11 มกราคม 2564

ว่าด้วยฌาน และการกำหนดรู้เวทนา"มรรคสมังคี [ศีล สมาธิ ปัญญา]

ทำใจของตนให้แน่วแน่ 
มันจะไปสงสัยที่ไหนก็ "ของเก่า"

"ปรุงแต่ง" ขึ้นเป็น..

#ความพอใจไม่พอใจ

#มันเกิดมันดับอยู่นี่

ไม่รู้เท่าทันมัน
ถ้ารู้เท่าทัน...มันก็ดับไป

#ถ้าจี้มันอยู่อย่างนี้มันก็ค่อย"ลดกำลัง" ไป

#ตัดอดีต-#อนาคตลงให้หมด 
#จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน 

รู้...ในปัจจุบัน 
ละ...ในปัจจุบัน 
ทำ...ในปัจจุบัน 
แจ้ง...อยู่ในปัจจุบัน

หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ

   -----------------------------------------------------------------

"ว่าด้วยฌาน และการกำหนดรู้เวทนา"

มรรคสมังคี

                        [ศีล สมาธิ ปัญญา]

และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ในสมัยใด ภิกษุสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน
มีวิตกวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่ ในสมัยนั้น ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลายตน ย่อมไม่
คิดเพื่อจะทำลายผู้อื่น ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลายทั้งสองฝ่าย ในสมัยนั้น ย่อมเสวยเวทนา อันไม่มี
ความเบียดเบียนเลยทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย 

#เราย่อมกล่าวคุณของเวทนาทั้งหลายว่า 
#มีความไม่เบียดเบียนเป็นอย่างยิ่ง.

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
ในสมัยใด ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก
ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลายตน ฯลฯ ในสมัยนั้น
ย่อมเสวยเวทนา อันไม่มีความเบียดเบียนเลยทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวคุณของเวทนาทั้งหลายว่า 
มีความไม่เบียดเบียนเป็นอย่างยิ่ง.

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุข
ด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ฯลฯ ในสมัยใด ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ
และเสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลาย
ตน ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมเสวยเวทนาอันไม่มีความเบียดเบียนเลยทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวคุณแห่งเวทนาทั้งหลายว่า มีความไม่เบียดเบียนเป็นอย่างยิ่ง.

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะ
ละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ในสมัยใด
ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมไม่คิดเพื่อจะทำลายตน ฯลฯ ในสมัยนั้น ย่อมเสวย

เวทนาอันไม่มีความเบียดเบียนเลยทีเดียว 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวคุณแห่งเวทนาทั้งหลาย
ว่ามีความไม่เบียดเบียนเป็นอย่างยิ่ง

             [๒๐๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นโทษของเวทนาทั้งหลาย? 

#ดูกรภิกษุทั้งหลายข้อที่เวทนาไม่เที่ยงเป็นทุกข์ 
#มีความแปรปรวนเป็นธรรมดานี้เป็น #โทษของเวทนาทั้งหลาย.
             [๒๐๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นการถ่ายถอนของเวทนาทั้งหลาย? 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกำจัด #การละฉันทราคะของเวทนาทั้งหลายเสียได้

#นี้เป็นการถ่ายถอนของเวทนาทั้งหลาย.

กำหนดรู้เวทนา

             [๒๐๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ไม่รู้ชัดคุณของเวทนา
ทั้งหลาย โดยเป็นคุณ โทษของเวทนาทั้งหลาย โดยความเป็นโทษและการถ่ายถอนของเวทนา
ทั้งหลาย โดยความเป็นการถ่ายถอน อย่างที่กล่าวมานี้ ตามความเป็นจริง พวกนั้นน่ะหรือจัก
รอบรู้เวทนาทั้งหลายด้วยตนเอง หรือว่าจักชักจูงผู้อื่นเพื่อเป็นอย่างที่ผู้ปฏิบัติแล้ว จักรอบรู้เวทนา
ทั้งหลายได้ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง 

#รู้ชัดคุณของเวทนาทั้งหลายโดยความเป็นคุณ

#โทษของเวทนาทั้งหลายโดยความเป็นโทษ

#และการถ่ายถอนของเวทนาทั้งหลาย 

#โดยความเป็นการถ่ายถอนอย่างที่กล่าวมานี้ 

ตามความเป็นจริง พวกนั้นแหละหนอ จักรอบรู้เวทนาทั้งหลาย ด้วยตนเองได้หรือจักชักจูงผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างที่ผู้ปฏิบัติแล้ว จักรอบรู้เวทนาทั้งหลายก็ได้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้.

             พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีพระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคแล้วแล.

                   จบ มหาทุกขักขันธสูตร ที่ ๓

   ......................................................................

             ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคานุสัยจะพึงละเสียได้ในสุขเวทนาทั้งหมด หามิได้

ปฏิฆานุสัยจะพึงละเสียได้ในทุกขเวทนาทั้งหมด หามิได้ อวิชชานุสัยจะพึงละเสียได้ในอทุกขม สุขเวทนาทั้งหมด หามิได้ 

ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม #บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ #ย่อมละราคะด้วยปฐมฌานนั้น #ราคานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในปฐมฌานนั้น 

อนึ่ง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นอยู่ว่า เมื่อไร เราจะได้บรรลุอายตนะที่พระอริยะทั้งหลายบรรลุแล้วอยู่ในบัดนี้ ดังนี้ 

เมื่อภิกษุนั้นเข้าไปตั้งความปรารถนาในวิโมกข์ทั้งหลายอันเป็นอนุตตรธรรมอย่างนี้

#โทมนัสย่อมเกิดขึ้นเพราะความปรารถนาเป็นปัจจัย #ท่านละปฏิฆะได้ด้วยความโทมนัสนั้น 
#ปฏิฆานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในความโทมนัสนั้น 

อนึ่ง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ #บรรลุจตุตถฌาน
อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ #มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ #ย่อมละอวิชชาได้ด้วยจตุตถฌานนั้น #อวิชชานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในจตุตฌานนั้น.

             เนื้อความพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ บรรทัดที่ ๙๕๒๙-๙๕๗๐ หน้าที่ ๓๙๑-๓๙๒.
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=12&A=9529&Z=9570&pagebreak=0
http://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=12&item=511&items=1&mode=bracket

ไม่มีความคิดเห็น:

อริยสัจ 4 และมรรคแปด

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ห่างไกลจากกิเลสตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาค ทรงตรัส...