เพราะมันเป็น “สิ่งสมมุติ”
เพราะชีวิตมันไม่มีจริง มันเป็นเพียง..
“การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ”
จงทำหน้าที่ให้ดี โดยไม่มีความทุกข์
ให้สงบ เย็น และ เป็นประโยชน์
เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้อง...
คืนให้ “กลับสู่ธรรมชาติ” ดังเดิม
แม้แต่ร่างกายที่เราเฝ้าดูแลก็ตาม”
.
#พุทธทาสภิกขุ
--------------------------------
.
ความจริงแท้ของสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิต”
.
“ ชีวิตประกอบด้วยขันธ์ ๕ เท่านั้น
ไม่มีสิ่งใดอื่นอีก นอกเหนือจากขันธ์ ๕
ไม่ว่าจะแฝงอยู่ในขันธ์ ๕
หรือ อยู่ต่างหากจากขันธ์ ๕
ที่จะมาเป็นเจ้าของ หรือ
ควบคุมขันธ์ ๕ ให้ชีวิตดำเนินไป
ดังนั้น ในการพิจารณาเรื่องชีวิต
เมื่อยกเอา ขันธ์ ๕ ขึ้นเป็นตัวตั้งแล้ว
ก็เป็นอันครบถ้วนเพียงพอ
.
ขันธ์ ๕ เป็นกระบวนการที่ดำเนินไปตามกฎแห่ง “ปฏิจจสมุปบาท” คือ มีอยู่ในรูปกระแสแห่งปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์เนื่องอาศัยสืบต่อกัน ไม่มีส่วนใดในกระแสคงที่อยู่ได้ มีแต่การเกิดขึ้นแล้วสลายตัวไป พร้อมกับที่เป็นปัจจัยให้มีการเกิดขึ้นแล้วสลายตัวต่อๆ ไปอีก ส่วนต่างๆสัมพันธ์กัน เนื่องอาศัยกัน เป็นปัจจัยแก่กัน จึงทำให้กระแสหรือกระบวนการนี้ดำเนินไปอย่างมีเหตุผลสัมพันธ์ และคุมเป็นรูปร่างต่อเนื่องกัน
…. ในภาวะเช่นนี้ ขันธ์ ๕ หรือ ชีวิต จึงเป็นไปตามกฎแห่ง “ไตรลักษณ์” คือ อยู่ในภาวะแห่ง..
“อนิจจตา” ไม่เที่ยง ไม่คงที่ เกิดดับเสื่อมสลายอยู่ตลอดเวลา
“อนัตตตา” ไม่มีส่วนใดที่มีตัวตนแท้จริง และไม่อาจยึดถือเอาเป็นตัว จะเข้ายึดครองเป็นเจ้าของบังคับบัญชาให้เป็นไปตามความปรารถนาของตนจริงจังไม่ได้
“ทุกขตา” ถูกบีบคั้นด้วยการเกิดขึ้นและสลายตัวอยู่ทุกขณะ และพร้อมที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ได้เสมอ ในกรณีที่มีการเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความไม่รู้(อวิชชา) และยึดติดถือมั่น
…. กระบวนการแห่งขันธ์ ๕ หรือ ชีวิต ซึ่งดำเนินไปพร้อมด้วยการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดทุกขณะ โดยไม่มีส่วนที่เป็นตัวเป็นตนคงที่อยู่นี้ ย่อมเป็นไปตามกระแสแห่ง เหตุ-ปัจจัย ที่สัมพันธ์แก่กันล้วนๆ ตามวิถีทางแห่งธรรมชาติของมัน”
.
#สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : จากหนังสือ “#พุทธธรรม ฉบับเดิม”
------------------------------------------
.
“ลักษณะสามัญของสิ่งทั้งปวง”
.
“สิ่งทั้งหลาย
เป็น “อนิจจัง” ไม่เที่ยง ไม่คงที่ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา,
เป็น “ทุกขัง” คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
และเป็น “อนัตตา” ไม่เป็นตัวเป็นตนของใคร ที่จะไปสั่งบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาได้ เราจะไปยึดถือครอบครองมันจริงไม่ได้ เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน หรือดำรงอยู่ตามสภาวะของมัน
.
สิ่งทั้งหลายที่เรายึดถือเป็น“ตัวตน” ในบัดนี้ ก็คือ ภาพปรากฏของ..เหตุ-ปัจจัย..ที่เป็นไปตามกระบวนการของมัน
เมื่อเหตุปัจจัยมาสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ ก็แสดงผลเป็นปรากฏการณ์ที่เราเรียก “เป็นตัว เป็นตน” แต่แท้จริงแล้วตัวตนอย่างนั้นไม่มี มีแต่เพียงภาพปรากฏชั่วคราว ส่วนตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือ #กระบวนการแห่งความสัมพันธ์กันของสิ่งทั้งหลายที่คืบเคลื่อนไปเรื่อยๆ เมื่อเหตุปัจจัยเหล่านี้สัมพันธ์กัน แล้วคืบเคลื่อนต่อไป ภาพ “ตัวตน” ที่ปรากฏนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น ตัวตนที่แท้ ที่ยั่งยืน ตายตัว ที่จะยึดถือครอบครองบังคับบัญชาอะไรๆได้จึงไม่มี (คำว่า “อัตตา” ก็คือ ตัวตนที่เที่ยงแท้ยั่งยืนตายตัวตลอดไป) มัน(อัตตา)ไม่มี เพราะมีแต่ภาพรวมของปรากฏการณ์ที่เกิดจากความสัมพันธ์ของสิ่งทั้งหลายในกระบวนการของมัน เรียกว่าเป็นเพียง “สภาวธรรม” ไม่เป็นตัวตนของใคร...
.
นี่คือ ความเป็นจริงของกฎธรรมชาติ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเรื่อง “ไตรลักษณ์” ขึ้นไว้เป็นหลักที่เด่นว่า...
สิ่งทั้งหลายนี้
“อนิจฺจํ” ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับหาย มีความเปลี่ยนแปลง
“ทุกฺขํ” คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อยู่ในภาวะขัดแย้ง ถ้าคนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความอยาก มันก็ฝืนความปรารถนา แล้วก็..
“อนตฺตา” ไม่เป็นตัวตนของใครได้ ใครจะยึดถือครอบครองสั่งบังคับไม่ได้ เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน หรือดำรงอยู่ตามสภาวะของมัน”
.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมนิพนธ์เรื่อง “แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา” หัวข้อ "ความจริงมีอยู่ตามธรรมดา"
---------------------------------
.
“ยกเว้นพระโลกนาถเจ้าเสีย สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่งที่มีอยู่ สัตว์นั้นว่าโดยปัญญาย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งพระสารีบุตรพระอัครสาวกที่หนึ่งได้
มีปัญญามากถึงอย่างนี้ ยังถึงซึ่งอำนาจแห่งความตาย
จะป่วยกล่าวไปไยในคนทั้งหลายเช่นเราเล่า.
.
แม้พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงปกครองแผ่นดินทั้งสิ้น ทรงสละพระราชทรัพย์ตั้งร้อยโกฏิ ทรงเป็นผู้มีความสุขในบั้นปลาย ถึงความเป็นใหญ่แห่งวัตถุเพียงผลมะขามป้อมครึ่งผลด้วยทั้งเรือนร่างนั้นแล แม้เมื่อท้าวเธอทรงสิ้นบุญแล้ว พระองค์ก็ทรงบ่ายพระพักตร์ต่อมรณะ ก็ต้องมาถึงซึ่งความโศกเศร้า
จะป่วยกล่าวไปไยในคนทั้งหลายเช่นเราเล่า.
.
ท่านผู้มียศใหญ่ทั้งหลาย เป็นท้าวพญาผู้ประเสริฐ เช่น ท้าวมหาสมมติ(มหากษัตริย์) เป็นต้น แม้ท่านเหล่านั้นยังถึงซึ่งอำนาจแห่งความตาย
จะป่วยกล่าวไปไยในคนทั้งหลายเช่นเราเล่า"
.
ที่มา : #คัมภีร์วิสุทธิมรรค
---------------------------
.
ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้
…. คิดให้เห็นชัดในขณะนั้นว่า เมื่อตายแล้วตนจะมีสภาพอย่างไร ร่างที่เคยเคลื่อนไหวได้ก็จะหยุดนิ่ง อย่าว่าแต่จะลุกขึ้นไปเก็บรวบรวมเงินทองข้าวของที่อุตส่าห์สะสมไว้เพื่อนำไปด้วยเลย จะเขยิบให้พ้นแดดพ้นมดสักนิ้วสักคืบก็ทำไม่ได้...
.
….สามี ภริยา มารดา บิดา บุตรธิดา ญาติสนิท มิตรสหาย ทั้งหลาย ที่เคยรักห่วงใยกันนักหนา ก็ไม่มีใครมาอยู่ด้วยเลยแม้สักคน อย่าว่าแต่จะเข้าไปนั่งไปนอนในโลงศพด้วยเลย แม้แต่จะนั่งเฝ้าอยู่ข้างโลงทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่มีใครยอม...
…. เมื่อความตายมาถึง ไม่มีผู้ใดจะสามารถถนอมรักษาหวงแหนทะนุบำรุงร่างกายของตนไว้ได้ แม้สมบัติพัสถานที่แสวงหาไว้ระหว่างมีชีวิตจนเต็มสติปัญญาความสามารถ ด้วยเล่ห์ด้วยกลก็ตาม เพื่อใช้ทะนุถนอมรักษาเชิดชูบำรุงร่างของตน ก็ติดกับร่างไปไม่ได้เลย เป็นจริงดังพุทธศาสนสุภาษิตว่า..."ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้"
.
#สมเด็จพระญาณสังวร
------------------------------
## ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. ##
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น