21 มกราคม 2564

ยานอวกาศข้ามดวงดาว และ แกแลคซี่ ของเราชาว อาร์ตทอเรื่ยน?....

เพื่อเป็นการตอบสนองความอยากได้ใคร่รู้ ใคร่ศึกษาชีวิตของชาวต่างดาวของพวกเราชาวจิตอาสาแสงสว่าง พ่อจึงจะนำความเป็นอยู่ และ การใช้ชีวิตของชาวดาว อาร์ตทอเรี่ยน
หนึ่งในแกนนำที่สำคัญ ที่มาช่วยเหลือชาวโลกในการเลื่อนระดับสู่มิติที่ 5 พร้อมทั้งยาน
อวกาศของพวกเขา

ที่มีความมหัศจรรย์ และ โดดเด่นเป็นอย่างมาก ซึ่งพ่อได้เก็บไว้ในในบันทึกไดอารี่ส่วนตัว
และ ยินดีที่จะนำมาเผยแพร่เพื่อให้ทราบถึงวีรกรรมของพวกเขาในบทอื่นๆ อีกต่อไป....

ยานอวกาศของชาวอาร์ตทอเรี่ยน ของพวกเขาเป็นเครื่องจักรยนต์ที่มีความปราณีต มีโครงสร้างเป็นเหมือนเครื่องจักร์ + สิ่งมีชีวิต หรือ กึ่งมีชีวิต จิตใจ ตัดสินใจเองได้ แปรเปลี่ยนรูปร่างได้ทุกรูปแบบ โดยใช้พลังงานขับเคลื่อนที่ไม่ได้มาจากผลึกคริสตัลจากดวง
ดาวของโลก แต่ได้มาจากดวงดาวอื่นในระบบทางชัางเผือกของเรานี่เอง

ซึ่งนวัตกรรมนี้ชาวโลกยังไม่รู้ทั้งวิธีการแสวงหา - หรือสร้างมันขึ้นมาได้ พลังงานนั้นนำมา
จากดวงอาทิตย์ที่อยู่ใจกลางแกแลคซี่ของเรา (ยุคสมัยโบราณชาวแอตแลนติสเรียกมันว่า อัลซิโอน หรือ อัลซีวัณ - ทางพระเวทเรียกว่า - บรามัน หรือ พระผู้สร้าง พระพรหม)

ชาวอาร์ตทอเรี่ยนปราศจากการใช้คอมพิวเตอร์ เพราะพวกเขาก้าวหน้าเกินจุดนี้ของเรา
ไปแล้ว ในมุมหนึ่งของยานยักษ์ลำนี้ จะมีลักษณะและสิ่งแวดล้อมเหมือนบ้านบนดาวของเขา และ ยานลำนี้มีขนาดกว้างใหญ่กว่า 2,000 ตารางกิโลเมตร

พวกเขาสามารถส่งกายทิพย์ของลูกเรือกลับบ้านหรือดาวของเขาได้ด้วย 
ชาวอาร์ทอเรี่ยนไม่เคยนอนหลับ ไม่ต้องทานอาหาร แต่ย่อยพลังงานที่จะใช้ได้ พวกเขา
จะงีบหลับแค่เล็กน้อยในช่วงเวลา 1 อาทิตย์เท่านั้น แต่มันสำคัญยิ่งเพราะเป็นเวลาที่จิต
วิญญาณของพวกเขาได้เข้าสู่ดินแดนของวิญญาณในระดับมิติทางกายภาพความตระหนักรู้ที่สูงกว่าเดิม

บนยานอวกาศของพวกเขาจะมีข้อมูลทุกด้านของชีวิตบนโลกเรา ยานที่เราเห็นบินว่อนไป
มาส่วนหนึ่งก็คือยานของพวกเขาเพื่อภารกิจที่จำเป็นในการป้องกันและรักษาความปลอด
ภัยให้แก่โลกในภัยที่เราชาวโลกไม่สามารถป้องกันตัวเองได้

พวกเขาจะสามารถรับและย่อยข้อมูลไว้ในตัว โดยผ่านทางโทรจิตและระบบประสาทของพวกเขา คล้ายๆ กับการย่อยอาหาร - แต่เป็นรูปแบบการย่อยพลังงาน - การเรียนรู้แบบนี้
เร็วกว่าระบบประสาทของมนุษย์กว่า 100 เท่าตัว แต่มนุษย์ก็สามารถเรียนรู้ได้หากเรามี
ความตระหนักรู้เท่าเทียมกับเขา

ยานอวกาศของพวกเขาจะสามารถวิ่งทะลุเวลา (travel through time) หรือ "warp" 
วาร์ปได้ แล้วยังมียานขนาดเล็กที่ใช้ลาดตระเวณ เป็นทรงกลม ทำหน้าที่แก้ไข - กระตุ้น
จุด - เส้นพลังงานของโลก grid ที่เรียกว่า grid พลังงาน หรือ (ตระแกรง) - (ความสับสน
ของพลังงาน เช่น การที่มีรถติดมากๆ ก็จะก่อผลสะสมพลังงานด้านลบลงไปในดิน สะสม
พลังงานที่ยุ่งเหยิงไว้ และ จะคายพลังงานออกมาในรูปแบบของภัยธรรมชาติ เช่น พายุ
โชนร้อนที่ผ่านเราไปในเร็วๆ นี้นั่นแหละ

เมื่อยานอวกาศของเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด ภายในยานจะถูกอัดแน่นด้วยแรงดึง
ดูดที่สูงมาก เพื่อ ลดนํ้าหนักถ่วงเปรียบเหมือนเด็กที่อยู่ในครรภ์มารดา เมื่อยานเคลื่อนที่
ด้วยความเร็วเหนือแสง พวกเขาจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับยานท่องอวกาศของเขา
ด้วยการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันนี้เองพวกเขาจึงอยู่ได้โดยไม่รู้สึกถึงแรงกดอวกาศซึ่งมนุษย์
อย่างเราไม่สามารถทนแรงกดอันมหาศาลนี้ได้เพราะร่างกายของพวกเขาจะมีสภาพเหมือนหรือคล้ายกับพลังงานของจิตเท่านั้น

ยานอวกาศของพวกเขาจะมีสภาพคล้ายกึ่งพลังงาน และ สามารถที่จะแล่นผ่านหลุมดำ
ไปยังอีกด้านหนึ่งโดยไม่ได้รับอันตรายต่อแรงโน้มถ่วงที่สูงมหาศาลแต่อย่างใดภายใน
หลุมดำนั้นเลย และ อีกด้านหนึ่งของหลุมดำคือหลุมขาวเป็นทางลัด หรือ ประตูมิติโดย
ธรรมชาติ 

ยานอวกาศของเขาสามารถนำจิตวิญญาณของพวกเขาในขณะที่หลับมาจากดวงดาวนั้น
มาช่วยดูแลชาวโลกมนุษย์ ในการยกระดับจิตมนุษย์เพื่อให้เข้าสู่มิติความตระหนักรู้ใน
มิติที่ 4 และ 5 ต่อไป ให้เป็นข้อสังเกตุไว้ คุรุผู้นำจิตวิญญาณที่แท้จริงจะไม่เรียกร้องเงิน
ทองหรือสินนํ้าใจแต่อย่างใดทั้งสิ้น

แต่ทั้งนี้โดยไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ทางเลือกเสรีของมนุษย์แต่ประการใดแต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่
วิวัฒนาการความตระหนักรู้ของมนุษย์คนนั้นๆ เป็นสำคัญนั่นเอง

ตรงกันข้ามกับพวกรูปธรรมพลังงานฝ่ายมืดที่แฝงตัว และ แอบอ้างว่าตัวเองคือผู้ปลดปล่อยที่จะนำมนุษย์มารับใช้พวกตัวเองและมาเป็นทาสรับใช้โดยพวกเราไม่รู้สึกตัว
แต่ประการใด และ ขอบอกกับผู้ที่รับใช้พลังงานมืดทั้งหลายแหล่ว่า หมดเวลาแล้วที่จะมา
เสวยสุขในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว เพราะเรามีมาตรการที่จะจัดการกับพวกท่านในเวลาไม่นานนับจากนี้ไป....


ที่มา
Tr1S Oranger...

แสงสว่าง มองการไกล....ผู้เรียบเรียง....

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...