พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องการอุบัติขึ้นมาของสรรพสิ่งในโลก และวิวัฒนาการของสัตว์มนุษย์ เมื่อถึงยุคโลกนี้พินาศ สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม
..เมื่อโลกอุบัติขึ้นมาใหม่ สัตว์เหล่านั้นก็จุติมาสู่โลกนี้ (เกิดขึ้นจากใจ) กินปีติเป็นอาหาร มีแสงสว่างในตัว ล่องลอยในอากาศ ทั้งจักรวาล มีแต่น้ำ มีแต่ความมืด ไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ไม่มีดาวนักษัตรทุกชนิด ไม่มีกลางวันและกลางคืน ไม่มี เดือน ปี ไม่ปรากฏเพศชาย และเพศหญิง
....เมื่อเวลาผ่านพ้นนานไปๆๆ มีวัฒนาการไปเรื่อยๆ ท้ายสุด มีเพศหญิง -เพศชาย มีลูก สร้างบ้านเรือน เพาะปลูก แบ่งเขตแดน มีการขโมย ทำร้ายกัน
.....กลุ่มคน จึงเลือกคนที่ดี น่าเกรงขาม แต่งตั้งเป็นหัวหน้า เพื่อปกครองกลุ่มชนให้ร่มเย็น เรียก “มหาชนสมมติ “หรือ “กษัตริย์ “(ผู้ใหญ่ยิ่งแห่งเขต) หรือ “ ราชา “(ยังชนอื่นให้สุขใจโดยธรรม) ดังนั้น”กษัตริย์” แรกเริ่ม จึงเกิดขึ้นโดยธรรม
... พระมหากษัตริย์จึงอยู่ในสถานะผู้นำสูงสุด นำประชาชน สร้างบ้านเมือง ขยายอาณาเขตแว่นแคว้น สร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคง ปกป้องดินแดน ประชาราษฎร์จากศัตรู เป็นเช่นนี้เรื่อยมา
.. การที่บุคคลใด จะก้าวขึ้นมาเป็นประมุขสูงสุด ย่อมต้องมีอำนาจ วาสนา บารมี สะสมมามาก เป็น บุคคลที่ได้บำเพ็ญคุณธรรมความดี จนไปบังเกิดเป็น”เทพ” แล้วจึงจุติมาบังเกิดเป็นกษัตริย์ เรียก “สมมุติเทพ”
//การขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ //
ตาม(ตำราปัญจราชาภิเษก) มี ๕ ประการ
๑ . *อินทราภิเษก คือ พระอินทร์มาถวายตำแหน่งกษัตริย์ให้
.. พระอินทร์ทรงเอาเครื่องปัญจกกุธภัณฑ์ทั้ง๕ มาถวาย เสี่ยงบุษยพระพิไชยราชรถ มาจรดฝ่าพระบาท มีฉัตรทิพย มากางกั้น
๒. *โภคาภิเษก คือ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เพราะมีทรัพย์สมบัติ บริวาร มาก มีชาติตระกูล รุ่งเรือง
๓. * ปราบดาภิเษก คือ เป็นพระเจ้าแผ่นดินจากการใช้กำลัง
.. บุคคลนั้น มีฤทธิอำนาจ รบชนะข้าศึก ต้องการรวบรวมผู้คน สร้างบ้านเมือง เป็นปึกแผ่น
๔. * ราชาภิเษก คือ การครองราชย์ด้วยการสืบเชื้อสาย
...เป็นสวัสดิเชื้อชาติเนื้อพระวงศ์ ทรงพิภพตามสันดานพระราชวงศา
๕.* อุภิเษก คือ การเป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วยการวิวาห์
.. เอาตระกูลชาติเสมอกัน จะมาจากแดนใกล้ แดนไกล มากระทำมงคลวิวาห์
... สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อยู่ในลักษณะกษัตริย์ “ปราบดาภิเษก” จากการรวบรวมไพร่พลไปตีเอาทัพพม่า ได้สำเร็จ และปราบดาภิเษกเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
**..ดังนั้น..ฐานบุญ วาสนาบารมีเดิม ของพระมหากษัตริย์ ทุกๆพระองค์ ล้วนสร้างสะสมมามาก..จึงขึ้นมาเป็นผู้นำมหาชนได้ ส่วนในชาติปัจจุบัน พระองค์จะสร้าง หรือ เสวย บุญบารมีอันไหนมากกว่ากัน นั่นคือ คืกรรมในปัจจุบัน ที่จะส่งผลในอนาคตต่อไป..
**.เราในฐานะพุทธมามกะ ย่อมเชื่อในกรรม ย่อมเคารพในบุญบารมี ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างสะสมมา การไปกระทำ กล่าวร้าย ชิงชัง ย่อมเป็น อกุศลกรรม ที่เกิดขึ้นทาง กาย วาจา ใจ ผลของกรรมย่อมส่งผลให้ผู้นั้น ต้องประสพวิบากกรรมไม่ดี ตามเหตุปัจจัย ตามกฎแห่งกรรม นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น