11 มกราคม 2564

หลุดพ้นด้วยปัญญา ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์

[ณ เวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์ สุสิมปริพาชกได้ขอบวชในพุทธศาสนา ต่อมาพระสุสิมะได้ยินภิกษุหลายรูปอ้างว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว พระสุสิมะจึงเข้าไปถามภิกษุเหล่านั้นว่า]

ส: ท่านไปบอกคนอื่นว่าได้บรรลุอรหันต์แล้วจริงหรือ? 
ภ: จริงท่าน
ส: พวกท่านมีอิทธิวิธีหายตัว...มีหูทิพย์..มีตาทิพย์..รู้ใจคน..ระลึกชาติได้แล้วหรือ? 
ภ: ไม่ได้ท่าน 
ส: ถ้าอย่างนั้นจะบรรลุได้อย่างไรกัน? 
ภ: ท่านสุสิมะ พวกเราหลุดพ้นได้ด้วยปัญญา

[พระสุสิมะไม่เข้าใจ จึงเข้าไปถามพระพุทธเจ้า]
พ: สุสิมะ วิปัสสนาญาณ (ปัญญาที่ทำให้เห็นแจ้ง) เกิดขึ้นมาก่อน แล้วจึงจะหลุดพ้นได้
     เธอเห็นว่ารูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง? 
ส: ไม่เที่ยงท่าน
พ: ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุข?
ส: เป็นทุกข์ท่าน
พ: ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนอยู่ตลอด สมควรไหมที่จะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา เป็นตัวเรา 
ส: ไม่สมควรท่าน
พ: เวทนา (ความรู้สึก)..สัญญา (ความจำได้)..สังขาร (การปรุงแต่ง)..วิญญาณ (การรับรู้)..เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ส: ไม่เที่ยงท่าน
พ: ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุข?
ส: เป็นทุกข์ท่าน
พ: ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนอยู่ตลอด สมควรไหมที่จะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา เป็นตัวเรา 
ส: ไม่สมควรท่าน

พ: สุสิมะ เพราะเหตุนี้แหละ รูป..เวทนา..สัญญา..สังขาร..วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ภายใน ภายนอก หยาบ ละเอียด ใกล้ ไกล ทั้งหมดนั้น เธอพึงเห็นด้วยปัญญาที่ตรงตามความเป็นจริงว่า นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา 
    อริยสาวกที่เข้าใจและเห็นเช่นนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณทั้งหลาย เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัดและหลุดพ้น และเมื่อหลุดพ้นแล้วก็จะรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว ไม่เกิดอีก 

พ: สุสิมะ เธอเห็นหรือไม่ว่าเพราะชาติ (การเป็นตัวเป็นตน) เป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ? 
ส: เห็นอย่างนั้นท่าน
พ: เธอเห็นหรือไม่ว่า
     เพราะภพ (สภาวะอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดจากจิต) เป็นปัจจัย จึงมีชาติ..
     เพราะอุปาทาน (การยึดติด) เป็นปัจจัย จึงมีภพ 
     เพราะตัณหา (ความใคร่อยาก) เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
     เพราะเวทนา (ความรู้สึก) เป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
     เพราะผัสสะ (การกระทบสัมผัส) เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
     เพราะสฬายตนะ (ช่องทางการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
     เพราะนามรูป (จิตกับกาย) เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
     เพราะวิญญาณ (การรู้สิ่งต่างๆ) เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
     เพราะสังขาร (การปรุงแต่ง) เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ 
     เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย (การไม่รู้จักโลกตามความเป็นจริงว่าสิ่งต่างๆไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนของมันเอง มีแต่เหตุประกอบกันขึ้น) จึงมีสังขาร
ส: เห็นท่าน

พ: เธอเห็นหรือไม่ว่า
    เพราะชาติดับ ชรา มรณะจึงดับ 
    เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
    เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
    เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
    เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
    เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
    เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
    เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
    เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
    เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
    เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ
ส: เห็นท่าน

พ: สุสิมะ ขณะที่เธอรู้เห็นอยู่อย่างนี้ เธอมีอิทธิวิธีหายตัว...มีหูทิพย์..มีตาทิพย์..รู้ใจคน..ระลึกชาติได้แล้วหรือ? 
ส: ไม่ได้ท่าน

[เมื่อถึงตอนนี้ พระสุสิมะได้รู้แล้วว่าไม่จำเป็นต้องมีอิทธิวิธีต่างๆก็หลุดพ้นได้ จึงก้มลงกราบขอโทษพระพุทธเจ้าด้วยความที่ตนเองหลงไป ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ยกโทษให้]
   
_______
ที่มา: เรียบเรียงจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ 26 (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ภาค 2 สุสิมปริพาชกสูตร ข้อ 279), 2559, น.334-345

#พระพุทธเจ้าพูดอะไร

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...