ในจิตที่เราว่างจากความคิดว่างจากอุปาทานเป็นอย่างไร ไอ้ความคิดที่มีความอยาก..อยากจะประพฤติปฏิบัติ อยากจะต้องการหลุดพ้น อยากจะทำความดี อยากจะช่วยเหลือใครๆเหล่านี้ สิ่งความอยากตรงนี้มันไม่ใช่กิเลส มันเป็นเพียงความอยากที่ไปในทางเดินแห่งมรรค อย่างนี้เค้าเรียกว่าความอยากของอริยชน ผู้ที่จะก้าวล่วงการพ้นทุกข์ในคราวต่อไป..
แต่ว่ากิเลสที่มีความอยากที่เป็นกิเลสนั้น คือความอยากทะยานให้จิตนั้นมันฟุ้งซ่านรำคาญใจ ทำจิตให้ฟุ้งซ่าน ทำจิตให้วุ่นวาย อย่างนี้เรียกว่ากิเลส ทำจิตให้มันโลภ ทำจิตให้โกรธ ทำจิตให้หลง..อย่างนี้เรียกกิเลส ถ้าจิตปราศจากสิ่งเหล่านี้ แต่มีความปรารถนาอยากพ้นทุกข์ อยากประพฤติปฏิบัติ อยากอบรมบ่มจิต อยากจะแก้ไขตนให้พ้น รู้เท่าทันกิเลส แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะกิเลสได้ เหล่านี้แลเค้าเรียกเป็นผู้มีญาณทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
นั้นคนประพฤติปฏิบัติธรรมมาแล้วไม่ว่าจะกี่ภพกี่ชาติแล้วเมื่อสะสมมา เค้าจึงบอกว่าอย่าไปประมาทหรือปรามาสผู้ทรงญาณผู้ทรงสมาธิ เราไม่ได้รู้เลยว่าเค้ามีญาณอะไรมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นคำว่าญาณคือการล่วงรู้ในความเบื่อหน่ายแห่งการเกิด ความล่วงรู้ในสิ่งทั้งปวง แต่เรายังไม่สามารถจะออกจากสิ่งนั้นได้ เค้าเรียกว่ารู้..แต่ว่าเวลามันยังไม่ถึง
นั่นก็หมายถึงว่าเป็นเพราะอำนาจแห่งกรรมที่ไม่มีใครสามารถจะหลีกเลี่ยงได้ และฝ่าฝืนได้ คือจะต้องชดใช้ คือต้องสนองในกรรมนั้นก่อน แม้ว่าจะเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีบารมี พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ถึงเวลาที่จะต้องชดใช้กรรมก็ต้องเสวยในกรรมนั้น หาว่าจะได้หลีกเลี่ยงได้..ไม่มี
ดังนั้นผู้มีญาณก็คือรู้ว่าการเกิดมาเป็นทุกข์..นี่คือตัวรู้ รู้ว่าสิ่งที่ทำไปแล้วมันจะให้ผลอย่างไร..นี่เป็นผู้มีญาณทั้งนั้น แต่ทำไมเมื่อรู้อย่างนั้นแต่ก็ยังทำ..เพราะอำนาจแห่งกรรมโดยแท้ เมื่อเรารู้แต่ไม่สามารถที่จะข้ามกรรมนั้นได้ ก็เพราะเหตุว่าเรานั้นยังไม่รู้โทษรู้คุณมันอย่างแท้จริง
ถ้าเรารู้โทษรู้คุณมันอย่างแท้จริงแล้ว ไอ้คำว่ารู้แล้ว..เราจะไม่สงสัยในตัวรู้นั้น เมื่อไม่สงสัยข้ามตัวรู้ไปได้นี่แลเค้าเรียกตัวปัญญา ตัววิมุติมันก็แจ้งมันก็เกิด เมื่อมันแจ้งกับจิตแล้ว ความลังเลสงสัยใดๆที่เรานั้นจะสงสัยก็จักไม่มีอีกต่อไป ในการที่เราจะประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึงทาน ศีล ภาวนา ว่าการอบรมบ่มจิตให้รู้จักการสละรู้จักการให้นั้นมีอานิสงส์อย่างไร
ทำจิตให้ตั้งมั่นเบิกบานผ่องใสเพื่อเข้าถึงศีลนั้นมันเป็นอย่างไร ด้วยการเจริญภาวนาและอบรมบ่มจิต ให้เกิดปัญญาตัวรู้รอบแล้วในกองสังขารในกองทุกข์มันเป็นอย่างไร อย่างนี้เค้าเรียกว่าเป็นผู้มีญาณ เหมือนที่โยมมาประพฤติปฏิบัติธรรมก็หวังว่าจักได้วิชาก็ดี จักสะสมบารมี ผู้ที่อยากประพฤติปฏิบัติเหล่านี้เป็นผู้มีญาณทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ
คือไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจว่าไอ้ตัวญาณเป็นอย่างไร ญาณคือตัวหยั่งรู้..หยั่งรู้การเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ยังไม่สามารถออกไปได้ แต่ก็รู้ เช่นเห็นคนทุกอย่างเป็นทุกข์ ก็อยากปรารถนาจะช่วยเหลือเค้า คือการสงเคราะห์โลก สงเคราะห์สัตว์ อย่างนี้แลเรียกว่าเป็นผู้มีญาณ เห็นภัยในวัฏฏะ
แต่ว่ามนุษย์ผู้ใดก็ตามเมื่อยังไม่ถึงวาระกรรมบารมีเต็ม ยังไงก็ต้องเสวยวิบากกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ผู้ที่มีญาณที่ล่วงรู้แล้วนี่แล หากกรรมมันจะหนักมันก็จะเป็นเบา เพราะเป็นผู้ที่มีตัวรู้คือยังมีสติกำหนดรู้ได้ คือจะไม่ทำอะไรที่เป็นกรรมนั้นหนักจนเกินไปอย่างนี้
นั้นการฝึกญาณให้หยั่งรู้ก็คือ..หยั่งรู้ในกายนี้ว่ากายนี้เป็นทุกข์เพียงใด การเกิดเป็นทุกข์เพียงใด เมื่อเรามีญาณอย่างแท้จริง ญาณของเรานั้นมันเข้มแข็งแล้ว การจะละในกายก็ดี ละความเพลิดเพลินพอใจก็ดี เหล่านี้มันจะเหลือน้อยลง นั่นก็หมายถึงว่าการเข้าถึงจิตวิญญาณอย่างแท้จริง..
ยิ่งเราลดปัจจัยในการที่ครองเรือนให้เหลือน้อย อยู่ในปัจจัย ๔ แล้วไซร้ สุขมันก็มีมาก ทุกข์มันก็เหลือน้อย นั่นก็คือภาระหน้าที่ที่เราจะต้องรับผิดชอบ ปัจจัย ๔ มีอะไรบ้าง ที่อยู่อาศัยนี่ใช่ปัจจัย ๔ มั้ย เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค อาหาร น้ำนี่ถือเป็นอาหารมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เป็นค่ะ) เหล่านี้..
แต่เมื่อผู้มีญาณแล้วเมื่อไม่ข้องติดกับสิ่งใด ก็แค่จะเหลือแต่อาหารที่จะหล่อเลี้ยงกายสังขาร ก็เรียกว่าเค้าจะละลงไปลงไป แต่ผู้ที่ข้องอยู่อยู่ในโลกนี้ก็ย่อมเป็นทุกข์เป็นธรรมดา เมื่อรู้ว่าโลกนี้เป็นทุกข์เพียงใดแล้วนั่นแลเค้าถึงจะละออก เค้าเรียกว่าถือเพศพรหมจรรย์ก็ดี
แล้วถามว่าการถือเพศพรหมจรรย์นี้มีคุณมีสมบัติมีประโยชน์อย่างไร ก็เมื่อโยมมีความเชื่อมั่นศรัทธาในทางเดินแห่งมรรค ทางเดินของโยมนั้น..อุปสรรคมันก็น้อย แต่ถ้าโยมยังครองเรือนอยู่มันก็เป็นธรรมดา..อุปสรรคมันก็มาก นั้นศีลที่เราจะอยู่ด้วยกันนั้นมันก็ต้องมีความเสมอภาคกัน เมื่อเสมอภาคกันแล้ว..ทานในการให้มันก็ต้องทำมาพอๆกัน ศรัทธามันก็ไปในทางเดียวกัน ในความคิดมันก็ต้องไปในทางเดียวกัน
คำว่าไปทางเดียวกันเสมอกัน..คือไปในทางเหมือนๆกัน คล้ายๆกันนั่นแล ดังนั้นแล้วถ้าทางใดเราหาแบบนั้นไม่ได้ ขอให้เราเลือกเดินคนเดียวไปคนเดียวโดยลำพัง เพราะเมื่อถึงเวลาแล้วเราเกิดมาผู้เดียวเราก็ต้องตายผู้เดียว อย่างที่ฉันบอกเมื่อเรานั้นช่วยเหลือตัวเองได้ เราจะย้อนกลับไปช่วยใครก็ยังได้ แต่ถ้าเรายังช่วยตัวเองไม่ได้..แม้คนที่จะให้เราช่วยอยู่ตรงหน้าเรา เราก็ช่วยอะไรเค้าไม่ได้
แม้โยมจะมีคุณวิเศษมีตาทิพย์ญาณทิพย์อะไรก็ตาม..ว่าไอ้บุคคลนี้อีกไม่นานเค้าต้องมีวาระกรรมที่มาพิพากษา เกิดอุบัติเหตุแห่งกรรมก็ดี แต่ถึงแม้โยมรู้แต่ก็ช่วยเค้าไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าอาจจะตายต่อหน้าเราก็ได้ มีอยู่หนึ่งอย่างที่ว่าเราจะช่วยเค้าได้ ก็คือเมื่อรู้ว่าวาระกรรมเค้าจะมาถึงให้เราแผ่เมตตาให้เค้าเสีย เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่เป็นสิ่งที่เราช่วยได้
ถ้าโยมไปบอกเค้าว่าเค้าจะต้องเจอเหตุการณ์อย่างนี้ กรรมเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่มีใครฟังใครได้ เพราะกรรมมีอำนาจเหนือกว่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ เราก็ไม่สามารถรับแทนเค้าได้ ถ้าฟ้าผ่ามาตรงนั้นพร้อมกัน หากเราไม่มีกรรมเกี่ยวพันกับเค้า เราก็ไม่มีที่จะต้องไปมีอุบัติเหตุกรรมกับเค้าได้ แต่ถ้าเราเคยร่วมกรรมกันมา..ยังไงมันก็ต้องดึงให้เรานั้นไปรับเสวยกรรมเหมือนกับเค้า
ดังนั้นแล้วการเป็นผู้ที่รู้และมีญาณหยั่งรู้มันก็ดีอย่างหนึ่ง คืออย่างน้อยให้ช่วยเหลือตัวเองให้พ้นจากทุกข์นั่นเอง เมื่อเรามีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เราก็จะขวนขวายพากเพียรในการปฏิบัติ แล้วไม่มีการยี่หร่ะย่อท้อในการประพฤติปฏิบัติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น