง 4.5 พันล้านคน ได้ตั้งมั่น ยืนหยัด และคงอยู่อย่างแข็งแกร่ง อยู่ที่นี่ บนโลกใบนี้พร้อมกับพวกคุณทุก ๆ คน และพวกเราก็ไม่เคยคิดที่จะย้ายหนีไปไหน !
-พวกเราได้ก้าวข้ามทุกพื้นที่บนผิวของโลกนี้  และยังคงมีพวกเรากระจายอยู่ไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก!
-พวกเราไม่ได้เดินตามใคร หรือให้ใครมาเดินตามเราทั้งสิ้น   พวกเราได้มาเข้าร่วมทำงานด้วยกัน  พวกเราคือกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล!
-พวกเราคือผู้เฝ้าดู พร้อมกับสังเกตการณ์  และพวกเราก็ได้มองเห็นในทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไป!
-พวกเราทำได้เพียงแค่การเฝ้ามอง
-พวกเราจะไม่ตัดสินเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น  และพวกเราก็จะไม่เข้าไปทำการแทรกแซงไม่ว่าด้วยกรณีใด ๆ ก็ตาม !
   อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเรากําลังทํา  นั่นคือการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่อยู่ในอาณาจักรแห่งนี้  เริ่มต้นจากภายในสู่กระบวนการยกระดับจิตสำนีกให้เพิ่มสูงขึ้นได้อย่างยอดเยี่ยมมากขึ้น  และพวกเรากําลังทําสิ่งนี้ด้วย “จิตตานุภาพที่แท้จริง”ของพวกเรา  ด้วยพลังอํานาจอันทรงพลังอย่างยิ่งยวดทั้งหมดของพวกเรา
-จงเตรียมพร้อมสำหรับแรงบันดาลใจที่จะเกิดขึ้น ด้วยข้อความของชาวพลียะเดี้ยนที่จะมาถึงจากพันธมิตรของโลก! 
-พวกเรามองเห็นพวกคุณ    พวกเราได้ยินเสียงของพวกคุณ  และพวกเรารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของพวกคุณ  ไม่ว่าพวกคุณจะอยู่ ณ. ที่แห่งหนตำบลใดบนโลกใบนี้ก็ตาม !
-นี่คือของขวัญแห่งจิตวิญญาณของเหล่าทวยเทพ!
-พวกเราได้เชื่อมต่อพร้อมตอบสนองกับความรู้สึกของพวกคุณ  และพวกเราก็อยู่กับพวกคุณตลอดเวลา แม้ในขณะนี้!
-พวกคุณคือสมาชิกในครอบครัวของแสงสว่างร่วมกันกับพวกเรา   และพวกเรารักพวกคุณจริงๆ!
-พวกเราเพียงแค่ต้องการที่จะออกไปเที่ยวกับพวกคุณอีกครั้ง  ให้มีความสนุกสนานแบบสุด ๆ กับพวกคุณ  และได้ทําบางสิ่งบางอย่าง อย่างเช่นการได้เข้าครัวปรุงอาหารร่วมกัน  ที่พวกเราได้คุ้นเคยร่วมกันมาแต่เก่าก่อน!
-พวกเราได้เห็นพวกคุณที่อยู่ในทุกประเทศทั่วโลก  และพวกเราก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เกี่ยวกับงานเพื่อแสงสว่างของพวกคุณ มันชั่งยอดเยี่ยมมาก ๆ ที่พวกคุณกําลังเปล่งประกายเจิดจรัสอยู่ในตอนนี้ !
-สําหรับในช่วงเวลานี้    พวกเรายังคงมีงานที่ต้องทําอีกมากมาย!
-มันถึงเวลาแล้ว   ที่พวกเราจะได้เริ่มสร้างสรรค์โลกใบใหม่ของพวกเรา  และนี่คือสิ่งที่พวกเรากำลังจะทํา!
-มันถึงเวลาแล้ว  ที่จะต้องมาร่วมกันทำโดยทันที  ถ้าอยากให้งานที่มากมายนี้ให้เสร็จได้ไวขึ้น!
-เพื่อกระบวนการของงานนี้  ทำให้พวกเราต้องเดินทางมายังดาวเคราะห์โลก!
-เพื่อให้พวกเราได้มีส่วนร่วมในการยกระดับโลกใบนี้ขึ้นสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง!
-ขอให้โชคดีมีชัย!
แปล/เรียบเรียงโดย : กรัณย์กร  ชุมปัญญา 
https://www.facebook.com/MICAHLIGHTANGEL/posts/2722421421340461

ความเข้าใจผิด

๑. เข้าใจผิดว่า ...ทำดี ต้องได้ดี ทำบุญต้องได้บุญ
 ที่ถูก คือ ...ทำดีไม่ได้อะไร ได้แค่ละกิเลส ทำบุญ ได้แค่สบายใจ

๒. เข้าใจผิดว่า ...ดีกับใคร คนนั้นต้องดีตอบ
ที่ถูก คือ ...เรามีหน้าที่ทำดี ใครจะดีกับเรา ไม่ดีกับเรา ไม่ใช่เรื่องของเรา

๓. เข้าใจผิดว่า ...ให้อะไรใคร ต้องได้กลับคืน
 ที่ถูก คือ ...การ “ให้” คือ ยินดีเสียสละ ให้แล้วคาดหวัง..ไม่ใช่การให้ อ้างบุญคุณไม่ได้

๔. เข้าใจผิดว่า ...แก่แล้วทำอะไรก็ได้
ที่ถูก คือ ...แก่แล้วต้องยิ่งสำนึก ทำชั่วไม่ได้ เวลาเหลือน้อย

๕. เข้าใจผิดว่า ...ต้องทำเพื่อความมั่นคงของชีวิตในภายหน้า ที่ถูก คือ ...ความมั่นคงไม่มีในโลก ตายได้ทุกเมื่อ

๖. เข้าใจผิดว่า ...ความต้องการของตัวเองสำคัญที่สุด เราสำคัญที่สุด ที่ถูก คือ ...ไม่มีความต้องการนั่นแหละสำคัญที่สุด ไม่มีเราต่างหากสำคัญที่สุด

๗. เข้าใจผิดว่า ...เข้าวัด ใจสงบ
 ที่ถูก คือ ...วัดอยู่ในใจ..ใจสงบ

๘. เข้าใจผิดว่า ...ความสบายเลือกได้
ที่ถูก คือ ...เกิดมาก็ทุกข์แล้ว มันเลือกไม่ได้ ไม่มีใครสบายตลอดชาติ

๙. เข้าใจผิดว่า ...สิ่งของ คนของเรา ตัวตนของเรา
เราต้องยึดไว้ รักษาไว้
 ที่ถูก คือ ...ไม่มีอะไร หรือใคร ให้ต้องยึด ต้องรักษา
ทุกอย่างไม่ใช่ของเรา และที่สุดแล้ว...ก็ ไม่ มี...

คำสอน ...๛ ท่านพุทธทาส ภิกขุ ๛

สมาธิเคลื่อนไหว หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

ถ้าทำจังหวะให้ติดต่อกันเหมือนลูกโซ่ มีความรู้สึกอยู่ทุกขณะ ยืน เดิน นั่ง นอน คู้ เหยียด เคลื่อน ไหว อย่าง ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้น

แต่เรามาทำเป็นจังหวะ พลิกมือขึ้น คว่ำมือลง ยกมือไป เอามือมา ก้ม เงย เอียงซ้าย เอียงขวา กระพริบตา อ้า ปาก หายใจเข้า หายใจออก รู้สึกอยู่ทุกขณะ จิตใจมันนึกมันคิด รู้สึกอยู่ทุกขณะ

อันนี้แหละวิธีปฏิบัติ คือให้รู้ตัว ไม่ให้นั่งนิ่งๆ ไม่ให้นั่งสงบ คือให้มันรู้

รับรองว่าถ้าทำจริง ในระยะ ๓ ปี อย่างนาน ทำให้ติดต่อกันจริงๆนะ อย่างกลาง ๑ ปี อย่างเร็วที่ สุดนับแต่ ๑ ถึง ๙๐ วัน อานิสงส์ไม่ต้องพูดถึงเลย ความทุกข์จะลดน้อยไปจริงๆ ทุกข์จะไม่มารบกวนเรา

หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

หลวงปู่ปานแนะเคล็ด​ทำให้ร่ำรวย

พระคุณหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค พระนครศรีอโยธยา ท่านได้เคยเมตตาสั่งสอนแนะนำลูกหลานไว้ว่า หากลูกหลานต้องการมีความคล่องตัวไว ร่ำรวยไว ก็ให้ปฏิบัติ ดังนี้

๑. ก่อนที่จักเดินทางไกล ให้ทำทานก่อน จักใส่บาตรพระก็ได้ มอบเงินให้พ่อแม่ก็ได้ เอาข้าวให้ลูกหมาลูกแมวก็ได้ เรียกว่าทำทานก่อนไป

๒. หากพบพระสงฆ์กำลังฉันภัตตาหารในร้าน ให้เข้าไปปวารณาถวายค่าภัตตาหารมื้อนั้นกับท่าน ฤานำปัจจัยไปจ่ายให้กับแม่ค้า แล้วจึงไปบอกกล่าวกับพระท่าน

๓. หากพบเห็นพระสงฆ์ในระหว่างที่เรากำลังเดินทาง ให้จอดรถลงไปถวายของกับท่าน เช่น​ ภัตตาหาร น้ำดื่ม เป็นต้น หากเป็นเพลาหลังเพลแล้ว​ ให้ถวายน้ำดื่ม เครื่องดื่ม ผลสมอ มะขามป้อม ฯลฯ กับท่าน

๔. ให้เป็นเจ้าภาพถวายผ้าไตร อย่างน้อย ๑ ไตร ในงานกฐินทุกปี 

หากทำได้เช่นนี้ ใครอื่นจน ใครอื่นลำบาก ลูกหลานทุกคนก็จักไม่ลำบากยากจนเหมือนคนอื่นๆ เขา

แถมอีกนิด..พระคุณหลวงปู่ปาน ยังได้เคยกล่าวไว้อีกว่า

"ข้าไม่เคยเห็นใครที่ซื้อโลงศพแจกเขา ฤาทำบุญบริจาคโลงศพแล้วจักจนลงเลย เห็นมีแต่คล่องตัว ร่ำรวยขึ้นๆ"

ผู้ใดปรารถนาความคล่องตัว ร่ำรวยขึ้น ก็ให้พากันปฏิบัติตามที่พระคุณหลวงปู่ได้เมตตาแนะนำสั่งสอนนะลูก

หลวงพ่อพระธัมมสรโณ

หลวงปู่ปาน​ โสนันโท

วันนี้วันที่ ๒๕ มกราคมเป็นวันคล้ายวันมรณภาพ

วันนี้วันที่ ๒๕ มกราคมเป็นวันคล้ายวันมรณภาพ ของพระธรรมสิงหบุราจารย์หรือหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม พระวิปัสนาจารย์ผู้สอนเรื่องกฏแห่งกรรม แห่งวัดอัมพวัน  อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี หลวงพ่อจรัญ ท่านมีชื่อเสียงในระดับประเทศจากการเป็นพระนักพัฒนา พระนักเทศน์ และพระวิปัสสนาจารย์ แนวทางการสืบทอดพระพุทธศาสนาของท่านเน้นหนักที่การสั่งสอนเรื่องกฎแห่งกรรม โดยยกเหตุการณ์ที่ท่านประสบและนับเป็นกฎแห่งกรรมขึ้นมาเป็นอุทาหรณ์อยู่เสมอ และเน้นการพัฒนาจิตใจคนด้วยการฝึกวิปัสสนาตามหลักสติปัฏฐาน ๔ แบบพองหนอ-ยุบหนอ นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้ที่ส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนหมั่นสวดมนต์ด้วยพุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงมหากา) เพื่อเป็นเครื่องเจริญสติอย่างแพร่หลายอีกด้วย

• ชาติภูมิ

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ชื่อเดิมคือ นายจรัญ จรรยารักษ์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๔๗๑ เวลา ๐๗.๑๐ น. ท่านเป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวน ๑๐ คน  มีบิดาชื่อ นายแพ จรรยารักษ์ และมารดาชื่อ นางเจิม สุขประเสริญ มีอาชีพเป็นชาวนา ที่ ต.ม่วงหมู่ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ได้รับการอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๙๑ รวม ๖๘ พรรษา ส่วนวุฒิการศึกษาสำเร็จ นักธรรมชั้นโท ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี และที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๓

• ชีวิตวัยเด็กของ จรัญ จรรยารักษ์ 
(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)

วัยเด็กของเด็กชายจรัญ ถูกยาย อายุ 80 ปี ขอไปเลี้ยงอยู่เป็นเพื่อนเนื่องจากตาลาบวช โดยได้ไปอยู่ที่บ้านทรงไทยที่มีหลังบ้านติดกับลำน้ำลพบุรี และในเวลา ๐๔.๐๐ น. ของทุกวัน คุณยายจะตื่นขึ้นมาสวดมนต์เป็นเวลา ๑ ชั่วโมง โดยมีเด็กชายจรัญคอยเตรียมอาหารไว้ให้ยายใส่บาตร จากนั้นสองยายหลานจะพากันไปเก็บผัก ผลไม้ เพื่อหาบไปขายในตลาด ก่อนที่เด็กชายจรัญจะไปโรงเรียน แต่ทว่าเวลานั้นเด็กชายจรัญต้องย้ายโรงเรียนบ่อยเนื่องจากไม่ตั้งใจเรียน มีนิสัยเกเร ชอบเอาเวลาไปยิงนกตกปลาและสร้างวีรกรรมไว้มากมาย จนช่วงมัธยมเด็กชายจรัญถูกโรงเรียนไล่ออกและไม่มีโรงเรียนใดใน จ.สิงห์บุรีรับเข้าเรียน ทั้งที่ยายสอนแต่สิ่งดี ๆ

ทำให้ยายต้องส่งเด็กชายจรัญไปอยู่กับปู่ ซึ่งเป็นคุณหลวงในกรุงเทพฯ และได้ไปเป็นศิษย์ดนตรีไทยของคุณหลวงประดิษฐ์ไพเราะก่อนส่งตัวต่อไปฝากฝังกับ จอมพล ป. จนได้รับการสนับสนุนให้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ แต่เมื่อเจอรุ่นพี่วางอำนาจใส่นายจรัญก็ทนไม่ได้จนมีเรื่องกับรุ่นพี่ จึงต้องลาออกจากโรงเรียนและกลับไปตั้งวงดนตรีไทยที่บ้าน

• หลวงพ่อจรัญ อุปสมบท ได้รับฉายาว่า "ฐิตธมฺโม"

จนกระทั่งครบอายุบวช ยายก็ได้ให้นายจรัญอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๑ ที่วัดพรหมบุรี โดยมีพระพรหมนคราจารย์ เจ้าอาวาสวัดแจ้งพรหมนครเป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูถาวรวิริยคุณ วัดพุทธารามเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านได้รับฉายาว่า "ฐิตธมฺโม" ทั้งที่ขณะนั้นนายจรัญเกลียดพระสงฆ์เพราะเจอพระทุศีลใช้ผ้าเหลืองหากิน และเมื่อครบกำหนดสึกท่านได้เตรียมตัวสึกแต่ก็เลื่อนสึกถึง ๓ ครั้ง จนสมภารวัดบอกว่าไม่สึกให้แล้ว หากคิดจะสึกก็ให้ไปวัดอื่น ท่านจึงออกเดินทางไปนมัสการพระพุทธชินราชเพื่อตั้งใจให้พระที่นั่นสึกให้ แต่ระหว่างทางได้เจอโยมที่กำลังเดินทางไปนมัสการหลวงพ่อเดิม ที่ จ.นครสวรรค์ ท่านจึงได้เดินทางไปด้วย เมื่อไปถึงก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (เดิม พุทฺธสโร) ซึ่งท่านก็ได้สอนวิชาคชศาสตร์ให้ ซึ่งมีเพียงหลวงพ่อจรัญเพียงคนเดียวที่ได้เรียน รวมถึงวิชาคาถาอื่น ๆ จนท่านไม่ได้สึกอย่างที่ตั้งใจและคิดว่าคงต้องครองสมณเพศไปตลอด

นอกจากนี้หลวงพ่อจรัญยังได้ศึกษาวิชากับอาจารย์ท่านอื่น ๆ อีก เช่น พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี ธมมฺธโร) และพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสฺโส) จ.ขอนแก่น ต่อมาได้ศึกษาการทำเครื่องรางของขลัง น้ำมันมนต์ กับหลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่าง จ.พระนครศรีอยุธยา และหลวงพ่อสนั่น วัดเสาธงทอง จ.อ่างทอง, หลวงพ่อจาด วัดบ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี และได้ศึกษา สมถกรรมฐาน กับพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ อ.ภาษีเจริญ จ.ธนบุรี และศึกษาและปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน กับพระราชสิทธิมุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) วัดมหาธาตุ กรุงเทพฯ รวมทั้งได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาพระอภิธรรมกับอาจารย์เตชิน (ชาวพม่า) ที่วัดระฆัง จ.ธนบุรี และศึกษาการพยากรณ์จากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทโย) วัดสระเกศ กรุงเทพฯ และศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้วิทยาศาสตร์ทางจิตกับ อาจารย์ พ.อ. ชม สุคันธรัต

ในที่สุดเมื่อท่านมีวิชาความรู้มากพอทางคณะสงฆ์ก็ได้ให้หลวงพ่อจรัญไปเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดโบราณ ทรุดโทรม มีเพียงพระบวชจำพรรษาเพียง ๒ รูป โดยหลวงพ่อได้เข้าไปพัฒนาและได้สอนกรรมฐานคติธรรมจนเป็นประโยชน์แก่คนมากมาย

• หลวงพ่อจรัญ ค้นพบคาถาพาหุงฯ

หลวงพ่อจรัญ ท่านฝันถึงสมเด็จพระวันรัต วัดป่าแก้ว แห่งกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระวันรัตบอกกล่าวว่า ผู้แต่งคาถาพาหุงนี้ถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเองและใช้สวดเป็นประจำเวลาออกทำสงครามและมีชัยชนะครั้นสงครามยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชแห่งกรุงหงสาวดี 

พระพุทธชัยมงคลคาถา หรือมักเรียกว่า พระคาถาพาหุง  เป็นพระคาถาที่ใช้สวดสรรเสริญชัยชนะแปดประการที่พระสมณโคดมทรงมีเหนือมนุษย์และอมนุษย์ด้วยธรรมานุภาพ พระคาถานี้ปัจจุบันมักใช้สวดต่อจากคาถาทำวัตรเช้า

ตำนานบทสวดพุทธชัยมงคลคาถา หรือพาหุง มหากาฯ ของหลวงพ่อจรัญ ท่านกล่าวว่า ได้ตำราเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นใบลานทองคำจารึกของสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ปัจจุบันเรียกว่าวัดใหญ่ชัยมงคลได้รจนาถวายพระพรชัยมงคลคาถาแด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช การที่ท่านทราบและได้ตำรานี้ เกิดจากนิมิตที่ท่านกำหนดจิตในพระกรรมฐานอยู่เสมอแม้แต่ในเวลาจำกัด

โดยท่านเล่าว่า มีอยู่คืนหนึ่ง เมื่อจำวัดแล้วฝันไปว่า ได้เดินไปในที่แห่งหนึ่ง พบภิกษุรูปหนึ่งครองจีวรคร่ำคร่า สมณสารูปน่าเลื่อมใส เมื่อเห็นว่าเป็นพระอาวุโสผู้รู้รัตตัญญู หลวงพ่อจรัญจึงน้อมนมัสการท่าน ภิกษุรูปนั้นหยุดยืนอยู่ตรงหน้า แล้วกล่าวกับหลวงพ่อว่า...

“ฉันคือสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว แห่งกรุงศรีอยุธยา ฉันต้องการให้เธอได้ไปที่วัดใหญ่ชัยมงคลเพื่อดูจารึกที่ฉันได้จารึกถวายพระเกียรติแด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้เป็นเจ้าเนื่องในวาระที่สร้างเจดีย์ฉลองชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชแห่งพม่าและประกาศความเป็นอิสระของประเทศไทย จากกรุงหงสาวดีเป็นครั้งแรกเธอไปดูแล้วจดจำมาเผยแพร่ออกไป ถึงเวลาที่เธอจะได้รับรู้แล้ว”

หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ได้เล่าต่อว่า ในฝัน อาตมารับปากท่าน ท่านก็บอกตำแหน่งให้แล้ว ก็ตกใจตื่นนอนใกล้รุ่ง อาตมาก็ทบทวนความฝัน ก็นึกอยู่ในใจว่า เราเองนั้นกำหนดจิตด้วยกรรมฐานมีสติอยู่เสมอ เรื่องฝันฟุ้งซ่านเป็นไม่มี อาตมาก็ได้ข่าวในวันนั้นแหละว่า ทางกรมศิลปากรทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ในวัดชัยมงคล และจะทำการบรรจุบัวยอดเจดีย์ อันเป็นนิมิตหมายการสิ้นสุดการบูรณะ แล้วจะรื้อนั่งร้านทั้งหมดออกเสร็จสิ้น

อาตมาจึงได้ขอร้อง ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร ให้เลื่อนการปิดยอดบัวไปอีกวันหนึ่ง เพื่อที่อาตมาจะได้นำพระซุ้มเสมาชัย ซุ้มเสมาขอ ที่อาตมาได้สร้างขึ้นตามแบบดั้งเดิมที่พบในเจดีย์ใหญ่ใกล้กับวัดอัมพวัน ซึ่งพังลงน้ำ ที่ก๋งเหล็งเป็นคนรวบรวมเอามาให้อาตมาตั้งแต่เมื่อเริ่มมาพัฒนาวัดใหม่ๆ แต่แตกหักผุพังทั้งนั้นหลายสิบปิ๊ป อาตมาได้ป่นเอามาผสมสร้างเป็นองค์พระใหม่ ไปร่วมบรรจุไว้ที่ยอดพระเจดีย์บ้าง

วันนั้น อาตมาเดินทางไปถึง ก็ได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์ตอนที่สุดบันไดแล้ว มองเห็นโพรงที่ทางเขาทำไว้สำหรับลงไปด้านล่าง มีร้านไม้พอไต่ลงไปภายใน ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่า ลงไปคราวนี้ ถ้าพลาดตกลงไปจากนั่งร้านม้าก็ยอมตาย คนที่ร่วมเดินทางมาด้วย เขามัวแต่ไปบนลานชั้นบน อาตมาก็ดิ่งลงไปชั้นล่าง มีไฟฉายดวงหนึ่ง เวลานั้ประมาณ ๐๙.๐๐ น. อาตมาลงไปภายในแล้ว ก็พบนิมิตดังที่สมเด็จพระพนรัตน์ได้บอกไว้จริงๆ

อาตมาจึงได้พบว่า แท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ท่านได้จารึกถวายพระพร ก็คือบทสวดที่เรียกว่า "พาหุง มหาการุณิโก"

ท้ายของนิมิตนั้นระบุว่า "เราสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ศรีอโยธยา คือผู้จารึกนิมิตรจนาเอาไว้ ถวายพระพรแด่มหาบพิตรเจ้า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช"

พาหุงมหากา ก็คือบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วก็พรพาหุงอันเริ่มด้วย พาหุง สะหัส ไปจนถึง ทุคคาหะทิฏฐิ แล้วเรื่อยไปจนถึง มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ และจบลงด้วย ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง สัพพะพุทธา สัพพะธัมมา สัพพะสังฆานุ ภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต อาตมาจึงเรียกรวมกันว่า พาหุงมหากา

อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่า บทพาหุงนี้ คือบทสวดมนต์ที่สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไว้สวดเป็นประจำเวลาอยู่กับพระมหาราชวังและในระหว่างศึกสงคราม จึงปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าทรงรบ ณ ที่ใด ทรงมีชัยชนะอยู่ตลอดมา มิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำเลย แม้จะเพียงลำพังสองพระองค์กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ท่ามกลางกองทัพพม่าจำนวนนับแสนคน ก็ทรงมีชัยชนะเหนือกองทัพพม่า ด้วยการกระทำยุทธหัตถี มีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชา ณ ดอนเจดีย์ปูชนียสถาน แม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์ในตอนที่เข้ากันพระศพของพระมหาอุปราชาออกไปราวกับห่าฝนก็มิปาน แต่ก็มิได้ต้องพระองค์ ด้วยเดชะพาหุงมหากาที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั่นเอง

อาตมาพบนิมิตแล้ว ก็ไต่ขึ้นมาด้วยความสบายใจ ถึงปากปล่องที่ลงไปใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง เนื้อตัวมีแต่หยากไย่ เดินลงมาแม่ชีเห็นเข้ายังร้องว่า "หลวงพ่อเข้าไปในโพรงนั่นมาหรือ" แต่อาตมาไม่ตอบ

ตั้งแต่นั้นมา อาตมาจึงสอนการสวดพาหุงมหากาให้แก่ญาติโยมเป็นต้นมา เพราะอะไร เพราะพาหุงมหากานั้นเป็นบทสวดมนต์ที่มีค่าที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดา จากพญาวัสวดีมาร จากอาฬาวกะยักษ์ จากช้างนาฬาคิรี จากองคุลีมาล จากนางจิญจมาณวิกา จากสัจจะกะนิครนธ์ จากพญานันโทปนันทนาคราช และท่านท้าวผกาพรหม เป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ทรงได้มาด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดไว้เป็นประจำทุกวัน จะมีชัยชนะ มีความเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนาน มีสติ ระลึกได้ จะตายก็ไปสู่สคติภูมิ

ขอให้ญาติโยมสวดพาหุงมหากากันให้ทั่วหน้า นอกจากจะคุ้มตัวแล้ว ยังคุ้มครองครอบครัวได้ สวดมากๆ เข้า สวดกันทั้งประเทศ ก็ทำให้ประเทศมีแต่ความรุ่งเรือง พวกคนพาลสันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า

ไม่ใช่แต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้น ที่พบความมหัศจรรย์ของบทพาหุงมหากา แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็ทรงพบเช่นกัน โดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ว่าดังนี้

"เมื่อพระเจ้าตากสินมหราช ตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว ก็ทรงเห็นว่า สงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาและยืดยาว จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระยอดธงแบบอยุธยาขึ้น แล้วนิมนต์พระเถระทั้งหลายมาสวดบทพาหุงมหากาบรรจุไว้ในองค์พระ และพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตามพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ด้วยการเจริญพาหุงมหากา จึงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ"

สวดพาหุงมหากากันให้ได้ทุกบ้าน สวดให้ได้มากๆ จะมีแต่ความรุ่งเรือง สวดพาหุงมหากาก่อนแล้วจึงสวดชินบัญชร เพราะชินบัญชรนั้นเจ้าประคุณสมเด็จท่านใช้สวดบูชาพระอรหันต์ของท่าน ต้องสวดพาหุงมหากาก่อน แล้วจึงมาถึงชินบัญชร ให้จดจำกันเอาไว้นั่นแหละ เป็นมงคลในชีวิต

บทสวดมนต์ก่อนนอน ของหลวงพ่อจรัญ พาหุงฯ มหากา การสวดมนต์ตามแนวทางของหลวงพ่อจรัญนั้น คือ การบูชาพระรัตนตรัย แล้วตั้งนะโม ๓ จบ จากนั้นสวดไตรสรณคมน์ สวดพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วตามด้วยบทพาหุง มหากา จบด้วยการสวดอิติปิโส (พุทธคุณ) เท่าอายุ+๑ จบ

• ผลกรรมของหลวงพ่อจรัญ ที่ยกมาสอนในหนังสือกฎแห่งกรรม

เรียกได้ว่าสมัยเด็กของหลวงพ่อจรัญได้สร้างกรรมไว้มากมาย โดยไม่สนใจเรื่องบาปบุญคุณโทษซึ่งมีทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ โดยยกตัวอย่างดังนี้

• แอบกินอาหารถวายพระ
เมื่อครั้งหลวงพ่อจรัญยังเป็นเด็กชายจรัญ ท่านกับเพื่อนเคยร่วมกันกินอาหารของยายที่จะนำไปถวายพระ ๒ ครั้ง จนสุดท้ายยายจับได้จึงถูกตีอย่างหนัก ซึ่งยายสอนว่า อย่าทำแบบนี้ไม่เช่นนั้นจะเกิดเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม

•  รับจ้างต้มเต่า-ขโมยปลา
นอกจากนี้เด็กชายจรัญยังรับค่าจ้างจากวงเหล้าให้นำเต่าไปต้มจำนวน ๗ ตัว แต่เต่าพากันดิ้นด้วยความทุรนทุรายจนหม้อแตกและพยายามหนีเข้ากอไผ่ เด็กชายจรัญเห็นดังนั้นจึงวิ่งไปจับตัวมาต้มอีกแต่เกิดเปลี่ยนใจเพราะเห็นเต่าร้องไห้ ดังคำที่ว่า “ร้องไห้เป็นเผาเต่า” จนสุดท้ายต้องขโมยปลาตากแห้งของป้ามาให้วงเหล้าแทน

• ยิงนก-หักคอหักขานก
ในช่วงปิดเทอมตอนนั้นยังไม่รู้บาปบุญคุณโทษ ได้นำปืนไปตามทุ่งนาแล้วยิงนกเป็ด นกกระสา พอยิงได้ก็จะจับหักคอใส่ตะข้อง แต่พอถูกนกจิกใส่ก็โกรธจึงจับหักคอแล้วถลกหนังเลย บ้างก็จับหักขา

• โกงเงินค่าเรือข้ามฟาก-เงินค่าก๋วยเตี๋ยว
สมัยนั้นเด็กชายจรัญต้องนั่งเรือจ้างข้ามฟากเดือนละ ๒๕ สตางค์ แต่ก็โกงไม่ให้ค่าเรือ นอกจากนี้ยังเคยโกงเงินแม่ค้าไม่ให้ค่าก๋วยเตี๋ยวด้วย

หลังจากที่เด็กชายจรัญได้เข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ และได้กลับมาอุปสมบทจนกระทั่งมารักษาการเจ้าอาวาสที่วัดอัมพวัน เมื่อปี ๒๔๙๙ ก็เริ่มรู้ชดใช้กรรมที่เคยทำไว้ตามลำดับจากการนั่งสมาธิ โดยเริ่มจากชดใช้ค่าก๋วยเตี๋ยวด้วยการที่นางกลุ่มและสามีชื่อตากิ๊ม ที่เคยโกงเงินค่าก๋วยเตี๋ยวไว้ แต่พวกเขาไม่รู้ได้นำลูกชายมาฝากบวชที่วัดอัมพวัน เนื่องจากทั้งคู่ฝันพร้อมกันว่าหากอยากให้ลูกชายหายเกเรให้พามาบวชที่วัดนี้ ได้ฟังดังนั้นหลวงพ่อจรัญจึงได้รับไว้และโกนผมให้ ก่อนจะซื้อผ้าไตร ซื้อรองเท้า ซื้อเสื่ออ่อน ซื้อบาตร ซื้อร่ม ทั้งหมด ๒๐๐ บาท ก็ถือว่าหายกันกับค่าก๋วยเตี๋ยว

ต่อมาจากการที่หลวงพ่อจรัญนั่งเจริญภาวนาและอโหสิกรรม แผ่เมตตาเป็นประจำก็รู้ได้ว่าต้องชดใช้หนี้กรรมจากการต้มเต่า ซึ่งกรรมเหล่านี้ได้ลืมไปหมดแล้วแต่มีสติได้บอกว่า ให้ระวังพรุ่งนี้อย่าพาใครขึ้นรถไปด้วย เพราะจะทำให้ตายกันหมดเพราะรถคว่ำ ซึ่งผลสุดท้ายก็ไม่เอาใครไปเลยและได้ขับรถปิกอัพไปคนเดียวด้วยความเร็วขนาด ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประกอบกับช่วงเวลานั้นฝนตก พอมาถึงอ่างทองฝนก็หยุด แต่ถนนมันลื่น จนมาถึงตรงโค้งวัดคูรถที่มาด้วยความเร็วก็หมุนเลยและเสียหลักคว่ำ ๘ รอบศีรษะ ทำให้จีวรขาด รถพังยับเยินต้องทนปวดแสบปวดร้อนอยู่นานเป็นเดือน ถือเป็นการใช้หนี้เต่าแต่ยังไม่หมดเสียทีเดียว

จากนั้นหลวงพ่อจรัญก็เกิดนิมิตล่วงหน้าว่า ในวันที่ ๑๔ ตุลาคม อีก ๖ เดือนข้างหน้า ตนเองต้องคอหักตายอยู่โรงพยาบาลสิงห์บุรีแน่นอน จึงได้เตรียมการล่วงหน้าทั้งการบริจาคเงิน จัดแจงหน้าที่ภายในวัด เมื่อถึงวันจริงหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมเจ้าคณะหลวงพ่อจรัญก็ได้เดินทางกลับ เมื่อรถออกจากวัดเลี้ยวขวาเข้าลพบุรี บริเวณหลังตลาดปากบาง ได้มีรถยนต์ที่ขับตามหลังมา ๓ คัน แซงซ้ายรถทัวร์วิ่งเข้าชน ทำให้นาวาตรีที่นั่งมาด้วยกระเด็นตัวลอยไปอยู่บนรถทัวร์

ส่วนตัวหลวงพ่อจรัญ ไหล่ไปชนกับเหล็กจนหัก และถูกกระจกครูดเอาหนังหัวไปอยู่ตรงท้ายทอยจนหมด คอพับไปที่หน้าอก หมุนได้เลย เลือดเต็มจมูก แต่ยังโชคดีที่ยังมีมือที่ยังใช้การได้พยายามจับดูว่าคอหักหรือเปล่าเหมือนตายหมดแล้วทั้งตัว แต่ยังมีสติดีและรู้ว่าหายใจได้ทางท้องตรงสะดือ ก็พยายามยุบหนอ พองหนอ ตลอดทางที่ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลก็เหมือนได้ยินและเห็นเต่ามาซ้ำเติม และถูกน้ำจากฝาหม้อน้ำหลุดออกมาลวกตัวจนร้อนไปหมด
         
เมื่อถึงโรงพยาบาลหลวงพ่อจรัญก็ได้อธิษฐานว่าขอให้ข้าพเจ้าไปสบาย รู้แล้วเข้าใจแล้ว ขออโหสิกรรมทุกอย่างกับโลกมนุษย์ รวมทั้งพยายามตั้งจิตยุบหนอพองหน้า เป็นจังหวะเดียวกันกับที่บุรุษพยาบาลเข็นรถตกร่องประตูเหล็กทำให้กระดูกที่คอเข้าที่ แต่ก็ต้องมาชดใช้หนี้กรรมที่กินข้าวถวายพระเพราะต้องใส่เฝือกจนอ้าปากไม่ขึ้น กินอะไรไม่ได้ต้องใช้หลอดกาแฟหยอดอาหารแทน

• อาการอาพาธและกาลมรณภาพ

พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม) วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี เข้ารับการรักษาอาการอาพาธในโรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ด้วยอาการหอบเหนื่อยจากโรคปอดอักเสบ โดยคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะและออกซิเจน นั้น 

ต่อมาโรครุนแรงขึ้น แพทย์ได้ถวายการช่วยหายใจและถวายการรักษาประคับประคองระบบการหายใจและหลอดเลือดด้วยเครื่องพยุงการทำงานของหัวใจและปอด ถวายการรักษาทดแทนไต ระยะหลังอาการทรุดลง เริ่มมีเลือดออกผิดปกติจนต้องมีการถวายเลือดและเกล็ดเลือด จนในที่สุดการทำงานของอวัยวะต่างๆ ล้มเหลว ไม่สามารถถวายการรักษาประคับประคองได้ต่อไป พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมฺโม) ถึงแก่มรณภาพอย่างสงบ ในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๙ เวลา ๐๘.๓๗ น.

• ๑๐ คำสอนของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม

๑. "..ความดีเป็นศัตรูของชีวิต ความดีต้องมีอุปสรรค เขามาร้าย อย่าร้ายตอบ เขาไม่ดีมา จงใช้ความดีเข้าไปแก้ไข คนตระหนี่ ให้ของที่ต้องใจ คนพูดเหลวไหล เอาความจริงใจ ไปสนทนา.."

๒. "..จงอย่าหวั่นไหว จงทำใจให้ได้เมื่อมีทุกข์ คนที่ทำใจได้เพราะมีสติควบคุมใจได้ ถ้าผู้ใดเจริญสติวิปัสสนากรรมฐาน จิตมั่นคง ต้องช่วยตัวเองได้ ทำใจได้ จะไม่เสียใจ ไม่น้อยใจต่อบุคคลใด คนทำใจได้นั่นแหละ จะได้รับผลดี มีสติเป็นอาวุธของตนตลอดไป.."

๓. "..คนโบราณท่านมีคติดี เวลาไปไหนมาไหนต้อง ๑.นิ่งได้ ๒.ทนได้ ๓.รอได้ ๔.ช้าได้ ๕.ดีได้ คนสมัยนี้นิ่งไม่ได้ ปากไม่ดี ทนไม่ได้ อยู่ไม่ได้อีก รอก็ไม่ได้ ช้าก็ไม่ได้ จึงเอาดีกันไม่ค่อยจะได้ ในยุคสมัยใหม่ปัจจุบันนี้ สิ่งเหล่านี้มีความหมายมาก แต่ทุกคนไม่เคยคิด.."

๔. "..ใครตั้งใจ “ทำดี” อย่าไปกังวลเรื่อง “ปากคน” เพราะต่อให้เรา “ดี” ขนาดไหน หากไม่ถูก “กิเลส” เขา เขาก็ไม่ชอบ ไม่เข้าใจ เขาก็ตำหนิ ดังนั้น ดี-ชั่ว ไม่ได้อยู่ที่เขาว่าเรา แต่อยู่ที่เราเองทั้งหมด เรารู้เราเองก็เพียงพอแล้ว.."

๕. "..ชาวพุทธแท้ๆ ควรจะได้ดีมีสุขจากการนับถือศาสนาพุทธ โดยแก้ปัญหาที่เกิดด้วยอริยสัจ 4 ทุกข์เกิดแล้วหาสาเหตุของทุกข์ด้วยการกำหนดทุกข์หนอ มันทุกข์ตรงไหนหนอ บำเพ็ญจิตภาวนา สมาธิ ปัญญาจะบอกทุกข์เกิดขึ้นตรงนั้น ต้องแก้ตรงนั้น อย่าไปแก้ผิดจุด อย่าไปให้ผีให้เจ้ามาแก้ หรือเอาหมอดูมาแก้ มันไม่ถูกเรื่อง.."

๖. "..ความอดทนเป็นสมบัติของนักต่อสู้ ความรู้เป็นสมบัติของนักปราชญ์ ความสามารถเป็นของนักประกอบกิจ ความสามารถทุกชนิดเป็นสมบัติของผู้ดี.."

๗. "..วันไหนโยมถูกด่ามากวันนั้นเป็นมงคล วันไหนโดยถูกป้อยอเขาจะล้วงไส้เราโดยไม่รู้ตัว หลงเชื่อเราจะประมาท จะเสียท่าเสียทีต่อมารร้าย และที่เขามาป้อยอกับเรา ระวังให้ดี เขาไม่ได้รักเราจริง.."

๘. "..สร้างบุญใช้สติ ไม่ต้องใช้สตางค์ พวกเราหาแต่สตางค์ ไม่หาสติกันเลย.."

๙. "..คนเราจะทำอะไรได้ก็ช่วงมีชีวิตอยู่เท่านั้นเมื่อตายแล้วไม่สามารถจะทำความดีหรือความชั่วได้เลยฉะนั้นในช่วงที่มีชีวิตอยู่ควรที่จะทำความดีใช้ชีวิตให้เป็นสาระ จะต้องต่อสู้กับความไม่ดีงามทั้งหลายที่มีอยู่รอบตัวเรา.."

๑๐. "..จงพอใจในชีวิตของตัวเอง โดยมิต้องไปเปรียบเทียบชีวิตของผู้อื่น.." (ข้อความสุดท้ายใน ส.ค.ส.๒๕๕๙ ที่หลวงพ่อจรัญ เขียนไว้ก่อนละสังขาร)

แม้วันนี้หลวงพ่อจรัญจะละสังขารไปแล้วแต่ทุกคำสอนของท่านยังมีคุณค่าและเป็นจริงเสมอ

• ขอเชิญร่วมบุญสร้างพระเจดีย์ธรรมสิงหบุราจารย์

ที่มาของการสร้างเจดีย์นั้น ได้มาจากการปรารภของพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคยพูดคุยกับพระครูวินัยธรวรพงษ์ (เลขาฯ) ตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ และได้มีการร่างแบบและกำหนดสถานที่ก่อสร้างเจดีย์ โดยผ่านความเห็นชอบจากหลวงพ่อมาแล้ว ลักษณะของพระเจดีย์ฯ ได้แรงบันดาลใจจากเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล

ชั้นล่างเป็นห้องโถงกว้างใหญ่ที่พระภิกษุสงฆ์และพุทธบริษัทสามารถใช้ปฎิบัติศาสนกิจต่างๆ ชั้นที่ ๒ เพื่อบรรจุพระสรีระสังขารรวมทั้งอัฐบริขารต่างๆของหลวงพ่อ ส่วนชั้น ๓ หรือชั้นบนสุด เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากนั้นที่ฐานโดยรอบชั้นล่างของพระเจดีย์ยังสามารถใช้เพื่อการเวียนเทียนประทักษิณ


_/\_ _/\_ _/\_

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...