เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆในการเจริญขันติแล้ว เมื่อขันติมันมีกำลังมากเราก็จะทนได้มาก ทำได้นานมากขึ้น ถ้าโยมขาดจากความเพียรไปเมื่อไหร่ การประพฤติปฏิบัตินั้นมันก็จะก้าวหน้าได้ยาก นั้นขอให้ไปพิจารณาในอริยสัจให้มาก ไอ้สมุทัยเหล่านี้คือเหตุแห่งทุกข์ ทำไมถึงเรียกว่าเหตุแห่งทุกข์ แล้วทำไมมรรคคือเหตุแห่งการดับแห่งทุกข์
สมุทัยคือเหตุแห่งทุกข์ แต่มรรคคือทางเดินออกจากทุกข์ เรียกว่าเหตุที่ทำให้ทุกข์นั้นมันดับ เมื่อเราหาสาเหตุแห่งทุกข์ได้ เราก็จะเข้าถึงตัวนิโรธคือการดับทุกข์ แสดงว่าทุกข์ก็ดี นิโรธก็ดี มรรคก็ดี..มันอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่ใจของเราที่เรามีความเชื่อศรัทธาในทางเดินนี้มากน้อยเพียงใด..
ถ้าใครไม่เดินทางเดินนี้แล้วจะออกจากทุกข์..ไม่มีทาง ศาสนาทั้งหลายก็สอนให้มนุษย์ทั้งหลายเป็นคนดี แต่จุดมุ่งหมายมีไม่เหมือนกัน ถ้าโยมยังไม่เข้าถึงจุดมุ่งหมาย..แสดงว่าโยมยังไม่ได้เข้าถึงศาสนาที่โยมนั้นได้ศรัทธาอยู่ ยกตัวอย่างการเข้าถึงจุดมุ่งหมายต้องลงมือปฏิบัติ..แล้วจะเข้าถึง เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ถ้าใครไม่ได้ปฏิบัติเอง..จะหารส บอกรส อธิบายในรสนั้นยากนัก
นั้นเมื่อทางมีให้เดินแล้วเรากลับไม่เดิน ข้าวมีให้กินกลับไม่กิน..นี่เรียกว่าคนโง่หรือคนตาบอด เพราะถ้าโยมไม่สะสมอริยทรัพย์เหล่านี้ ทรัพย์ที่โยมสะสมอยู่ในทางโลก..นั่นเค้าเรียกคนโง่อีกเหมือนกัน ไม่ว่าโยมจะมีทรัพย์สมบัติมากเพียงใด โยมก็จะมีภาระมากเท่านั้น บุคคลที่มีสมบัติมากเพียงใด..บุคคลผู้นั้นก็จะกลัวตายมากเท่านั้น จะดิ้นรนแสวงหาหาที่ที่ปลอดภัย เพราะอะไรเล่าจ๊ะ..คนพวกนี้ไม่อยากตาย
อย่างที่ฉันเคยบอก แต่ไอ้พวกที่ไม่มีอะไรอยากตายทั้งนั้น เพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม นั้นฉันขอให้ว่าจะเข้าศักราชใหม่แล้ว ในโลภ โกรธ หลงควรละลงเสียบ้าง เพราะอยู่ที่ไหนมันก็ตาย แต่มีอยู่อย่างหนึ่งว่าโยมจะตายแบบคนดีมีศีล จะตายแบบผู้ที่หมดกิเลสหรือกิเลสเบาบางแล้ว หรือจะตายแบบผู้ที่มีกิเลสหนามีกรรมหนา..จะตายแบบไหน
ไอ้เรื่องการตาย..ตายดีตายไม่ดีตายสภาวะแบบไหน อันนั้นเรียกอำนาจแห่งกรรม แต่ตายแบบไหนเล่าที่เรากำหนดได้ เคยกำหนดการตายหรือยังว่าเราจะตายแบบไหน ตายแบบมีกรรมหนา ตายแบบมีกิเลสหนา หรือตายแบบหมดกิเลส ตายแบบกิเลสที่เบาบาง เมื่อกิเลสเบาบาง ตัณหาเบาบาง ความโลภ โกรธ หลงเบาบาง เหล่านี้เค้าเรียกว่า"กรรมเบาบาง"
เมื่อเราตัดโลภ โกรธ หลงได้ให้มันหมดไป ไม่ให้เชื้อมันเกิด..นี่เค้าเรียกว่าตายแบบไม่มีเชื้ออีก เมื่อไม่มีเชื้อให้เกิด..ภพชาติที่ไหนมันจะเกิดได้อีก เหมือนต้นไม้ที่มันตายแล้ว เราจะไปบำรุงรดน้ำพรวนดินให้ปุ๋ยมันอย่างไร มันก็ไม่สามารถเจริญงอกงามขึ้นมาอีก เพราะเรียกว่ารากเหง้ามันไม่มีแล้วนั่นเอง
เราจะโลภโมโทสันอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อเราได้เจริญสติ เจริญภาวนา เจริญปัญญาแล้ว เค้าให้น้อมจิตเข้าไปถึงระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ว่าไม่มีอะไรจะเป็นที่พึ่งได้ดีที่สุดแล้ว นั้นสิ่งใดๆก็ตามจะเป็นลูกผัว ทรัพย์สมบัติสิ่งใดในขณะนั้นควรได้ปล่อยวางเสียให้หมด อันดับแรกตั้งแต่ที่เรานั้นน้อมกราบลงต่อหน้าองค์พระปฏิมากร ที่เรานั้นจะเจริญศีลภาวนาและเจริญมนต์
ในขณะนั้นขอให้จิตเราดำรงมั่นอยู่ในขณะอารมณ์นั้น ต่อหน้าองค์พระปฏิมากรในเขตพัทธสีมา อย่าได้ส่งจิตออกไปภายนอก เมื่อมันส่งจิตออกไปก็ขอให้ดึงกลับมา เพราะจงจำไว้ว่าในขณะนั้นบุญเกิดทุกขณะ แล้วโอกาสที่เราจะทำบุญแบบนั้นให้เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นได้ยาก..
ที่มา
มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น